อานุภาพพระมหาสิริราชธาตุ

๔๐๔. คุณตาพาฉงน

คุณธัญญนันท์ ธนบูรณ์ เป็นครูสอนอยู่โรงเรียนแห่งหนึ่งย่านปากเกร็ด ครอบครัวของเธอ มีบุตร ๒ คน คนโต อายุ ๑๔ ปี ส่วนคนเล็ก อายุ ๕ ขวบ เธอบอกว่า เธอโชคดีที่ตัวเอง และครอบครัว มาเข้าวัดได้ทำบุญ และศึกษาหลักธรรม ในการดำเนินชีวิตที่นี้ เพราะ ก่อนที่จะได้มาวัด เธอก็เชื่อตามกระแสข่าว มาโดยตลอด เธอเล่าถึงเหตุการณ์ ในตอนเข้าวัด ครั้งแรกว่า 

ช่วงประมาณปลายปี พ.ศ.๒๕๔๑ ทางคุณพ่อคุณแม่ของสามี ชวนมาทำบุญหล่อ พระธรรมกายประจำตัว ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ สามีและน้องเขย ได้สร้าง พระธรรมกาย ประจำตัว ไว้แล้ว และจะได้รับ พระของขวัญ พระมหาสิริราชธาตุ วันนี้ด้วย เธอจึงชวนคุณพ่อคุณแม่ของเธอ มาด้วยเช่นกัน วันนั้นมากันแบบครอบครัวใหญ่ ลูกหลาน ขับรถตามกันมา ๒ คันรถ อากาศก็ปลอด โปร่ง ฟ้าเปิด แต่ใจของคุณธัญญนันท์ ยังไม่ค่อยเปิด เพราะยังรู้สึกต่อต้านวัดอยู่ เธอเชื่อตามกระแสข่าวที่บิดเบือน 

พอเข้ามาในวัด สิ่งแรกที่เห็นยิ่งตอกย้ำ ความไม่เข้าใจเพิ่มขึ้น เมื่อนำรถไปจอดที่ศาลาหลังใหญ่ กว้างขว้างมาก เขาบอกว่า จะไปนั่งสมาธิฟังธรรมกันที่นั่น เธอก็ถามทันทีว่า ไหน ล่ะ ศาลาทรงไทย เอกลักษณ์ของวัดทั่วไป มีแต่หลังคาโครงเหล็ก เธอหาเหตุไม่เข้าไปด้วย และขอรออยู่ที่ลานจอดรถ อ้างว่า จะคอยดูแลเด็กๆ และคุณพ่อของเธอเอง เพราะไม่ค่อย สบาย ป่วยอยู่หลายโรค คนที่ตั้งใจมาทำบุญ ก็แยกตัวเดินหายเข้าไปในศาลาหลังใหญ่ 

คุณธัญญนันท์และเด็กๆ จึงรออยู่ที่ลานจอดรถ ซึ่งเธอบอกว่า ไม่รู้อะไรมาบังตา วันนั้น เธอมองหาร่ม ที่จะหลบแดดร้อนไม่เจอ มองไปพบแต่ที่โล่งว่าง และศาลาหลังใหญ่ (สภา ธรรมกายสากล) เท่านั้น ทนอยู่นานถึง ๓ ชั่วโมง สามีเธอจึงบอก คุณทำไมไม่เข้าไปพักในอาคาร ที่ประดิษฐานรูปหล่อทองคำ หลวงพ่อวัดปากน้ำล่ะ เธอมองไปตามที่สามีชี้ จึงเห็นอาคารอยู่ด้านหลังจริงๆ เริ่มนึกแปลกใจว่า ทำไมเราไม่เห็น ยืนเฝ้าอยู่ตั้งนาน

พอเธอเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ อากาศเย็นสบาย เห็นรูปหล่อทองคำของหลวงพ่อ วัดปากน้ำตั้งเด่น เป็นสง่าอยู่ เธอเกิดมหาปีติขึ้นมา โดยอัตโนมัติ รีบก้มกราบด้วย ความศรัทธา ทั้งในตัวบุคคล ที่บริจาคทรัพย์ และเคารพ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ที่ท่านมีคุณสมบัติ เป็นปูชนียาจารย์ ในใจไม่เหลืออคติอีกเลย ตั้งแต่นั้นมา เธอจึงพาครอบครัว มาวัดปฏิบัติธรรม และหันหลังให้กับ อบายมุขโดยสิ้นเชิง

เมื่อได้ปฏิบัติธรรมที่วัดแล้ว ลูกทุกคนเข้าใจเรื่องบุญ และชอบสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิมาก เธอเล่าว่า หลังจากไปร่วมงานวันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๒ วันฉลอง ประดิษฐาน องค์พระเต็มรอบภายนอกเจดีย์ ได้ร่วมถ่ายภาพ ประวัติศาสตร์เรียบร้อยแล้ว กลับถึงบ้าน ด้วยความปีติเบิกบานในบุญกุศล ที่ได้ทำมาทั้งวัน ก่อนที่จะเข้านอน ในคืนนั้น ทุกคนถอดองค์พระมหาสิริราชาธาตุ วางรวมกันไว้บน หลังโทรทัศน์ ดับไฟหมดก่อนนอน ตัวเธอนอนริมสุด หันหลังให้โทรทัศน์ 

น้องเอินลูกสาวคนเล็กวัย ๕ ขวบ นอนตรงกลาง น้องโอมลูกชายคนโต นอนหันหน้าไปทางโทรทัศน์ ต่างคนต่างนอน แต่น้องเอินยังมีจิตที่เป็นประภัสสร ภาพของการไปประกอบ บุญกุศล ในตอนกลางวัน ยังอิ่มเอิบ อยู่ จึงนอนสวดบทสรรเสริญ พระมหาสิริราชธาตุ ด้วยใจที่บริสุทธิ์ พี่ชายนอนฟัง และนึกบทสวดตามไปในใจด้วย

เธอเองกำลังเคลิ้มหลับ ได้ยินเสียงลูกชายร้องเรียก ด้วยความตื่นเต้น คุณแม่ครับ คุณแม่ครับ นั่นแสงอะไรครับ อยู่บนหลังโทรทัศน์ แสงนั้น เป็นแสงสีแดงแจ๊ด พุ่งขึ้นมาเป็น ลำแสง ยาว เส้นไม่ใหญ่นักขนาด ครึ่งเซ็นติเมตร เป็นแบบนี้อยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยเลือนหายไป

ทุกคนตื่นเต้นที่ได้พบกับความอัศจรรย์ของ องค์พระมหาสิริราชธาตุ เปล่งแสงให้ได้เห็นเป็นบุญตา มีความรู้สึกปีติเบิกบานใจ เธอถือโอกาส ที่ลูกกำลังอยู่ในบุญนี้ รีบสั่งสอนลูกว่า นี่น้องโอม น้องเอินเป็นเด็กดี ตั้งใจทำความดีตั้งแต่เด็กๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านแสดงให้เห็นว่า ท่านคุ้มครอง และรักษาคนดีอยู่ ลูกรู้แล้วใช่ไหมจ๊ะ

คุณธัญญนันท์เล่าว่า คุณพ่อของเธอชื่อ สรกฤช ประสงค์ดี อายุ ๖๓ ปี อยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งป่วยอยู่ อาการของท่านทรุดหนัก ลูกๆ พามารักษาตัวที่โรงพยาบาล ในกรุงเทพฯ คุณหมอวินิจฉัยว่า เป็นกล้ามเนื้อหัวใจตาย เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ถุงลมโป่งพอง รักษาตัวอยู่ในกรุงเทพฯ ได้สักระยะหนึ่ง คุณหมอก็ให้กลับไปรักษาตัวที่บ้าน คุณพ่อจึง เดินทางกลับ นครราชสีมา เพราะคิดถึงบ้านเดิม พอถึงบ้านคุณพ่อ อาการกลับทรุดลงหนักกว่าเดิมอีก ลูกๆ ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล ประจำจังหวัด คุณหมอรับตัวไว้ทันที 

