ทศชาติที่ ๔ พระเนมิราช... |
ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงบิณฑบาตแล้วเสด็จประทับ
ณ อัมพวัน สวนมะม่วง กรุงมิถิลา
และพระอานนท์กับ
พระภิกษุทั้งมวลได้กราบทูลอาราธนาให้พระองค์
ทรงโปรดปรานเล่าเรื่องอดีตชาติดังต่อไปนี้
เมื่อครั้งอดีตกาล
พระพุทธเจ้าทรงเสวยพระชาติเป็นพระราชาครองมิถิลานคร
มีพระนามว่า "มะฆะเทวราช"
ซึ่งการครองบัลลังก์ของราชวงศ์นี้จะเป็นไปตามสัตย์อธิษฐานว่า
เมื่อเกศาหงอกเมื่อใดก็จะทรงออกผนวชและยกราชสมบัติให้พระราชโอรสต่อไป
ดังนั้นเวลาที่ช่างภูษามาลามาตบแต่งพระเกศาพระราชาก็จะทรงรับสั่งเสมอว่า
ถ้ามีพระเกศาหงอกก็จงทูลให้ทรงทราบด้วย
เทพบุตรจุติ
ยามนั้นเทพบุตรบนสวรรค์นาม
"เนมิราช"
เล็งเห็นว่าราชวงศ์กษัตริย์นี้อาจจะมิมีผู้ใดสืบสันติวงศ์ต่อไป
จึงจุติลงมากำเนิดในครรภ์ของพระอัครมเหสีของพระเจ้ามะฆะเทวราช
เมื่อประสูติออกมาก็ได้รับพระนามว่า
"เนมิราช"
ด้วยว่าเหล่าพราหมณ์คิดว่าพระราชโอรสประสูติมาแล้ว
ก็ต้องกระทำตามกฎสัตย์อธิษฐานของราชวงศ์ที่ต้องขึ้นครองราชย์
และก็ต้องออกบรรพชาเมื่อพระเกศาหงอกแล้ว
พระเนมิราชเมื่อทรงเยาว์ก็มีพระทัยเปี่ยมด้วยเมตตาธรรมทรงตั้งโรงให้ทาน
และพระราชทานทรัพย์วันละหลายแสน
พระองค์เองก็ทรงถือศีล ๕
ประพฤติปฏิบัติธรรมเคร่งครัด
ต่อมาพระเนมิราชทรงได้ขึ้นครองราชย์แทนพระบิดาซึ่งออกบรรพชาไปแล้ว
พระองค์ทรงสงสัยเรื่องการให้ทานกับการถือศีลว่าอานิสงส์สิ่งใดจะมากกว่ากัน
พระอินทร์จึงเสด็จจากทิพย์อาสน์ลงมายังห้องบรรทมของพระเนมิราช
แล้วตอบความคลางแคลงพระทัยนั้นว่า
"ดูกรสมมติเทพ
ผลบุญของการถือศีลนั้นมากกว่าการให้ทานหลายร้อยเท่า
หากถือศีลเจริญสมาธิแล้วก็จะได้นิพพาน
ไปเกิดในพรหมโลก
ดังนั้นขอให้ท่านจงอุตสาหะหมั่นถือศีลมิรู้เสื่อมสิ้น"
เมื่อพระเนมิราชสดับฟังดังนั้นก็นิมนต์สงฆ์มาเทศนาสั่งสอน
ไฟร่ฟ้าข้าแผ่นดินเนือง ๆ
พระองค์เองก็รักษาศีล
และพร่ำอบรมให้เสนาอำมาตย์และพสกนิกรถือศีลให้เคร่งครัด
เสด็จชมสวรรค์-นรก
บรรดาไฟร่ฟ้าเมื่อตายไปก็ได้ไปเกิดเป็นเทวดาในพรหมโลก
ต่างก็สำนักว่าเป็นเพราะพระเนมิราชสั่งสอนให้ตน
รักษาศีลรักษาธรรมนั่นเอง
