คุณโจ้ (สันติกัน นงพรหมมา) พื้นเพเป็นคนกรุงเทพฯ เรียนจบจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง เคยร่วมกิจกรรม ชมรมพุทธศาสตร์ ตอนนั้น คุณโจ้ได้อ่าน หนังสือกัลยาณมิตร ฉบับแรก ของวัดพระธรรมกาย รูปหน้าปกเป็นภาพ พระเดชพระคุณ หลวงพ่อธัมมชโย พอเห็นรูปภาพท่าน จึงเกิดความศรัทธา คิดอยากบวชที่วัดนี้ขึ้นมาทันที จึงได้อบรม ธรรม ทายาท บรรพชา-อุปสมบทหมู่รุ่นที่ ๑๔ ปี พ.ศ.๒๕๒๙ หลังจากผ่านการอบรมธรรมทายาทเป็นเวลา ๒ เดือน ก็ยังคงปฏิบัติธรรม ตามที่ได้รับการถ่ายทอดมา
และมีสิ่งหนึ่ง ที่ได้ข้อคิดจาก การพระอาจารย์ว่า แม่เป็นผู้ให้กำเนิด เป็นผู้มีพระคุณ อย่างล้นเหลือ ก่อกำเนิดกายเนื้อให้แก่เรา ถ้าท่านไม่ดูแลอุ้มชูเรามา คงไม่มีวันนี้เกิดขึ้นในชีวิต ชีวิตของการทำ ความดี การสร้างบารมี และประพฤติธรรม คุณโจ้จึงเป็น กัลยาณมิตรให้คุณแม่ ชักชวนคุณแม่มาประพฤติปฏิบัติธรรม เป็นประจำ
คุณแม่ของ คุณโจ้ (คุณสุดใจ เกษกาญจนานุช) ประกอบกิจการค้าขายจิวเวอรี่ แบบการขายตรงกับลูกค้าประจำ ช่วงระยะที่ผ่านมา คุณแม่ประสบปัญหา ยุคไอเอ็มเอฟ ทำให้ การค้าสะดุดลง คุณแม่บ่นว่า เช็คไม่ผ่านบ้าง ค้าขายไม่คล่อง ลูกค้าเริ่มลดน้อยลงไป ทำให้คุณโจ้ ซึ่งปกติเคยมีเวลามาทำบุญ ที่วัดพระธรรมกาย ต้องเสียสละเวลา เพื่อช่วย คุณแม่ ทำธุรกิจด้วย แต่ใจก็ยังนึกถึงวัดตลอดเวลา
ประมาณเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๔๑ ทั้งคู่ได้มาวัด และได้ร่วมทำบุญสร้างองค์พระแกนกลาง บูชาธรรมหลวงพ่อสด พระมงคลเทพมุนีในวันนั้นพอดี
ต่อมาอีกหนึ่งสัปดาห์ คุณโจ้ได้มาพร้อมกับคุณแม่และรับพระของขวัญ ในวันอัศจรรย์ตะวันแก้ว พอได้รับองค์พระมหาสิริราชธาตุมา รู้สึกรักและบูชาท่านมาก ได้หมั่นสวด สรรเสริญ พระมหาสิริราชธาตุทุกวัน และทั้งสองท่าน ก็ได้ประสบอานุภาพบุญ ช่วยให้ธุรกิจค้าขายดีขึ้น และรอดพ้นจากอุบัติเหตุ ได้อย่างปาฏิหาริย์
วันหนึ่งทั้งสองคนแม่ลูก ได้เดินทางไปจังหวัดชลบุรี เพื่อไปพบลูกค้า เดิมที่ธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งคุณแม่คุ้นเคยกับผู้บริหารที่นั่น พอไปถึงคุณแม่ก็ยิ้มแย้ม ทักทายกับ เจ้าหน้าที่ ธนาคาร พร้อมกับพูดว่า มีของสวยๆ งามๆ ชิ้นใหม่ มาให้ดูค่ะ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดว่า โอ้ย ช่วงนี้เศรษฐกิจแย่ ไม่มีเงินหรอกคุณ คุณแม่จึงพูดว่า ไม่เป็นไรค่ะ มาดูของสวยๆ งามๆ ให้เกิดกำลังใจ ในการทำงานต่อไป ทุกคนจึงเดินมาดู ขณะนั้น มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง หยิบตุ้มหูกับแหวนมาดู และสอบถามราคา คุณแม่บอกราคา ๕๘,๐๐๐ บาท เขาจึงต่อราคาเหลือ ห้าหมื่นถ้วน คุณแม่บอกให้ได้เต็มที่ ๕๕,๐๐๐ บาท พอได้รับคำตอบแล้ว เธอก็เดินออกไป
เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งบอกคุณแม่ว่า พี่ๆ ถ้าพี่ขายให้คนนี้ได้ ถือว่าพี่เฮงสุดๆ เลยนะ เพราะลูกค้ารายนี้ไม่ธรรมดา เป็นคนที่รู้จักใช้เงิน ไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ไม่ชอบแต่งตัว และ เที่ยวเตร่ คุณแม่เริ่มกังวลใจ เพราะเป็นรายแรก ของเช้าวันนี้ เสียด้วยซิ ตามธรรมเนียม คนขายของ ถ้ารายแรกไม่ซื้อ วันนั้นทั้งวัน อย่าหวังว่า จะขายได้
คุณแม่จึงตั้งสติ ตรึกระลึกนึกถึงพระมหาสิริราชธาตุที่คล้องคออยู่ และอธิษฐานในใจว่า ด้วยอานุภาพของพระมหาสิริราชธาตุ จงดลบันดาลให้ลูกขายของได้ ขอให้ซื้อง่าย ขาย คล่อง กำไรงาม พอจบคำอธิษฐาน เจ้าหน้าที่คนนั้น ก็เดินมาหยุดยืนที่โต๊ะ คุณแม่นั่ง ทุกคนก็ลุ้นระทึกกันว่า เธอจะตัดสินใจอย่างไร ปรากฏว่า เขามาต่อราคาอย่างเดิม คุณแม่ ก็ยังยืนยันราคาเดิม คือ ๕๕,๐๐๐ บาท พอจบคำพูด เธอก็ยื่นเงินให้พร้อมกับบอกว่า หนูเบิกเงินมา ๕๕,๐๐๐ บาทพอดี
เจ้าหน้าที่ทุกคนในที่นั้น มองดูด้วยความฉงนสนเท่ห์ ที่คุณแม่ขายได้ พร้อมกับพูดว่า เฮ้ย ปาฏิหารย์เกิดขึ้นแล้ว และถามต่อว่าพี่ๆ มีอะไรดีหรือ พี่ขายให้เขาได้นี่เฮงจริงๆ คุณแม่ ตอบด้วยความภูมิใจ พร้อมกับให้ดู องค์พระมหาสิริราชธาตุ ทุกคนชื่นชมพร้อมกับพูด เป็นเสียงเดียวกันว่า พระอะไร สวยจังเลย ได้มาอย่างไร
สักพัก ก็มีอาม่าเดินเข้ามาภายในธนาคาร อาม่าเป็นลูกค้ารายใหญ่ของธนาคาร พอเดินเข้ามาก็แปลกใจว่า เขามุงดูอะไรกันอยู่ จึงเดินเข้ามาใกล้ และถามว่า ขายอะไรกันน่ะ เจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งตอบว่า ขายเพชรพลอยค่ะ อาม่าเดินมาหยิบดูพระทองคำ และถามราคา คุณแม่บอก ๒๒,๐๐๐ บาท อาม่าจึงต่อราคาตามประสาความเคยชิน ๘,๐๐๐ บาท ได้ไหม? คุณแม่ปฏิเสธว่าไม่ได้ ทันใดนั้น อาม่าก็โพล่งออกมาว่า ของปลอมหรือเปล่า เท่านั้นแหละ ทุกคนก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก พูดเสร็จแกก็เดินออกไป แต่เป็นจังหวะดีที่ ผู้ช่วย ผู้จัดการ รีบเข้าไปทักทาย พร้อมกับรับประกันว่า คุณแม่ค้าขายติดต่อกับที่นี่ มาเป็นเวลานาน รับรองได้
อาม่าเดินกลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง คราวนี้คุณโจ้เองก็ใจไม่ดี กลัวว่า อาม่าจะพูดอะไรออกมาอีก ทำให้เสียบรรยากาศการซื้อขาย คุณโจ้เริ่มสวดสรรเสริญ พระมหาสิริราชธาตุในใจ และอธิษฐานว่า ขออาม่าอย่าพูดอะไรที่ไม่เบิกบานเลย
อาม่าเดินมาหยุดตรงหน้าคุณแม่ พร้อมกับพูดว่า ๙,๐๐๐ ไม่ได้หรือ คุณแม่จึงยอมลดราคาเหลือ ๒๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นราคาพิเศษสำหรับอาม่า อยากให้ไว้บูชา อาม่าก็บอกว่า ลื้อมีบาทหนึ่งไหม คุณแม่หยิบเหรียญบาทออกมา อั้วซื้อ ๑๙,๙๙๙ บาท เพราะอั้วชอบเลข ๙ และยังพูดทิ้งท้ายอีกด้วยว่า ลื้อมาขายที่นี่บ่อยไหม ถ้ามาบ่อย ไปขายที่บ้านอั้ว หน่อยซิ
