-- ..

บริการค้นหาเว็บเพจ
Gestbook
This site best view by 800x600 with Internet Explorer 5.0 or later
Copyright ? 2000 - 2001 mongkolvittaya.net. All rights reserved.
Contacts : khumsorn@lemononline.com

 

เยี่ยมชมโรงเรียน
แผนภูมิบริหาร
บุคคลากร
ประมวลภาพ
ความรู้ด้านธรรมะ
ผลสอบนักธรรม
Home
Webmaster
 
   
ตอนที่ 1
ประวัติสังเขป
วัดมงคลสามัคคีธัมโมทัย ตั้งอยู่ เขาสาป หมู่บ้านจำรุง หมู่ 1
ตำบลเพ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง
-----วัดนี้ ได้มีการริเริ่มคิดสร้างเมื่อ พ.ศ.2495 โดยครั้งแรก นายอุทัย เจริญสวัสดิ์ ได้ชวน นายสำเริง อรัญนาถ
และ นายโพล้ง ฟุ้งเฟื่อง ชาวบ้านช่น เป็นผู้นำทางให้ขึ้นเที่ยวบนภูเขาสาป นายโพล้งได้นำไต่ขึ้นทางด้านหินขาว
เมื่อขึ้นไปถึงยอด เขาแล้ว นายอุทัยเกิดความรู้สึกอยากให้เขาลูกนี้เป็นวัดแต่ก็ไม่ได้บอกกล่าวกับ ผู้ที่ขึ้นไปด้วย
เมื่อกลับกรุงเทพฯแล้ว ไม่นานนายเฉียม ชลศิริ ชาวบ้านจำรุง ซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้กับเขาสาปได้มาพบนายอุทัย
ได้ชักชวนนายเฉียมให้ช่วยกันชักชวนชาวบ้านจำรุง ให้ช่วยกันสร้างวัดขึ้นที่เขาสาป ซึ่งนายเฉียมก็ตกลงและยินดี
ยกที่ดินให้เพื่อการก่อสร้างโดยมีที่ดินติดต่อกับเขาสาป ซึ่งเป็นที่ของนางแกว ภรรยา นายเฉียมเป็นสวนมะม่วง
กับขนุน โดยนายอุทัยจะเป็นฝ่ายจัดหาเงินมาดำเนินการก่อสร้าง และลำดับต่อมามีผู้บริจาคที่ดินให้สร้างวัดอีก 4 ราย
คือ นายไทย ขวัญม่วง, นายเสริญ อินพรหม, นายจั๋ง จาระติกรรมา และนายป่อง ชลสวัสดิ์ ซึ่งทั้ง 4 ท่านนี้มีที่ดิน
อยู่ในบริเวณติดต่อแนวเดียวกันกับเขาสาปเช่นกัน ต่อมาในปี พ.ศ.2500 นายจำเนียร เจียมสมบูรณ์ หัวหน้าแผนก
รังวัดที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ได้มาขอให้นายอุทัยช่วยเหลือหาพระพม่าและชาวพม่าเที่ยวต่างจังหวัด
เพื่อชมวัดต่างๆ ซึ่งนายอุทัยได้ตกลงช่วยเหลือ นำเที่ยวจังหวัดนครปฐม อยุธยา สระบุรี และล่องน้ำดูวัดริมแม่น้ำ
เจ้าพระยา พระและชาวบ้านพม่าเหล่านี้ต่างมาในงานฉลองพุทธศตวรรษ 2500 ปี โดยอาศัยพักอยู่ที่วัดประดิษฐาราม
(วัดมอญ เจริญพาสน์) ซึ่งนายจำเนียรมีบ้านใกล้กับวัดนี้ โดยมีพระสุชิน ญาณรังษี จำพรรษาอยู่วัดเดียวกัน
เป็นล่ามแปลภาษาพม่าเป็นไทยในระหว่างนำเที่ยว

----เมื่อหมดงานฉลอง 2500 ปีแล้วพระและพม่าต่างขอบใจ ในความเอื้อเฟื้อของนายอุทัย จึงจะขอตอบแทนบ้าง
นายจำเนียรทราบดีว่ากำลังคิดสร้างวัดกันอยู่ จึงปรึกษากันว่าวัดที่สร้างนี้ถ้าได้ของแปลกไว้ประจำวัดก็จะดี ดังนั้น
นายอุทัยจึงขอให้ช่วยสร้างพระประธานหินอ่อนและพระพุทธบาทจำลองหินอ่อนไว้ประจำวัดที่จะสร้างขึ้นให้ม
ีองค์ใหญ่ ่พอสมควร ซึ่งพระและชาวพม่าได้ตกลงจะช่วยสร้างให้ และเพื่อความรวดเร็ว นายอุทัยได้มอบเงินมัดจำ
ไปก่อน60,000 บาท เมื่อตกลงราคากันจริงเท่าใดให้แจ้งมา แล้วจะส่งเงินไปเพิ่มให้ทันที