พี่ชายซึ่งดูแลคุณพ่ออยู่รีบโทรศัพท์แจ้งมาที่คุณธัญญนันท์ แต่อาการของคุณพ่อก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น มีแต่ทรงกับทรุด คุณหมอก็พยายามรักษา แต่อาการ ไม่ดีขึ้นเลย จนคุณหมอ ส่ายหน้า แม้แต่ตัวของคุณธัญญนันท์เอง ก็เริ่มทำใจว่า คุณพ่ออาจอยู่ได้ไม่นาน แต่ก็ขอพึ่งบุญ จึงบอกคุณพ่อไปว่า ตอนนี้หลานชาย กำลังจะบวช เขากำลังอธิษฐานจิต ขอบุญ ในการบวชครั้งนี้ ช่วยคุณตา ขอให้คุณตาหายป่วยโดยเร็ว ตัวของคุณพ่อเอง ก็เริ่มท้อแท้ใจ เพราะอาการป่วยในครั้งนี้ หนักที่สุดในชีวิต ถึงกับพูดคุณธัญญนันท์ว่า พ่อคงไม่มี วาสนา ได้ไปร่วมงานบวชหลานแล้วล่ะลูกเอ๊ย

จะด้วยว่าบุญของคุณพ่อได้ร่วม สร้างพระธรรมกายประจำตัว ตามมาส่งผลทัน! และเป็นจังหวะดีที่พี่ชายของ คุณ ธัญญนันท์ ซึ่งก็เป็นผู้ที่เลื่อมใสใน พระรัตนตรัยอย่างยิ่ง ได้เข้า วัดปฏิบัติธรรม และร่วมสร้างพระให้กับตนเอง และครอบครัว ถึง ๕ องค์ และยังขวนขวายในการสั่งสม ความดีทุกรูปแบบ วันนั้นบังเอิญพบ พี่ผู้นำบุญ ชื่อพี่น้อย เพิ่ง เดินทาง มาจาก กรุงเทพ เมื่อทักทายกันแล้ว พี่ชายก็ขอแยกตัว เข้าเมืองโคราช โดยบอกกับพี่น้อยว่า ต้องรีบไปดูคุณพ่อ ที่กำลัง ป่วยหนัก ใจน่ะอยากให้ท่านหาย แต่ก็รู้สึกท้อ เพราะท่าน ป่วยหลายโรคมาก 

พอคุณน้อยได้ทราบเรื่องจึงขอไปเยี่ยมด้วย เธอบอกว่า เธอมีพระของขวัญอันศักดิ์สิทธิ ต้องการที่จะนำ พระมหาสิริราชธาตุ ไปช่วยรักษา พอไปถึงเห็นคุณพ่อ อยู่ในอาการอิดโรย พี่น้อยก็ชวนลูกๆ สวดสรรเสริญ แล้วอธิษฐานจิตทำน้ำมนต์ คุณพ่อ บอกว่า พอดื่มลงไป รู้สึกร้อนมาก ตั้งแต่ลำคอลงไป สักครู่เปลี่ยน เป็นเย็นสบาย แล้วคุณพ่อ ก็วางองค์ พระมหาสิริราชธาตุ บนหน้าอกคุณพ่อ คุณพ่อก็บอกว่า มีอาการร้อนที่บริเวณหน้าอก สักครู่ก็เย็น 

แล้วพี่น้อย ก็นำองค์พระมหาสิริราชธาตุ ให้คุณพ่ออธิษฐาน ขอบุญที่คุณพ่อ ได้ ร่วมสร้าง มหาธรรมกายเจดีย์ ให้บุญนี้ช่วย รักษา ให้หายป่วย เป็นอัศจรรย์ด้วย และมอบรูป พระมหาสิริราชาธาตุให้คุณพ่อ ไว้สวดสรรเสริญ เก็บไว้ใต้หมอน คุณพ่อก็ ทำตาม สวดสรรเสริญ ด้วยใจที่เลื่อมใส และเชื่อมั่นในคุณของพระรัตนตรัย

