คุณสมศักดิ์ ละอองทอง เป็นคนจังหวัดบุรีรัมย์ เข้าวัดพระธรรมกาย เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๐ โดยมีพี่ชายเป็น กัลยาณมิตรคนแรก ซึ่งพี่ชายได้เข้ามาทำงานช่วยทางวัด เป็นเวลา ประมาณ ๑๐ ปีมาแล้ว คุณสมศักดิ์ตัดสินใจเข้าวัด เพราะตอนนั้นมีปัญหา และเครียดจากที่ทำงานเดิม จึงได้มาสมัครเป็น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย อยู่ที่สำนักบริการกลาง ของวัดพระธรรมกาย
พอเข้าวัดได้ฟังคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ รู้สึกประทับใจมาก ทำให้คลายความเครียด และความกังวลที่เคยมีอยู่ เริ่มสวดมนต์ รักษาศีล และเจริญ ภาวนา เท่าที่โอกาสจะอำนวย ใจสงบเบิกบานอยู่ในบุญตลอดเวลา
คุณสมศักดิ์บอกว่า การที่เขาได้มาทำงานที่นี่เป็นสิ่งที่ภาคภูมิใจอย่างยิ่ง จะตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่และเต็มใจ ช่วยงานพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ถือเสมือนหนึ่งตนเองเป็นลูก หลวงพ่อ เป็นหลานคุณยาย คุณสมศักดิ์ได้ร่วมบุญสร้างองค์พระธรรมกายประจำตัว และเมื่อได้รับองค์พระมหาสิริราชธาตุ มาแล้วได้ห้อยคอไว้อยู่ตลอดเวลา และสวดสรรเสริญ องค์พระมหาสิริราชธาตุอยู่เสมอ
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิต ทำให้เขามั่นใจและเชื่อมั่นว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง เพราะหลวงพ่อท่านได้ช่วยให้รอด ตายจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น คุณสมศักดิ์จึงยึดมั่น เชื่อว่า บุญบาปมีจริง และอยากให้ทุกคนประพฤติปฏิบัติ ตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้มีศีล สมาธิ ปัญญา เช่นเดียวกับตนเองที่ยึดถือไว้ตลอดเวลา
คุณสมศักดิ์เล่าว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตรงกับวันมาฆบูชา ( ๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๔๒) ตามปกติแล้วจะทำงานเป็นกะ คือช่วงตั้งแต่เวลา ๐๔.๔๕ น. ถึง ๑๔.๐๐ น. ทุกวัน แต่วันนั้น เป็นงานบุญใหญ่ จึงอยู่ต่อถึงเวลา ๐๖.๐๐ น. ของวันรุ่งขึ้น หมดหน้าที่แล้ว คุณสมศักดิ์ตัดสินใจอยู่ทำงานต่อในวันนั้นอีก โดยช่วยโบกรถ และงานจราจรตลอด ๒๔ ช.ม. โดยไม่ พักผ่อนเลย ในใจนั้นคิดแต่อยากช่วยงานบุญจนสุดตัว ทุ่มให้งานสุดๆ ไม่คิดถึงความเหน็ดเหนื่อยของร่างกายเลย
