[ Map of Thailand ]
dp dmbc kk mp
"สวัสดีครับ มาหาใครครับ กรุณารอสักครู่ครับ เชิญครับ ขอบคุณครับ"
สำนักงาน
ผู้บังคับทหารอากาศดอนเมือง

ประวัติ , ผังการจัด

ทำไม? จึงเข้มงวดเรื่องทำบัตรผ่าน
การขอบัตรผ่านเข้า-ออก เขต ทอ.
การขับขี่ยานพาหนะในเขต ทอ.
กำหนดการปิด-เปิด ช่องทาง ทอ.
การขอใบอนุญาตประเภทบุคคล
การใช้ยานพาหนะในเขต บก.ทอ.
กฎ ระเบียบ แบบธรรมเนียมทหาร
ส.ค.ส. 2541 พระราชทานสู่ชาวไทย
กองทัพอากาศของท่าน
Royal Thai Air Force Day
งบประมาณ กองทัพไทย ปี 41
นโยบาย ทอ. ปีงบประมาณ 41
ข่าวสารในกิจการของทหารไทย
มาร์ชสี่เหล่า และเพลงปลุกใจ
การตรวจเยี่ยมสายวิทยาการ สห.
โครงการ สขว.ทอ.

โทรศัพท์ฉุกเฉิน ทอ.
แจ้งเหตุด่วน, เหตุร้าย 191
เพลิงไหม้ 192
รถพยาบาลฉุกเฉิน 194
อากาศยานอุบัติเหตุ 196
พัน.สห.ทอ. 2-2197 - 9
ศูนย์รวมข่าวดับเพลิง 2-2126,7
ศูนย์รับแจ้งเหตุ ทอ.ทุ่งสีกัน 3-0065
สถานีดับเพลิงย่อยทุ่งสีกัน 2-2129, 3-0083
ศูนย์โทรศัพท์กลาง ทอ. 523-6151, 523-6161


Supreme Command Headqurters
,
Royal Thai Armed Forces"

กรมธนารักษ์



ดัชนีข้อบังคับทหารว่าด้วยเรือนจำ

มาตรา ๑ ประเภทเรือนจำ
มาตรา ๒ การปกครองบังคับบัญชา
มาตรา ๓ การรับตัวผู้ต้องขัง
มาตรา ๔ การแยกผู้ต้องขัง
มาตรา ๕ นักโทษ
มาตรา ๖ เครื่องพันธนาการ
มาตรา ๗ การควบคุมผู้ต้องขัง
มาตรา ๘ การทำงาน
มาตรา ๙ การอนามัยและสุขาภิบาล
มาตรา ๑๐ การเลี้ยงอาหาร
มาตรา ๑๑ ข้อห้ามและข้อปฏิบัติ
มาตรา ๑๒ การลงทัณฑ์ฐานผิดวินัย
มาตรา ๑๓ การเฆี่ยนผู้ต้องขัง
มาตรา ๑๔ การลา
มาตรา ๑๕ พักการลงโทษ
มาตรา ๑๖ การปล่อยตัว
มาตรา ๑๖ ทวิ การประหารชีวิต
มาตรา ๑๗ การร้องทุกข์และถวายฎีกา
มาตรา ๑๘ การพิมพ์ลายนิ้วมือ
มาตรา ๑๙ สมุดแลละบัญชีต่าง ๆ
มาตรา ๒๐ ข้อความเบ็ดเตล็ด

ข้อบังคับทหาร ว่าด้วยเรือนจำ พ.ศ. ๒๔๘๐ (ต่อ)