คุณธัญญนันท์ และพี่ชายต่างได้ช่วยกัน เฝ้าดูอาการ ของคุณพ่อตั้งใจ สวดสรรเสริญพระมหาสิริราชธาตุ และชวนคุณพ่อให้ตั้งจิตอธิษฐาน ขอให้หายจากโรค โดยเร็วพลัน วันแรก ของการตรึกระลึกถึงบุญ โดยมีพระมหาสิริราชธาตุ เป็นทางผ่าน คุณพ่อมีหน้าตาผ่องใสขึ้น อย่างเห็นได้ชัด

คุณหมอมาตรวจเช็คร่างกาย ความดันโลหิตสูง ลดลงจากเดิมมาก อาการเหนื่อยหอบลดลง พอวันที่ ๒ อาการของโรคไม่กำเริบขึ้น คุณพ่อดูแข็งแรง มีเรี่ยวมีแรงขึ้น ตั้งใจสวด สรรเสริญทำสมาธิต่อไป อาหารที่เขาจัดมาให้ ก็ทานได้เกือบหมด แล้วคุณหมอ ก็มาแจ้งข่าวดี สามารถให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้

เมื่อถึงบ้านสิ่งแรก ที่คุณพ่อทำคือ ให้ลูกสาวนำปัจจัยส่วนที่ทยอยบุญ ที่ยังไม่ครบองค์นำไปถวายให้ครบจำนวน และตั้งใจสวดมนต์ นั่งสมาธิ เป็นประจำ พร้อมกับคุณแม่ ที่ป่วย ด้วยโรคที่รุมอยู่ก็ค่อยๆ หายไป เมื่อคุณหมอนัดไปตรวจจากทุก ๒ สัปดาห์ ปัจจุบันนี้นัด ๓ เดือนครั้ง คุณพ่อแข็งแรง เดินเหินได้คล่อง จากเมื่อก่อน เดินขึ้นลงบันไดไม่ได้เลย แต่ปัจจุบัน ทำงานบ้านได้ทุกอย่าง ตัดก่อไผ่ได้เป็นกอๆ เหมือนอย่างกับคนหนุ่ม ซึ่งสร้างความฉงน กับผู้ที่พบเห็นอย่างมาก 

และเป็นที่น่าประทับใจอย่างยิ่งที่ในวันบวชหลานชาย คุณตาได้มาร่วมเป็น เจ้าภาพงานบวชนี้ได้อย่างที่ตั้งใจ ด้วยความเบิกบาน และ พูดกับคุณธัญญนันท์ ด้วยความประทับใจ น้ำตาคลอว่า พ่อโชคดี ที่มีโอกาสได้มาทำบุญ ที่วัดพระธรรมกายอีก คิดว่า ชีวิตนี้ คงจะ ไม่ได้มาแล้ว หลังจากนั้นมา ทุกวันคุณพ่อและคุณแม่ ต่างตั้งใจประพฤติธรรม เร่งสั่งสม บุญบารมีติดตัวไว้ให้มากที่สุด ในยามชรา เพื่อจะได้เป็นเสบียงไปยังภพเบื้องหน้า

รายนี้เห็นชัดเจนว่ากัลยาณมิตรเป็นสิ่งล้ำค่า สามารถให้ประโยชน์สูงสุดแก่ชีวิต ถ้าไม่มีคนในครอบครัว คือพ่อแม่ของตนเอง และของสามี เข้าวัดทำบุญ เป็นสัมมาทิฏฐิอยู่ก่อนแล้ว คงจะไม่มีใครชักชวนแนะนำ สองสามีภรรยาคู่นี้เข้าวัด แต่เพราะมีพ่อแม่เป็นกัลยาณมิตร ออกอุบาย ชวนมาเป็นเพื่อน รับพระของขวัญ ก็ยังไม่ยอมเข้าไปในสภาใหญ่ ยอมยืน ตากแดด คอยอยู่ได้ถึง ๓ ชั่วโมง คงเป็นผลกรรม จากการมีมิจฉาทิฏฐิ คิดไม่พอใจวัดตามข่าว อันที่จริง คงเป็นบุญในชาติปางก่อน ที่เคยทำไว้ตามมากกว่า