วันนั้นสาธุชนพากันหลั่งไหลมาที่วัดพระธรรมกายจนแน่นขนัด ทั้งรถทั้งคน ทุกคนต่างก็เบิกบาน และเก็บเกี่ยวบุญกลับบ้านกันไป ด้วยความปีติใจ วันนั้น ถึงแม้จะเหนื่อยแสน เหนื่อย ร่างกายนั้นออกอาการว่า อยากพักผ่อนเต็มที่ แต่จิตใจนั้นเบิกบาน ที่ได้รับบุญ เพราะวันนั้น เป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่ เหมือนทุกปีที่ผ่านมา สาธุชนทั้งชาวไทย และ ชาวต่างประเทศ ต่างเบิกบานและประทับใจ กับภาพบรรยากาศ ของมาฆะประทีป ที่จุดสว่างไสว ทั่วบริเวณธรรมกายเจดีย์
คุณสมศักดิ์ อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อจนถึงเวลา ๒๒.๐๐ น. เสร็จแล้วได้ขับรถอีซูซุ ไปที่ บ.ก.ร.ป.ภ. ตรงจุดข้างมุมสภาธรรมกายสากล เพื่อเอาเครื่องดื่ม ไปบริการเพื่อน ร.ป.ภ. ตามจุด ต่างๆ แต่เกิดเปลี่ยนใจ ให้เพื่อนขับรถคันดังกล่าว ไปแจกเครื่องดื่มแทน ส่วนตัวเองไปขับรถป๊อกสีเขียว ของสำนักบริการกลาง ที่จอดอยู่ที่ บ.ก. เพื่อไปตามเก็บงานตามจุดต่างๆ บริเวณร อบสภาธรรมกายสากล
ช่วงนั้นคุณสมศักดิ์ขับรถไปเรื่อยๆ เก็บจักรยานที่จอดหลงอยู่ตามเต้นท์ เก็บรถจักรยานได้ ๓ คัน เพื่อนำไปเก็บไว้ที่สำนัก พอถึงจุดสุดท้าย จึงกลับรถ และวิทยุไปบอกเพื่อน ที่ศูนย์ วิทยุว่า จะนำรถไปเก็บที่สำนัก ขณะนั้นรู้สึกว่า ตนเองง่วงนอน และเพลียจัด เพราะตามเก็บงานอยู่ประมาณ ๓ ชั่วโมง เกิดอาการง่วงนอน จนควบคุมตัวเองไม่ได้ ทั้งๆ ที่พยายาม ประคองตัวว่า อย่าให้หลับก่อนถึงสำนัก แต่ก็ไม่อาจควบคุมได้ จึงเผลอวูบไป จังหวะที่เผลอตัวหลับไปนั้น ไม่รู้สึกตัวเลยว่า ขับเร็วแค่ไหน
มารู้สึกตัวอีกที ก็ตอนที่รถพุ่งเข้าชนเสาไฟฟ้าอย่างจัง ตรงบริเวณทางเข้าที่ ๔ ของสภาธรรมกายสากล แรงกระแทกทำให้ตัวถังด้านหน้ารถ ยุบเข้ามาอัดร่างคุณสมศักดิ์ คาพวง มาลัย ตอนนั้น คุณสมศักดิ์ไม่ได้สลบ มีสติสัมปชัญญะ ครบบริบูรณ์ จังหวะที่รถชนเสาไฟฟ้า และอัดร่างคุณสมศักดิ์อยู่ข้างในรถนั้น อยู่ๆ คุณสมศักดิ์รู้สึกเหมือนกับว่า มีคนมา ยกเขา ลอยออกมายืนอยู่นอกรถ รู้สึกตัวเบาเหมือนนุ่น ลอยออกมายืนอยู่ข้างนอกรถ ซึ่งคุณสมศักดิ์ประหลาดใจอยู่จนถึงทุกวันนี้ว่า ตนเองออกมาได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ประตูรถ เปิดไม่ออก
ตอนนั้นได้เดินไปปิดเครื่องรถ และพยายามมองหาคนมาช่วย ขณะนั้นเวลาประมาณตีหนึ่ง บังเอิญโชคดีมาก ที่มีเจ้าหน้าที่ประจำวัด ขับรถผ่านมาพบพอดี และรีบพาส่งยัง สถานพยาบาลของวัด เนื่องจากคุณสมศักดิ์ มีอาการจุกแน่นหน้าอกไปหมด ถึงกับทรุดลงนั่ง ทางสถานพยาบาล จึงรีบนำตัวไปที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์