มาตรา ๙
การอนามัยและการสุขาภิบาล
ข้อ ๑. ให้แพทย์เข้าตรวจเรือนจำ ในส่วนที่เกี่ยวแก่การอนามัยของผู้ตรวจขังและการ
สุขาภิบาลของเรือนจำโดยทั่ว ๆ ไป ไม่น้อยกว่าเดือนละ ๒ ครั้ง
ในการตรวจนั้น เมื่อเห็นสมควรจะจัดการอย่างใดให้ชี้แจงแนะนำแก่ผู้บังคับเรือนจำและ
จดหมายเหตุบันทึกไว้ในสมุดตรวจการของเรือนจำ
ข้อ ๒. ให้ผู้ต้องขังทุกคน มีหน้าที่จักต้องรักษาความสะอาดในส่วนร่างกาย เครื่องนุ่งห่ม
หลับนอนเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวแก่ตน ห้องขัง และส่วนใดส่วนหนึ่งของเรือนจำ
ข้อ ๓. โดบปกติให้จ่ายเครื่องนุ่งห่มหลับนอนแก่ผู้ต้องขัง ดังนี้
    (๑) เสื้อกางเกง ๓ สำรับ
    (๒) ผ้าอาบน้ำ ๑ ผืน
    (๓) ผ้าห่มนอน ๑ ผืน
    (๔) หมอน ๑ ใบ
    (๕) เสื้อหรือผ้าปูนอน ๑ ผืน
    (๖) มุ้ง ๑ หลัง
เสื้อ ใช้คอพวงมาลัยอย่างแบบเสื้อชั้นในของทหาร กางเกงเป็นชนิดกางเกงขาสั้นอย่าง
กางเกงกีฬา
เสื้อและกางเกงให้ใช้สี ดังนี้
    ก. เรือนจำทหารบก ใช้สีกากีแกมเขียว
    ข. เรือนจำทหารเรือ ใช้สีกากี
    ค. เรือนจำทหารอากาศ ใช้สีเทา
ส่วนผ้าอาบน้ำ ผ้าห่มนอน หมอน เสื่อ หรือผ้าขาวปูนอนนั้น ให้อนุโลมจ่ายให้
เช่นเดียวกับทหารในกรมกองเฉพาะมุ้งนั้น ให้พิจารณาจ่ายให้ในโอกาสอันควร
ข้อ ๔. โดยปกติ ให้ผู้บังคับบัญชาอนุญาตให้นักโทษแต่ชั้นดีขึ้นไป กับคนต้องขังและ
คนฝากขังออกเดินนอกห้องขัง หรือออกกำลังกายตามเวลาในเขตซึ่งกำหนดไว้ได้เ
ข้อ ๕. เรือนจำทุกแห่ง ต้องจัดให้มีสถานพยาบาลเพื่อเป็นที่ทำการรักษาพยาบาลผู้ต้องขัง
เว้นแต่สภาพการณ์ไม่เหมาะที่จะจัดขึ้นในสถานพยาบาลของทหารที่ใกล้ที่สุดก็ได้
ข้อ ๖. เมื่อแพทย์หรือเจ้าพนักงานเรือนจำพบผู้ต้องขังป่วย ให้ปฏิบัติตามข้อ ๔. และข้อ ๕.
แห่งมาตรา ๓ โดยอนุโลม
ข้อ ๗. ผู้ต้องขังที่เป็นคนติดฝิ่น กัญชา หรือสิ่งเสพติดใด ๆ อย่างร้ายแรงให้จัดเข้าไป
    เป็นผู้ป่วยโดยอนุโลม

มาตรา ๑๐
การเลี้ยงอาหาร
ข้อ ๑. ห้ามมิให้ผู้ต้องขังหุงหาประกอบอาหารเป็นส่วนตัว หรือนำอาหารไปรับประทาน     นอกเขตที่ทางการเรือนจำได้กำหนดไว้ โดยที่มิได้รับอนุญาตจากผู้บังคับเรือนจำ
ข้อ ๒. นักโทษ และคนต้องขังฐานละเมิดพระราชบัญญัติว่าด้วยวินัยทหาร จักต้อง
รับประทานอาหารซึ่งทางการเรือนจำจ่ายให้ จะรับประทานอาหารส่วนตัวได้แต่เฉพาะผู้ที่ได้รับ
อนุญาตไว้ในข้อบังคับนี้
ข้อ ๓. โดยปกติ ต้องจัดให้ผู้ต้องขังได้รับประทานอาหารอย่างน้อยวันละ ๒ มื้อ คือ  เช้า
และเย็น อาหารมื้อหนึ่ง ๆ ให้มีข้าวและกับ
ข้อ ๔. ผู้ต้องขังที่ทำงานหนักหรือตรากตรำ ผู้บัญชาการเรือนจำจะสั่งให้จัดอาหารเพิ่ม
ให้มากสิ่งหรือมากมื้อขึ้นก็ได้ หรือจะอนุญาตให้นำอาหารส่วนตัวมารับประทานเป็นพิเศษก็ได้
ข้อ ๕. อาหารที่ผู้ต้องขังรับประทาน ต้องให้เจ้าหน้าที่แพทย์ตรวจก่อน
ในกรณีที่เจ้าหน้าที่แพทย์ตรวจไม่ได้ ให้จัดเจ้าพนักงานเรือนจำเป็นผู้ตรวจแทน