บรรยากาศเริ่มกลับมาคึกคักเหมือนเดิม เจ้าหน้าที่พากัน หยิบชมนั่นชมนี่ตลอดเวลา คุณโจ้ดีใจมาก นึกถึงองค์พระมหาสิริราชธาตุ และคำอธิษฐาน ที่ได้ช่วยเขาทันท่วงที รู้สึก ซาบซึ้งในพระคุณของท่านเหลือเกิน
วันนั้นทุกคนซื้อจิวเวอรี่ของคุณแม่ ด้วยความเบิกบาน นับเงินได้เป็นจำนวนเงินถึง ๓ แสนกว่าบาท ทั้งคู่พูดขึ้นมาตรงกันว่า นี่คืออานุภาพบุญที่เกิดขึ้น เห็นได้อย่างชัดเจน เพราะ ทั้งคู่ต่างก็ระลึกถึง พระมหาสิริราชธาตุ ในเวลาใกล้เคียงกัน กลับบ้านด้วยความเบิกบาน และไม่ลืมที่จะเปิดเทป สวดสรรเสริญ พระมหาสิริราชธาตุในรถ ตลอดการเดินทาง
คุณโจ้ทราบภายหลังว่า ที่ธนาคารแห่งนั้น มีผู้นำบุญของวัดทำงาน อยู่ด้วย เคยบอกบุญสร้าง องค์พระธรรมกายประจำตัว และกล่าวถึงอานุภาพบุญ ของพระของขวัญชิ้นนี้ แต่ตอนนั้น ทุกคนฟังแล้วก็ยังเฉยๆ หลังจากเหตุการณ์วันนั้น พวกเขาเกิดความศรัทธา พากันไปทำบุญ องค์พระธรรมกายประจำตัว กันแทบทุกคนเลย
อีกเรื่องคือเรื่องอุบัติเหตุ เกิดขึ้นประมาณเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๒ วันนั้นคุณแม่ตั้งใจจะไปขายสินค้า ที่จังหวัดปราจีนบุรี คิดว่า จะไปนอนบ้านญาติ เพราะจะได้ไม่เหนื่อย จึงให้พี่ชายขับรถไปส่ง ตอนเที่ยงคืน แต่ตอนนั้น พี่ชายไม่อยากไป คุณโจ้จึงอาสาขับรถไปส่งเอง ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่า จะไปวัดพระธรรมกาย ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นงานบุญใหญ่ ทอดผ้าป่า สามัคคีให้กับวัดทั่วประเทศ แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจ
คืนนั้นพอขับมาถึงเส้นทางระหว่างบางขนาก อำเภอบางน้ำเปรี้ยวกับอำเภอบ้านสร้าง
ซึ่งเป็นเส้นทางที่
เปลี่ยวมาก ไม่มีแสงไฟฟ้าริมทางเลย มองไปรอบข้างมืดสนิท
ถนนโล่ง ไม่มี รถสวนมาเลย คุณโจ้ขับรถอย่าง
ระมัด ระวัง ประมาณ ๖๐-๘๐ กม./ชม. เพราะสายตาไม่คุ้นเคยกับความมืด
ถึงสะพานข้าม แม่น้ำ บางปะกง ตอนนั้นใช้ไฟต่ำ ขับลงมาจากสะพาน เป็นทางลาดลง
พลันก็ได้ยินเสียง
รถมอเตอร์ไซค์ ในระยะ
กระชั้นชิด พยายามสอดส่ายสายตามอง แต่ก็มองไม่เห็นทั้งคนและรถ จึงเปิดไฟสูงทันที
และต้องสะดุ้ง ตกใจ สุดตัว
เมื่อเห็น
รถมอเตอร์ไซค์อยู่ตรงหน้า
พอดิบพอดี คนขับใส่เสื้อสีเข้ม คล้ายเสื้อม่อฮ่อม
ไม่มี ไฟหน้า และไฟท้ายเลย
จึงรีบหักพวงมาลัยขวา โดยสัญชาตญาณ
ทั้งที่รู้ว่า ชนแน่นอน
คุณแม่ กรีดร้อง เสียงหลง
ด้วยความตกใจสุดขีด
ฉับพลันไฟหน้ารถก็ดับพรึ่บขึ้นมา
โดยไม่มีสาเหตุ มีแต่ความมืด
ครอบคลุม ไปทั่วบริเวณ
พร้อมกับเสียงมอเตอร์ไซค์
ที่ดังอยู่ข้างหน้า