ระหว่างทางคุณสมศักดิ์ไม่พูดไม่จา นอนนิ่งๆ มือกุมพระมหาสิริราชธาตุไว้ตลอดเวลา พร้อมกับอธิษฐานจิต และทำสมาธิไปด้วย ขอให้หลวงพ่อคุ้มครอง อย่าได้ตายเสียก่อน มือกุมองค์พระท่านนอนนิ่งๆ อย่างนั้น จนคุณหมอคิดว่าตายไปแล้ว รีบเขย่าตัวแล้วเรียก คุณๆ คุณหมอพยายามจะดึงมือคุณสมศักดิ์ออก พร้อมกับถามว่า กำอะไรอยู่
คุณสมศักดิ์ตอนนั้น จิตใจจดจ่ออยู่แต่องค์พระ ไม่ยอมพูดอะไรทั้งสิ้น คุณหมอจึงนำตัวเข้าไปเอ็กซ์เรย์ ผลออกมาก็เป็นที่อัศจรรย์ใจ หมอก็แปลกใจว่า ตัวอัดกับพวงมาลัยอย่างแรง แต่แปลกที่ระบบภายในไม่เป็นอะไรเลย ปกติทุกอย่าง ในที่สุดคุณหมอจึงอนุญาตให้กลับบ้าน
คุณสมศักดิ์บอกว่าตนเองก็ยังงงๆ กับเหตุการณ์ว่ารอดมาได้อย่างไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่มั่นใจมากคือ ต้องเกิดจากอานุภาพของ พระมหาสิริราชธาตุ และด้วยบุญกุศลที่ทุ่มเทช่วยงาน พระศาสนาในวันนั้นนั่นเอง
ชีวิตของ คุณสมศักดิ์ นับว่าเป็นคนโชคดี มีบุญเก่าอยู่ไม่น้อย เมื่อพบมรสุมชีวิต ยังมีพี่ชายซึ่งทำงานอยู่ในวัด เป็นกัลยาณมิตร ช่วยแนะทางเดินชีวิต ทำให้แก้ปัญหาได้ จึงถือว่า เป็นโชคดี ยิ่งเมื่อได้มาทำงาน ได้พบเห็นแต่บุคลากรที่ดีในองค์กรของวัด ทั้งพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา เพื่อนร่วมงาน ล้วนแต่เป็นกัลยาณชน สนใจแต่เรื่องบุญกุศล จึงเท่ากับพบโลกใหม่ จิตใจย่อมซึมซับสิ่งดีๆ เป็นกุศลมโนกรรม ชำระล้างความทุกข์ร้อนที่ผ่านม าให้ผ่อนคลายลงไป
คนเราเมื่อสนใจประกอบการบุญกุศล รู้ค่าของบุญ เรื่องเงินก็จะลดความจำเป็นลงไป ทำงานใดๆ แม้ไม่ได้เงินเลย แต่ได้บุญก็จะเต็มใจทำ ในกรณีของรายนี้ก็เป็นเช่นนั้น เมื่อ ออกจากเวรยามตามหน้าที่แล้ว แม้จะเป็นเวลาดึกดื่น ยังเกิดกุศลจิต ช่วยขับรถขนของเก็บงานให้วัด ในคืนวันมาฆบูชา เป็นน้ำใจทำงานกุศลที่แท้จริง แต่คนเราไม่ใช่เครื่องจักร ร่างกายรู้จักเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลีย ทำให้ขับรถหลับใน จึงเกิดอุบัติเหตุดังที่กล่าวแล้ว โชคดีที่ชนกับเสาไฟฟ้าภายในวัด ถ้าชนกับรถคันอื่นที่วิ่งสวนมา แรงกระแทก จะเป็นอันตราย มากกว่านี้
ยามคับขันเจ็บป่วย สติที่นึกถึงพระมหาสิริราชธาตุ กำท่านไว้ในมือตลอดเวลา เป็นพุทธานุสติ อำนาจพุทธคุณไม่มีประมาณ จึงปลอดภัยอย่างไม่น่าเชื่อ
ด้วยเหตุนี้ คนเราทุกคน จำเป็นต้องมีหลักศาสนาเป็นที่พึ่งทางใจ อย่างน้อยยามมีปัญหาชีวิต ยังมีคำสอนทางพระศาสนาให้ข้อคิดและแนวทางปฏิบัติ หรือแม้แต่เห็นตัวอย่าง ของผู้ปฏิบัติตามคำสอนได้ ก็จะพบความสบายใจไปส่วนหนึ่งแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงควรปฏิบัติตน ตามคำสอนของศาสนาไว้เสมอ อย่ารอให้พบปัญหาก่อน