มาตรา ๑๑
ข้อห้ามและข้อปฏิบัติของผู้ต้องขัง

ข้อ ๑. ผู้ต้องขังต้องปฏิบัติตน ดังต่อไปนี้
    (๑) เมื่อมีอาการป่วย หรือมีทุกข์ร้อนหย่างใดเกิดขึ้น ต้องรีบรายงานต่อผู้บังคับบัญชา
    (๒) ผู้ต้องขังจะมีจดหมายถึงผู้ใด หรือผู้ใดมีมาถึงตนก็ดี ต้องให้ผู้บังคับเรือนจำ    ได้อ่าน
    ตรวจก่อนเสมอ
    (๓) ต้องเคารพยำเกรงต่อผู้ใหญ่ และผู้บังคับบัญชาเหนือตน
    (๔) ต้องไม่เกียจคร้านต่อหน้าที่การงาน
    (๕) ต้องอยู่ในความควบคุมโดยแน่นอน จะไปไหนตามลำพังไม่ได้
    (๖) ต้องกระทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาและเจ้าหน้าที่โดยกวดขันและด้วยความเต็มใจ
    ไม่ประมาทเลิดเล่อหรือละเลย
    (๗) ต้องรับประทานอาหารตามกำหนดเวลาจะแกล้งอดอาหารด้วยอุบายใด ๆ ไม่ได้เป็นอันขาด
    (๘) ห้ามเล่นการพนัน เสพฝิ่น กัญชา หรือเครื่องดองของเมาไม่ว่าอย่างใด ๆ
    (๙) ห้ามทุ่มเถียงทะเลาะวิวาทหรือล้อเลียนกัน และร้องรำทำเพลงไม่ว่าเวลาใด ๆ
    (๑๐) ห้ามให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงาน หรือเจ้าหน้าที่ใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นโดยตรง หรือโดยปริยาย
    (๑๑) ห้ามกล่าวเท็จหรือรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา
    (๑๒) ห้ามแสดงกริยาวาจาหยาบคาย และลามกอนาจาร
    (๑๓) ห้ามสูบบุหรี่ในขณะทำงานหรือในท้องที่ต้องห้าม เว้นแต่ได้รับอนุญาต
    (๑๔) ห้ามคบคิดกันจะหนี หรือทำร้ายเจ้าหน้าที่หรือผู้ต้องขังด้วยกันเอง
    (๑๕) เมื่อทราบว่ามีผู้ใดจะก่อเหตุร้าย ต้องรีบรายงานต่อผู้บังคับบัญชาโดยเร็ว
ข้อ ๒. ห้ามมิให้ผู้ต้องขังนำสิ่งของดังต่อไปนี้เข้ามา หรือเก็บรักษาไว้ในเรือนจำ คือ
    (๑) ฝิ่น กัญชา หรือยาเสพติด หรือของมืนเมาอย่างอื่นซึ่งรวมทั้งเครื่องมือในการสูบและ
    กัญชาด้วย
    (๒) สุรา หรือสิ่งอื่นซึ่งดื่มได้เมาอย่างสุรา
    (๓) เครื่องอุปรกรณ์สำหรับเล่นการพนัน
    (๔) เครื่องอุปรกรณ์ในการหลบหนี
    (๕) ศาสตราวุธ
    (๖) วัตถุระเบิดหรือน้ำมันเชื้อเพลิง
    (๗) สัตว์มีชีวิต
    (๘) ของเน่า ของเสีย ของที่เป็นพิษต่อชิวต ร่างกาย หรือของที่ทำให้เกิดความราคาญต่อ
    ผู้ต้องขังอื่น
    (๙) สิ่งของที่นำเข้ามาเพื่อประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนซื้อขายเป็นการค้ากำไร
    (๑๐) สิ่งของที่มีไว้เป็นการผิดกฎหมาย
ข้อ ๓. สิ่งของต่อไปนี้ ถ้ามีจำนวนไม่มากเกินสมควร ให้ผู้บังคับเรือนจำพิจารณาอนุญาตให้ผู้ต้องขัง
นำเข้ามา หรือเก็บรักษาไว้ในเรือนจำได้ คือ
    (๑) เครื่องที่เกี่ยวแก่การรักษาอนามัยของผู้ต้องขัง
    (๒) เงินตรา
    (๓) อาหารที่ปรุงแล้วเสร็จ ซึ่งยอมให้ผู้ต้องขังรับประทานได้ตามที่กำหนดไว้ในเรื่องการ
    เลี้ยงอาหาร
ข้อ ๔. ผู้ต้องขังจะมีเงินตราติดตัวไว้ได้เพียงไม่เกิน ๑๐ บาท ส่วนที่เหลือนอกจากนั้นกับสิ่งของ
อันมีค่าต้องจัดการมอบแก่ผู้บังคับเรือนจำเพื่อนำฝากเจ้าหน้าที่การเงินต่อไปโดยเร็ว
ข้อ ๕. บรรดาสิ่งของซึ่งมิใช่เป็นสิ่งของต้องห้าม แก่ก็มิใช่เป็นสิ่งของที่จะอนุญาตให้เก็บรักษาไว้ใน
เรือนจำได้ ต้องจัดการให้ผู้ต้องขังมอบหมายไว้กับญาติมิตรหรือบุคคลอื่นที่อยู่นอกเรือนจำหรือให้จำหน่าย
เสียหากไม่อาจกระทำดังกล่าวแล้วได้ ให้ผู้บังคับเรือนจำเก็บรวบรวมขึ้นบัญชีรักษาไว้และคืนให้ในเมื่อผู้นั้น
พ้นโทษ
ข้อ ๖. สิ่งของซึ่งเข้าใจว่าจะได้มาจากการกระทำผิดกฎหมาย หรือมีไว้เป็นการผิดกฎหมายกับสิ่งของ
ต้องห้ามตามข้อบังคับนี้ ให้เจ้าพนักงานยึดไว้แล้วรีบรายงานต่อผู้บัญชาการเรือนจำเพื่อพิจารณาและสั่งการ
ต่อไป
ข้อ ๗. ข้อห้ามและข้อปฏิบัติของผู้ต้องขังที่กล่าวมาในมาตรานี้ให้เจ้าพนักงานเรือนจำอ่านให้
ผู้ต้องขังฟังไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ ๑ ครั้ง ผู้ต้องขังที่เข้าใหม่ต้องอ่านให้ฟังด้วยทุกคน