เมื่อมีศรัทธา อันเป็นธรรมเบื้องต้น ในการประกอบคุณงามความดีเกิดขึ้น การทำบุญกุศลอื่นๆ จึงเกิดตามมา ไม่ว่า จะทำทาน รักษาศีล สวดมนต์ ฟังเทศน์ เจริญภาวนา ความ ประพฤติไม่สมควรต่างๆ ก็เลิกทำไปเอง โดยอัตโนมัติ กลายเป็น ครอบครัว สัมมาทิฏฐิกันไปทั้งบ้าน

เรื่องความเจ็บไข้ได้ป่วยของบิดา เข้าใจว่า มาจากสาเหตุ ทั้งจากเรื่องของกรรม และจากการปฏิบัติตน ของคนป่วยเอง เช่น เรื่องโรคเบาหวาน มักมีสาเหตุมาจากกรรม โรคถุงลม โป่งพอง มาจากนิสัยชอบสูบบุหรี่จัด ซึ่งสามารถ ทำให้เกิดโรคหัวใจ ตามมา การนำพระมหาสิริราชธาตุ มาเป็นที่พึ่ง ที่ระลึก โดยเฉพาะผู้ป่วย มีศรัทธาอย่างยิ่ง ในพระรัตนตรัย อยู่แล้ว ยามเจ็บป่วย จึงนึกถึงแต่เรื่องบุญกุศล เช่นนึกเรื่อง ต้องการไปบวชหลานชาย เป็นสามเณรธรรมทายาท นึกเรื่องต้องการ นำเงินไปสมทบสร้างองค์พระ ให้เต็มจำนวน ฯลฯ
เมื่อนึกถึงบุญกุศล กำลังใจคนเจ็บย่อมดีขึ้น การดื่มน้ำมนต์ด้วยใจมีศรัทธา น้ำมนต์ก็ย่อมเป็น ยารักษาไปโดยปริยาย เจ็บหนักที่คิดว่า จะตายกลับหายป่วย เป็นอัศจรรย์

ส่วนที่หลานสาวอายุ ๕ ขวบนอนสวดสรรเสริญองค์พระ ที่วางอยู่เหนือที่วางโทรทัศน์ ส่องลำแสงออกมาให ้หลานชายที่นอนหันหน้าไปทางนั้นเห็น คงเป็นเหมือนรายอื่นๆ ที่ ประสบกันมาหลายราย ตามที่เล่ากัน สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นให้เห็นได้จริงๆ ด้วยตาเนื้อ แต่ก็ไม่สามารถ หาเหตุผลอะไรมาอธิบายกันได้ ก็ต้องยกให้เป็นความศักดิ์สิทธิ์ เป็นพุทธานุภาพ เป็นคุณของ พระรัตนตรัย อันไม่มีประมาณ แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละบุคล

อย่างไรก็ตามความเชื่อใด ทำให้สบายใจ ทำให้มีกำลังใจทำความดี ทำบุญกุศล ไม่ควรเรียกว่า เป็นความเชื่องมงาย ควรถือว่า เป็นความเชื่อมีประโยชน์ ควรมีไว้ ดีกว่า อยู่อย่าง ไม่เชื่ออะไรเลย ทำให้ชีวิตหว้าเหว่ ไร้ที่พึ่ง กลายเป็นคนดื้อดึงอวดดี และจะกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิไปในที่สุด


[สารบัญ] [๓๙๙] [๔๐๐] [๔๐๑] [๔๐๒] [๔๐๓] [๔๐๔]