จึงอยากชมพระบารมีพระเนมิราช
พระอินทร์จึงให้พระมาตุลีเทพบุตรเทียมเวชยันต์ราชรถลงไปยังมิถิลาพระนคร
เพื่อเชิญเสด็จพระเนมิราชขึ้นสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงษ์
พระเนมิราชทรงลาเสนาอำมาตย์ขึ้นราชรถไป
ครั้นถึงระหว่างทางพระมาตุลีเทพบุตรจึงกราบทูลว่า
"พระองค์จะเสด็จสู่นรกภูมิก่อนหรือไม่
บรรดาสัตว์ที่กระทำบาป
หยาบช้าเมื่อพบพระองค์บำเพ็ญกุศลศีลทาน
อาจได้ไปเกิดในสวรรค์บ้าง"
"ถ้าเช่นนั้น
ท่านจงพาเราไปชมนรกก่อนเถิด
จากนั้นค่อยไปทางสวรรค์"
เมื่อพระเนมิราชตกลงดังนั้น
พระมาตุลีเทพก็นำเสด็จไปยังชั้นนรก
ในภูมินรกนั้นมีธารน้ำอันเดือดเป็นนิจ
มีเปลวรุ่งโรจน์แผดเผาให้เร่าร้อนมิมีวันดับ
นายนิรยบาลก็ยืนถือดาบใหญ่และหอกยาวคอยทิ่มแทง
สัตว์นรกทั้งปวงเมื่อเจ็บปวดก็กระโดดลงแม่น้ำเวคะตะระณีนัทที
ซึ่งมีแต่หนามหวายคมดั่งกรด
เมื่อถูกเนื้อตัวส่วนใดเนื้อก็ขาดแหว่งทันที
หากหนีจากหนามหวายก็เจอฉมวกหลาวเสียบเข้าร่างกาย
ตกลงไปสู่บัวเหล็กก็ถูกบาดให้ขาดเป็นท่อน
ตกลงไปในน้ำร้อนเดือดเป็นพวยพุ่ง
หนีขึ้นฝั่งก็ถูกทิ่มแทงสกัดไว้
มีคีมคีบถ่านแดงใส่ปากให้แสบร้อนทุรนทุราย
เป็นนรกขุมที่คนผู้เคยรักแกคนที่อ่อนแอกว่าต้องมารับกรรม
อีกด้านหนึ่งมีสุนัขตัวดั่งช้างคอยไล่กัดกิน
มีนกแร้งคอยรุมแทะไส้พุงและกระดูก
เหล่าสัตว์นรกร่างกายฉีกขาด
ต่างก็ร่ำร้องคร่ำครวญโหยหวนไปทั่วทุกแห่ง
คนที่ฆ่าสัตว์หรือทำร้ายสัตว์ก็จะถูกหิ้วคอด้วยพรนเหล็ก
ถูกกวัดแกว่งแล้วโยนใส่น้ำร้อนจนตายไป
ไม่นานก็ฟื้นใหม่มาถูกรัดคอจนตายแล้วตายอีก
คนที่เคยคดโกงเงินทาน
ก็จะถูกโยนลงไปในถ่านเพลิงให้ไฟไหม้ท่วมตัว
คนที่ใจบาปหยาบช้า
ก็จะถูกทุบตีด้วยกระบองเหล็กจนตัวแหลกราญ
ร่างลุกเป็นเปลวไฟดิ้นพล่านอย่างปวดแสบเจ็บแสน
คนที่ฆ่าบุพการี
ก็จะกลายเป็นสัตว์นรกเหม็นเน่า
ต้องดื่มกินเลือดหนองของตัวเองต่างน้ำยามหิวกระหาย
คนที่มีชู้
ก็ถูกไล่ทิ่มแทงให้ปีนต้นงิ้วที่เต็มไปด้วยหนามแหลมคม
ตกลงมาก็ถูกฝังทับด้วยภูเขาเหล็กจนร่างปี้ป่น
เกิดเสียงดังกำปนาทน่าระทึกหวาดผวา
นรกขุมต่าง ๆ ๑๕
ขุมนั้นมีดังนี้คือ
เวตรณีนรก นรกสุนัข นรกทองแดง
นรกหม้อทองแดง