มาตรา ๑๒
การลงทัณฑ์ฐานผิดวินัย
ข้อ ๑. ผู้บังคับเรือนจำจังหวัด และเรือนจำกรมกองทหาร หรือเรือนจำทหารชั่วคราวมีอำนาจลงทัณฑ์
ดังต่อไปนี้
    (๑) ภาคทัณฑ์
    (๒) งดหรือลดสิทธิต่าง ๆ ได้มีกำหนดไม่เกิน ๒ เดือน
    (๓) ขังเดี่ยวไม่เกิน ๑๕ วัน
ข้อ ๒. ผู้บังคับเรือนจำมณฑลทหาร และผู้บังคับเรือนจำสถานีทหารเรือกรุงเทพฯ มีอำนาจลงทัณฑ์
ดังต่อไปนี้
    (๑) ภาคทัณฑ์
    (๒) งดหรือลดสิทธิต่าง ๆ ได้มีกำนหดไม่เกิน ๓ เดือน
    (๓) ขังเดี่ยวไม่เกิน ๑ เดือน
ข้อ ๓. ผู้บังคับบัญชาเรือนจำตั้งแต่ผู้บัญชาการเรือนจำขึ้นไป มีอำนาจลงทัณฑ์ตามพระราชบัญญัติ
เรือนจำทหาร ฯ ได้ทุกสถาน แต่การลดหรือลดสิทธิต่าง ๆ นั้น มีกำหนดไม่เกิน ๖ เดือน
ข้อ ๔. ในกรณีที่การกระทำอันหนึ่งเป็นความผิดจะต้องรับโทษหลายสถานนั้น ห้ามมิให้ลงโทษ
สำหรับความผิดนั้นเกินกว่า ๒ สถาน
ข้อ ๕. กรณีที่ผู้ต้องขังมีลักษณะเป็นคนดื้อด้าน โดยที่ได้รับทัณฑ์ทางวินัยทหาร หรือวินัยทาง
เรือนจำอย่างหนี่งอย่างใดาแล้วไม่น้อยกว่า ๒ ครั้ง หรือขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาโดยจงใจมาแล้วแม้เพียง
ครั้งเดียว ถ้าผู้นั้นยังประพฤติผิดอีก ให้ผู้บัญชาการเรือนจำมีอำนาจที่จะพิจารณาสั่งลงทัณฑ์เฆี่ยน หรือ
เพิ่มทัณฑ์สถานอื่นในความผิดครั้งหลังนี้ได้ตามที่เห็นสมควร
ข้อ ๖. การขังเดี่ยวนั้นให้กระทำโดยวิธีแยกผู้ต้องรับโทษจากผู้ต้องขังอื่นและกักขังไว้ในที่ซึ่งจัดขึ้น
เป็นพิเศษ ห้ามติดต่อหรือพูดจากับผู้อื่นทั้งสิ้น เว้นแต่มีเหตุจำเป็นก็ให้ผู้บังคับเรือนจำมีอำนาจอนุญาตได้
ให้ผู้บังคับเรือนจำสั่งให้ผู้คอยตรวจการขังให้เป็นไปตามวรรคก่อน และสังเกตเมื่อเห็นมีอาการป่วย
ซึ่งจะต้องมีการรักษาพยาบาล
ข้อ ๗. ห้องมืดซึ่งจะใช้สำหรับเป็นที่กักขังผู้ต้องโทษนั้น ให้เจ้าหน้าที่แพทย์ตรวจเห็นชอบด้วยว่า
จะไม่เป็นการผิดต่ออนามัยอย่างร้ายแรงจึงใช้ได้
ข้อ ๘. การลงทัณฑ์เฆี่ยนตามข้อบังคับนี้ โดยปกติผู้บัญชาการเรือนจำ หรือผู้แทนต้องนั่งเป็น
ประธานพร้อมด้วยแพทย์ทหาร และต้องให้แพทย์ได้ตรวจก่อนที่จะลงมือเฆี่ยน เมื่อแพทย์รับรองว่าเฆี่ยนได้
จึงลงมือเฆี่ยน
ผู้เฆี่ยนต้องเป็นเจ้าพนักงานเรือนจำ และต้องเป็นผู้ที่ไม่เคยมีสาเหตุกับผู้จะต้องรับทัณฑ์เป็นส่วนตัว
การเฆี่ยนให้คว่ำเฆี่ยน และให้เฆี่ยนที่ขาท่อนบนด้วยหวายซึ่งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ
๑ เซนติเมตร และพยายามอย่าเฆี่ยนซ้ำแนวกัน กับทั้งห้ามเฆี่ยนในคราวต่อไปเว้นแต่จะได้ล่วงพ้นเวลา ๓๐ วัน
จากวันเฆี่ยนคราวที่แล้ว
ข้อ  ๙. การใช้หรือเพิ่มเครื่องพันธนาการนั้น ให้ผู้บัญชาการเรือนจำพิจารณาเลือกใช้ให้สมควรแก่
ความผิดแต่เฉพาะตรวน ห้ามมิให้ใช้เกินกว่า ๒ ชั้น เป็นอันขาด