พอเปิดไฟหน้ารถได้ ก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง เมื่อมองดูจากกระจกหลัง เห็นเงาตะคุ่มๆ ของมอเตอร์ไซค์ ยังคงขับไปเรื่อยๆ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นี่เราทะลุผ่าน รถมอเตอร์ไซด์ คันนั้น ใช่ไหม? คุณโจ้ถามตัวเองทั้งๆ ที่ยังไม่หายตกใจ ส่วนคุณแม่ พอตั้งสติได้ ก็พูดว่า เรารอดมาได้อย่างไร เพราะรถมอเตอร์ไซค์ อยู่ชนิดที่ว่าติดหน้ารถ ถึงหักรถหลบอย่างไร ก็ไม่พ้น ทั้งคู่จึงรู้ว่า นี่แหละคืออานุภาพ พระมหาสิริราชธาตุ ที่เขาเล่ากันมาอย่างมากว่า ทะลุมิติ ๆ ไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่า จะได้เจอกับตัวเอง
อีก ๒-๓ วันต่อมา คุณโจ้ได้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง เจอพาดหัวข้อข่าว จากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่า เส้นทางนี้ มีคนร้ายดักจี้ปล้นกัน ตอนกลางคืนด้วย ทำให้เขานึกย้อน ไปถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับระลึกถึงคุณ พระมหาสิริราชธาตุ และนึกถึงบุญที่ตนเอง และคุณแม่ สั่งสมไว้ จึงช่วยได้ทันท่วงที บุญกุศลที่ตั้งใจทำไว้ ส่งผลในชาติปัจจุบัน ทันตาเห็น เป็นเช่นนี้เอง
ปัจจุบันนี้คุณโจ้และคุณแม่เปิดบ้าน กัลยาณมิตร ได้ปฏิบัติธรรม สวดมนต์บูชาคุณ พระรัตนตรัย รวมทั้งสวดสรรเสริญ พระมหาสิริราชธาตุ เป็นประจำทุกวัน มิได้ขาด เวลาออก ไปประกอบธุรกิจ ติดต่อกับลูกค้า ก็จะถือโอกาสนี้บอกบุญไปด้วย เป็นการสร้างบุญ และทำการค้าไปด้วย ควบคู่กันทั้งสองอย่าง ทั้งทางโลกและทางธรรม
คุณโจ้ เล่าว่า พอเห็นหลวงพ่อธัมมชโยเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๙ ก็มีศรัทธาบวชเป็นธรรมทายาทรุ่นที่ ๑๔ ทันที และเมื่ออบรมเสร็จ ก็ได้ชวนคุณแม่มาวัด อย่างสม่ำเสมอ เมื่อเข้าแล้ว มีศรัทธาทำบุญต่างๆ และได้สร้างพระแกนกลาง หมั่นสวดสรรเสริญ อธิษฐาน จิตอยู่เป็นประจำ ทำให้พบเหตุการณ์บุญ ช่วยค้าขายได้ เป็นอัศจรรย์ตามที่เล่า
ส่วนเรื่องการเดินทางไปปราจีนบุรี พบว่า รถมอเตอร์ไซค์ อยู่ตรงหน้ารถของตนเอง ทำอย่างไร ไม่มีทางหลีกเลี่ยง ต้องชนอย่างแน่นอน เมื่อนึกถึงคุณของ พระศรีรัตนตรัย คุณ พระมหาสิริราชธาตุ ขอให้ช่วยเหลือ ไฟรถเกิดดับวูบลง เมื่อไฟติดอีกครั้ง มอเตอร์ไซร์คันนั้น ไปวิ่งอยู่ข้างหลัง อย่างไม่น่าเป็นไปได้ ลักษณะเหมือนรายอื่นๆ ที่เล่าเรื่องทะลุมิติ ไม่ผิดเพี้ยน
เรื่องทะลุมิตินี้ ไม่สามารถอธิบายด้วยเหตุผล ทางวิทยาศาสตร์ได้เลย และสำหรับผู้ฟังคำบอกเล่า มักเชื่อไม่สนิทใจทุกครั้ง ดูเหลือเชื่อ และไม่น่าเป็นไปได้ แต่สำหรับผู้ที่ประสบเหตุ ด้วยตนเองแล้ว ไม่มีรายใดกล้าสงสัย แม้แต่รายเดียว เพราะเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่เกิดอยู่เฉพาะหน้าของเขาจริง ๆ เขาจึงจำต้องเชื่อ อย่างสนิทใจสถานเดียว
ในโลกนี้มีเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์ สำหรับคนธรรมดา มากมายหลายเรื่อง แต่สำหรับผู้ศึกษา และปฏิบัติธรรม บรรลุผลแล้ว เหมือนอย่าง บัณฑิตในกาลก่อน จะไม่มีสิ่งใด ในโลกนี้ ที่เป็นความลับเหลืออยู่เลย