นรกถ่านเพลิง นรกโซ่ทองแดง
นรกแหลมหลาว นรกทุบตี
นรกแม่น้ำแกลบ นรกน้ำหนอง นรกคูถ
นรกเป็ด
นรกสัตว์อุบาทว์ นรกบ่อไฟ
นรกภูเขา-เหล็กไฟ
ภาพขุมต่าง ๆ ในนรกทั้ง ๑๕
ขุมทำให้พระเนมิราชสลดหดหู่พระทัย
และประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งนัก
ขณะนั้นองค์อินทร์ได้ส่งเทวบุตรมาเตือน
ให้พระมาตุลีเทพรีบเชิญเสด็จพระเนมิราชสู่ภพของสวรรค์
ด้วยเกรงว่าเวลาของพระชนมายุจะหมดลงเสียก่อน
หากใช้เวลาในนรกภูมินานเกินไป
พระมาตุลีเทพบุตรจึงขับรถเวชยันต์สู่สวรรค์
บนชั้นวิมานแมนนี้
มีเทพธิดาเทพบุตรมากมาย
คนบางคนเคยเป็นทาสรับใช้พราหมณ์
ได้รับทรัพย์จากพราหมณ์นำไปซื้อเครื่องไทยทานถวายภิกษุ
เมื่อตายก็ได้จุติเป็นนางฟ้านางสวรรค์
พระมาตุลีเทพบุตรได้นำราชรถเสด็จผ่านสวรรค์ทั้ง
๗ ขั้น
แต่ละชั้นวิมานนั้นมีแต่แสงรุ่งเรืองพราวพราย
ดั่งรัศมีทรงกลดของดวงอาทิตย์
ในวิมานแก้ววิมานทองนั้นมีเทวบุตร
๑ องค์
แวดล้อมพร้อมพรักด้วยเหล่านางอัปสร
เทวบุตรในวิมานหนึ่งเคยเป็นคหบดีนาม
"โสณทินนะ"
อยู่ที่เมืองกาสักราช
ได้หมั่นทำบุญสร้างอุโบสถ ๗
อุโบสถ
ถวายจตุปัจจัยทั้ง ๔
แก่ภิกษุสงฆ์
จิตใจยึดมั่นรักษาศีลประพฤติชอบด้วยธรรม
เมื่อดับจิตแล้วจึงมากำเนิดเป็นเทวบุตรอยู่ในวิมานแก้วดังนี้เอง
เมื่อเล่าความแต่ละหนทางที่เคลื่อนรถผ่านแล้ว
พระมาตุลีเทพก็นำเสด็จพระเนมิราชไปชมวิมานแก้วสูง
๒๕ โยชน์
ประดับ ๗ แก้วแวววาว
ฉัตรเงินฉัตรทองส่องแสงรุ่งรัศมี
มีสระโบกขรณีที่ผนังล้วนเป็นผลึกแก้ว
มีเทพบุตรเทพธิดาเสพย์ทิพย์อยู่ทั่วสถาน
พระเนมิราชทรงตรัสถามว่า
เทพเหล่านั้นประพฤติชอบใดเมื่อยังเป็นมนุษย์
พระมาตุลีเทพบุตรกราบทูลว่า
เทพเหล่านี้เมื่อเป็นมนุษย์ได้รักษาศีลบำเพ็ญทานอยู่ตลอดชีวิต
เมื่อตายจึงได้มาเกิดเป็นเทพอยู่บนวิมานชั้นนี้
วิมานแก้วไพฑูรย์และวิมานแก้วผลึกก็เป็นของเทพที่เคยบริจาค
ถวายจีวรให้สงฆ์ในฤดูหนาว
วิมานทองนั้นเป็นของเทพที่เคยรักษาศีล
ถวายทานบิณฑบาตให้ทานคนยากไร้อนาถา
สร้างพระอารามถวายสงฆ์
ในแต่ละชั้นวิมานมีแต่เสียงมโหรีไพเราะ
และกลิ่นหอมฟุ้งขจรของมวลพฤกษาบุปผชาติสวรรค์
แต่มิทันจะครบถ้วนทุกวิมานพระอินทร์จึงให้มหาชวนะเทพบุตร