มาตรา ๑๓
การเฆี่ยนผู้ต้องขัง
ข้อ ๑. การเยี่ยมผู้ต้องขังนั้น ให้เยี่ยมได้แต่เฉพาะในวันหยุดงาน ระหว่างเวลาแต่ ๑๒๐๐ ถึง ๑๕๐๐
เว้นแต่มีเหตุจำเป็น ก็ให้ผู้บังคับเรือนจำมีอำนาจอนุญาตให้เยี่ยมเป็นพิเศษในวันและเวลาอื่นได้
ข้อ ๒. คนต้องขังในระหว่างสอบสวน ห้ามการเยี่ยมเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากผู้บังคับเรือนจำ
ข้อ ๓. กรณีนอกจากที่กล่าวแล้วในข้อ ๑. และข้อ ๒ แห่งมาตรานี้ ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่เรือนจำยอม
อนุญาตให้ผู้ใดเยี่ยมผู้ต้องขังเป็นอันขาด
ข้อ ๔. เจ้าหน้าที่เรือนจำจะจอมอนุญาตให้ผู้เยี่ยมพบกับผู้ต้องขังได้แต่เฉพาะในบริเวณเรือนจำและ
ในที่ซึ่งได้กำหนดไว้เท่านั้น และขณะเยี่ยมต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่กำกับ คอยดูคอยฟังอยู่ด้วยตลอดเวลาที่เยี่ยม
ข้อ ๕. ผู้บังคับเรือนจำจะอนุญาตให้ทนายซึ่งแก้ต่างผู้ต้องขังติดต่อกับผู้ต้องขังโดยไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่
กำกับคอยฟังก็ได้ แล้วแต่จะเห็นสมควร
ข้อ ๖. ถ้าผู้มาเยี่ยมกับผู้ต้องขังพูดกันเป็นภาษาอื่น ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้กำกับฟังไม่เข้าใจหรือพูดเป็นเชิง
ยุยงเสี้ยมสอนในทางทุจริตหรือด้วยอุบายอย่างใด ๆ ก็ดี ให้เจ้าหน้าที่นั้นมีอำนาจที่จะห้ามมิให้พูดกันต่อไปได้
แล้วรีบรายงานผู้บังคับเรือนจำทราบทันที
ข้อ ๗. ผู้คุมหรือผู้ต้องขังคนใด ทราบว่าผู้มาติดต่อกับผู้ต้องขังกระทำการใด ๆ เป็นเชิงยุยงเสี้ยมสอน
ในทางทุจริต ให้รีบรายงานให้ผู้บังคับเรือนจำทราบ
เมื่อผู้บังคับเรือนจำได้รับรายงานดังกล่าวแล้ว จะสั่งให้นำตัวผู้ต้องขังกลับคืนเข้าห้องขังและบังคับ
ผู้เยี่ยมหรือผู้มาติดต่อให้ออกจากเรือนจำไปในทันทีก็ได้
ข้อ ๘. ถ้าผู้มาเยี่ยมหรือติดต่อนำสิ่งของมาให้ผู้ต้องขัง เจ้าหน้าที่ผู้กำกับจต้องตรวจของนั้นก่อน
เมื่อเห็นของไม่ต้องห้ามจึงให้มอบแก่ผู้ต้องขังรับไป ถ้าเป็นของต้องห้ามต้องยึดของนั้นไว้ แล้วรีบรายงานให้
ผู้บังคับเรือนจำทราบ