----หลังจากนั้นปลายเดือนธันวาคม 2501 ได้มีพระพม่า 2 รูป เดินทางมาที่วัดประดิษฐารามแจ้งกับพระสุชิน
ญาณรังษี ว่าพระพุทธรูปหินอ่อนได้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว และได้ส่งมาทางเรือเดินสมุทร จะเข้าจอดที่
เกาะสอง (วิกตอเรียพ้อยท์) ทางเขตแดนพม่าในวันที่ 10 มกราคม 2502 และเล่าว่าพระพุทธรูปหินอ่อนได้ดำเนินการ
สร้างที่กรุงมัณฑเล ทางภาคเหนือของประเทศพม่า ระหว่างการขนส่งมาสู่ภาคใต้ที่กรุงย่างกุ้ง ต้องผ่านสมรภูมิระหว่าง

พวกธงแดง ธงขาว ซึ่งกำลังต่อสู้เพื่อขอแยกเป็นรัฐอิสระจากสหภาพพม่า ของพวกมอญ กะเหรี่ยง เงี้ยว ฯลฯ แต่ได้
พระอาจารย์พม่า (ที่เคยมาเที่ยวประเทศไทย) ซึ่งเป็นอาจารย์ที่คู่ต่อสู้เคารพอย่างสูงเป็นผู้ควบคุมนำส่ง ดังนั้นทุกฝ่าย
ต่างอาสารับส่งต่อๆ กันมาจนถึงเมืองย่างกุ้งอย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องเสียค่าขนส่งแต่อย่างใด เมื่อถึงกรุงย่างกุ้ง
ชาวย่างกุ้งได้จัดการสมโภชแห่รอบเมืองย่างกุ้ง โดยเขียนป้ายว่า พระพุทธรูปหินอ่อนและพระพุทธบาทหินอ่อนมา
จากกรุงศรีอยุธยา พร้อมกันนี้ได้มอบพระพุทธรูปหินอ่อนองค์เล็กหน้าตัก 14 นิ้ว ให้นายอุทัยไว้บูชาเป็นการส่วน
ตัว 1 องค์ ส่วนค่าขนส่งมาทางทะเลโดยเรือสินค้าจนถึงเกาะสอง (วิกตอเรียพ้อยท์)ค่าสร้างพระพุทธรูปหินอ่อนและ
พระพุทธบาทจำลองหินอ่อนที่เหลือทั้งสิ้น ชาวพม่าได้พร้อมใจกันจ่ายแทน ดังนั้น ในวันที่ 9 มกราคม 2502

นายอุทัยกับนายจำเนียร พร้อมด้วยท่านพระครูประดิษฐกัลยาณคุณ เจ้าอาวาสวัดประดิษฐาราม จังหวัดธนบุรี
พระสุชิน ญาณรังษี (ล่าม) และพระพม่า 2 รูปผู้ส่งข่าว ได้ออกเดินทางจากวัดประดิษฐาราม ธนบุรี โดยรถจิ๊ปเล็ก
เดินทางตั้งแต่เวลา 06.00 นาฬิกา ผ่านจังหวัดนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร กระบี่ เข้าถึง
จังหวัดระนอง เวลา 23.30 นาฬิกาเศษ
 
ตำนานวัดเขาสาป
เขาสาปสาปแต่ชื่อ
เขานั้นหรือจะสาปใคร
สามัคคีธัมโมทัย มงคลคีรีนิรันดร
ชาติศาสน์กษัตริย์
จักยืนหยัดไม่โยกคลอน
เพราะฟังคำสั่งสอน พระพุทธองค์ชี้นำทาง
ศีลสมาธิปัญญา
คือมรรคาที่จัดวาง
ดับทุกข์ดับครวญคราง ดับนิวรณ์โลกียชน
มนุษยสมบัติสวรรค์สมบัติ
ฤาเลาะลัดสู่หลุดพ้น
พุทธธรรมนำมวลชน จักล่วงพ้นอบายภูมิเทอญ