มาตามด้วยเกรงว่าจะหมดพระชนมายุพระเนมิราชเสียก่อน
พระมาตุลีเทพบุตรจึงขับราชรถผ่านภูเขาและแม่น้ำสีทันดร
ซึ่งมีสายน้ำลึกนักมิอาจมีสิ่งใดข้ามได้แม้แต่เรือ
แพ
หรือเกล็ดแววนางนกยูง
ริมน้ำมีเขา ๗ ชั้น
เรียงดั่งอัฒจันทร์
เป็นที่อยู่ของกินนร
วิทยาธร คนธรรพ์ และยักษ์
หน้าประตูชั้นดาวดึงส์มีรูปพระอินทร์ประดิษฐ์ไว้
ในเมืองกว้างกว่า ๑ หมื่นโยชน์
เหนือยอดเขาพระสุเมรุ
ล้อมรอบด้วยซุ้มทวารแก้วและกำแพงทองประดับแก้ว
๗ ประการ
พื้นทั่วไปนั้นมิมีฝุ่นผง
มีแต่มวลบุปผานานาพันธุ์ออกดอกโต
และส่งกลิ่นหอมรวยรินทั่วทุกหน
พระเนมิราชถูกเชิญเสด็จสู่โรงสุธัมมาเทวสถาน
เหล่าทวยเทพยดาและเทพธิดาพากันนำดอกไม้
และเครื่องหอมทิพย์มาสักการะบูชาพระเนมิราช
และอันเชิญเสด็จให้เสวยสิริสุขอยู่บนสรวงสวรรค์
อันเป็นทิพย์นิรันดร์
หากทว่าพระเนมิราชทรงตรัสว่า
"เรามิมีประสงค์เช่นนั้น
เราได้เห็นผลกรรมของมนุษย์ที่น่าทุกขเวทนายิ่งนัก
ให้รู้สึกสลดหดหู่ใจเหลือเกิน
และเราก็ปีตินัก
ที่ได้เห็นคนได้ผลบุญจนมาเสวยสุขในชั้นวิมาน
เราจึงปราถนาจะได้สั่งสอนคนให้รู้จักประกอบคุณงามความดีไว้
เพื่อมิต้องมาตกนรกหมกไหม้ดังนี้"
จากนั้นพระเนมิราชก็ทรงแสดงธรรมและสรรเสริญพระมาตุลีเทพบุตร
แล้วจึงร่ำลากลับมายังเมืองมนุษย์
พระเนมิราชทรงตรัสเล่าเรื่องราวที่ทรงทอดพระเนตรมาในเมืองนรก
และเมืองสวรรค์อย่างละเอียดให้แก่ข้าราชบริพารและชาวเมือง
เมื่อได้ฟังความน่ากลัวของนรกและความงดงามของสวรรค์แล้ว
เหล่าชาวเมืองก็ตื้นเต้นและตระหนักในเรืองบุญและกรรมกันยิ่งขึ้น
พระเนมิราชได้ทรงปฏิบัติมโนปณิธานของพระองค์
รักษาศีลส่งสอนไพร่ฟ้าเสนาอำมาตย์ให้หมั่นทำความดีทำการกุศลมิได้ขาด
แล้วจึงเสด็จออกบรรพชาอยู่ในอัมพวันอุทยานของมิถิลาพระนคร
และได้เสด็จจุติในสวรรค์ชั้นฟ้าเมื่อทรงสวรรคตแล้ว
เนมิราชชาดกเรื่องนี้มีคติธรรมสอนถึงการหมั่นรักษาความดี
ประพฤติชอบโดยตั้งใจ
โดยมุ่งมั่น
หากทำความดีแล้วย่อมได้ดี
ประพฤติชั่วย่อมได้ผลชั่วตอบแทน
นี้เป็นเรื่องที่สมควรยึดมั่นโดยแท้...
webmaster
songkran2000@chaiyo.com
[ กวีไทย
] [ ดอกสารภี ] [ บ้านกลอนรจนา
] [ กุหลาบเวียงพิงค์
]