มาตรา ๑๔
การลา
ข้อ ๑. การอนุญาตให้ลานั้น จะกระทำได้ต่อเมื่อผู้บัญชาการเรือนจำได้พิจารณาแล้ว เห็นความจำเป็นและได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ข้อ ๒. เมื่อผู้ใดได้รับอนุญาตให้ลาได้ ผู้บัญชาการเรือนจำจักต้องทำหนังสือสำคัญ มอบให้ผู้นั้นติดตัวไป และผู้ได้รับอนุญาตต้องนำหนังสือสำคัญนี้ไปแสดงต่อเจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง ท้องที่ที่ไปนั้นทราบในกำหนดเวลา ๒๔ ชั่วโมง นับแต่เวลาไปถึง ถ้าไม่แสดงเจ้าพนักงานฝ่าย ปกครองจะจับตัวส่งมายังเรือนจำก็ได้
ข้อ ๓. เมื่อได้อนุญาตให้นักโทษผู้ใดลาไป ให้ผู้บัญชาการเรือนจำแจ้งแก่ตำรวจ สันติบาล หรือข้าหลวงประจำจังหวัดแห่งท้องถิ่นที่ผู้ได้รับอนุญาตให้ลาไปนั้นแล้วแต่กรณี

มาตรา ๑๕
พักการลงโทษ
ข้อ ๑. นักโทษจะพักการลงโทษได้ต่อเมื่อคณะกรรมการต่อไปนี้เห็นชอบ และได้รับ อนุมัติจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
คณะกรรมการให้ประกอบด้วยผู้บัญชาการเรือนจำเป็นประธาน และมีข้าราชการ กลาโหมชั้นผู้บังคับกองร้อย ผู้บังคับการเรือชั้น ๓ หรือผู้บังคับฝูงบินขึ้นไปมีจำนวนไม่น้อยกว่า ๒ นาย
ข้อ ๒. เงื่อนไขระหว่างพักการลงโทษนั้น ให้กำหนดไว้เป็น ๓ สถานตามหัวข้อ ดังต่อไปนี้ คือ
    (๑) ให้ละเว้นการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างดังต่อไปนี้
      ก. ไม่กระทำผิดอาญาขึ้นอีก
      ข. ไม่เข้าไปในเขตท้องที่ที่กำหนดไว้
      ค. ไม่ประพฤติตนในทางเสื่อมเสีย เช่น เสพฝิ่น เล่นการพนัน เป็นต้น
    (๒) ให้กระทำอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ดังต่อไปนี้
      ก. ให้รายงานตนเองต่อเจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจแห่ง ท้องถิ่นที่ไปอยู่หรือเจ้าพนักงานเรือนจำทหารตามกำหนดเวลาเดือนละ ๑ ครั้ง
      ข. ให้กระทำการหาเลี้ยงชีพตามที่เจ้าพนักงานจัดหาให้
      ค. ให้กระทำการหาเลี้ยงชีพในกิจการงานซึ่งผู้นั้นมีอยู่แล้ว หรือที่ญาติมิตรจัดหาให้
      ง. ให้ปฏิบัติกิจทางศาสนา
    (๓) ให้ละเว้นและให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างตามวรรค (๑) และ (๒) ข้างต้น
    ข้อ ๓. เมื่อมีอนุมัติพักการลงโทษแล้ว ให้ผู้บัญชาการเรือนจำออกหนังสือสำคัญซึ่งระบุ เงื่อนไขไว้นั้นให้แก่นักโทษรับไปเป็นคู่มือ และมีหนังสือแจ้งต่อคณะกรรมการจังหวัดแห่งท้องถิ่นที่ไป อยู่นั้นด้วย
    ข้อ ๔. หนังสือสำคัญที่ออกให้ตามข้อก่อนนั้น เป็นหน้าที่ของผู้ได้รับการพักการลงโทษ จะต้องแสดงแก่เจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจ หรือเจ้าพนักงานเรือนจำทหาร หากหนังสือ สำคัญนั้นหายต้องรีบรายงานต่อผู้บัญชาการเรือนจำทหารเพื่อขอรับฉบับแทน
    ถ้าไม่แสดงหนังสือสำคัญ เจ้าพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจ จะจับตัวส่งคืนเรือนจำก็ได้

    มาตรา ๑๖
    การปล่อยตัว
    ข้อ ๑. เมื่อนักโทษคนใดจะต้องปล่อยตัวให้พ้นโทษในสัปดาห์ต่อไปข้างหน้า ให้ผู้บังคับเรือนจำเสนอรายงานต่อผู้บัญชาการเรือนจำ เพื่อขอคำสั่งปล่อยต่อไป
    ข้อ ๒. เมื่อผู้บัญชาการเรือนจำได้รับรายงานขออนุญาตปล่อยนักโทษดังกล่าวแล้วในข้อ ก่อนต้องจัดนายทหารชั้นสัญญาบัตรไปตรวจสอบก่อนปล่อยนั้นทุกครั้ง
    ข้อ ๓. ถ้าเป็นการปล่อยคนต้องชังตามคำสั่งของศาลหรือเจ้าหน้าที่ผู้ที่มีอำนาจแล้วให้ ผู้บังคับเรือนจำจัดการปล่อยได้ทีเดียว ส่วนหมายหรือเอกสารการสั้งปล่อยนั้นให้นำเสนอต่อผู้บัญชา การเรือนจำจัดการปล่อยได้ทีเดียว ส่วนหมายหรือเอกสารการสั่งปล่อยนั้นให้นำเสนอต่อผู้บัญชาการเรือนจำ
    ข้อ ๔. เมื่อถึงกำหนดปล่อยให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้
      (๑) เรียกสิ่งของที่จ่ายประจำตัวคืน
      (๒) คืนทรัพย์สินของผู้ต้องขังให้แก่ผู้ต้องขังไป
      (๓) ทำหลักฐานในการปล่อยน
      (๔) ผู้ต้องขังคนใดไม่มีเครื่องแต่งกายจะแต่งออกไปจากเรือนจำ ให้จ่าย เครื่องงแต่งกายให้สำรับหนึ่งตามที่เห็นสมควร
      (๕) ออกบัตรแสดงบริสุทธิ์ให้
    ข้อ ๕. เมื่อจะมีการปล่อยตัวผู้ต้องขังดังกล่าวมาแล้ว ในวันและเวลาใดให้ผู้บังคับ เรือนจำแจ้งไปยังกรมกองทหารต้นสังกัดของผู้นั้น หรือกองทะเบียนทหารเรือ เพื่อจะได้จัด เจ้าหน้าที่มารับตัวต่อไป

    มาตรา ๑๖ ทวิ
    การประหารชีวิตนักโทษ
    ข้อ ๑. การประหารชีวิตนักโทษนั้น ให้มีคณะกรรมการดำเนินการชุดหนึ่งประกอบด้วย ผู้บัญชาการเรือนจำเป็นประธานกรรมการ ผู้บังคับเรือนจำ และแพทย์ ๑ นาย ซึ่งแต่งตั้งโดยผู้ มีอำนาจสั่งลงโทษเป็นกรรมการ
    คณะกรรมการ มีหน้าที่ตรวจตราระมัดระวังให้การประหารชีวิตคำเนินไปตาม กฎหมายและระเบียบแบบแผน
    ให้ผู้บัญชาการเรือนจำแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ผู้ทำการยิงไม่น้อยกว่า ๒ นาย และเจ้าหน้าที่ ระวังเหตุตามสมควร พร้อมทั้งจัดหาปืนที่ใช้ยิง และเตรียมสถานที่สำหรับประหาร
    ข้อ ๒. เมื่อเจ้าพนักงานเรือนจำได้รับมอบหมายแจ้งโทษเด็ดขาดแล้ว ให้รีบถ่ายรูป นักโทษผู้ต้องประหารชีวิตทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ครึ่งตัวไม่สวมหมวก ขนาด ๑๐ /- ๑๕ เซนติเมตร ให้เรือนจำเก็บไว้ ๑ ชุด ส่งไปศาลเพื่อติดสำนวนไว้ ๑ ชุด รูปถ่ายเหล่านั้นให้ผู้ บังงคับเรือนจำลงลายมือชื่อรับรองกำกับไว้หลังรูปปถ่ายด้วย และให้สอบถามนักโทษว่า มีข้อที่ จะถวายเรื่องราวขอรับพระราชทานอภัยโทษหรือจำทำพินัยกรรมหรือไม่ แล้วทำบันทึกให้นักโทษ ลงลายมือชื่อไว้ ถ้ามีให้รีบปฏิบัติการไปตามกฎหมายและระเบียบแบบแผน หรือช่วยเป็นธุระจัดการ ไปตามสมควร
    ให้ผู้บังคับเรือนจำตรวจสอบคดี ตำหนิ รูปพรรณตามทะเบียนรายตัว และทำบันทึก เป็นหลักฐานไว้ให้เรียบร้อยก่อนถึงวันประหารชีวิต ทั้งนี้เพื่อมิให้ผิดตัว
    ข้อ ๓. ก่อนถึงวันประหารชีวิต ให้คณะกรรมการรีบจัดการพิมพ์ลายนิ้วมือนักโทษ ผู้ต้องโทษประหารชีวิต ๓ ฉบับ และลงลายมือชื่อกำกับในแผ่นพิมพ์ลายนิ้วมือแล้วส่งไปยังกอง ทะเบียนประวัติอาชญากร กรมตำรวจ หรือกองกำกับการตำรวจวิทยาการเขต แล้วแต่กรณี ๒ ฉบับ พร้อมด้วยแผ่นพิมพ์ลายนิ้วมือของผู้ต้องโทษประหารชีวิตนั้นที่มีอยู่ทางเรือนจำ เพื่อตรวจ พิสูจน์ว่าเป็นลายนิ้วมือของบุคคลคนเดียวกันหรือไม่ และเมื่อตรวจพิสูจน์แล้วได้ผลประการใด ให้ผู้ตรวจส่งผลการพิสูจน์พร้อมด้วยแผ่นพิมพ์นิ้วมือดังกล่าวคืนคณะกรรมการด้วยอย่างละ ๑ ฉบับ
    ข้อ ๔. เมื่อถึงวันประหารชีวิต ให้คณะกรรมการตรวจสอบรูปถ่ายกับตัวนักโทษตลอด จนหลักฐานต่าง ๆ ให้เป็นที่แน่ใจว่าไม่ผิดตัว ไม่วิกลจริต หรือไม่ใช่หญิงมีครรภ์ แล้วให้คณะ กรรมการจัดการให้นักโทษประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เสร็จแล้วให้ผู้บังคับเรือนจำนำสำเนา คำพิพากษาที่ให้ประหารชีวิต และคำสั่งของผู้มีอำนาจสั่งลงโทษอ่านให้นักโทษฟังและให้นักโทษ ลงลายนมือชื่อรับทราบไว้ต่อจากนั้นให้คณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ทำการยิงพร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ ระวังเหตุนำนักโทษไปยังสถานที่ประการชีวิต และจัดการยิงเสียให้ตายต่อหน้าคณะกรรมการ
    หากคณะกรรมการตรวจสอบรูปถ่ายนกับตัวนักโทษ ตลอดจนหลักฐานต่าง ๆ แล้ว ปรากฎว่าไม่ใช่บุคคลคนเดียวกัน หรือนักโทษวิกลจริตหรือนักโทษเป็นหญิงมีครรภ์ ให้ระงับการ ประหารชีวิตไว้ก่อนแล้วรายนงานผู้มีอำนาจสั่งลงโทษโดยเร็ว
    เมื่อผู้มีอำนาจสั่งลงโทษได้รับรายงานตามความในวรรคก่อนแล้ว ให้พิจารณา ดำเนินการต่อไปตามกฎหมายและระเบียบแบบแผน
    ข้อ ๕. เมื่อประหารชีวิตแล้ว ให้คณะกรรมการปฏิบัติดังนี้
      (๑) ถ่ายรูปผู้ต้องโทษประหารชีวิต ด้านหน้าครึ่งตัว ขนาด ๑๐ - ๑๕ เซนติเมตร โดยคณะกรรมการลงลายมือชื่อรับรองกำกับไว้
      (๒) ทำบันทึกการประหารชีวิตให้ปรากฎข้อความว่า ได้ตรวจร่างกาย นักโทษผู้ถูกประหารชีวิตแล้วปรากฎว่าตายจริง
      (๓) พิมพ์ลายนิ้วมือผู้ต้องโทษประหารชีวิต และลงลายมือชื่อคณะกรรมการ ไว้ ๒ ฉบับ ส่งไปยังกองทะเบียนประวัติอาชญากรกรมตำรวจ หรือกองกำกับการตำรวจ วิทยาการเขตแล้วแต่กรณี เพื่อตรวจสอบตามนัยข้อ ๓ อีกครั้งหนึ่ง และขอให้ผู้ตรวจส่งแผ่นพิมพ์ ลายนิ้วมือคืนไปยังคณะกรรมการ ๑ ฉบับ พร้อมด้วยผลการตรวจ
      (๔) ทำรายงานการประหารชีวิตเสนอผู้มีอำนาจสั่งลงโทษโดยเร็ว เพื่อให้ ผู้มีอำนาจสั่งลงโทษรายงานกระทรวงกลาโหมต่อไป ส่วนหลักฐานทั้งหมดให้รวบรวมเก็บรักษา ไว้ที่เรือนจำประกอบประวัตินักโทษ
      (๕) ศพนักโทษนั้น ถ้ามีญาติมาขอรับก็ให้รับไป ถ้าไม่มีให้จัดการฝังหรือ บรรจุเก็บไว้ตามแต่จะเห็นสมควร
      ข้อ ๖. สถานที่สำหรับประหารชีวิต ต้องอยู่ในที่ซึ่งไม่อาจเกิดภยันตรายแก่ประชาชน
      ข้อ ๗. ในเวลาที่มีการรบหรือสถานะสงคราม ถ้าไม่สามารถจะปฏิบัติตามข้อบังคับนี้ได้ ครบถ้วนก็ให้ปฏิบัติตามเท่าที่จะทำได้ แต่ต้องไม่ให้ขัดกฎหมายและต้องบันทึกเหตุขัดข้องไว้ในราย งานการประหารชีวิตด้วย
      ข้อ ๘. กำหนดการปลีกย่อย นอกจากนี้ให้ผู้บังคับบัญชาตั้งแต่ชั้นผู้บัญชาการเรือนจำขึ้นไป กำหนดได้ตามความจำเป็น

      มาตรา ๑๗ การร้องทุกข์ยื่นเรื่องราวและถวายฎีกา (มีต่อ)

เหตุด่วน, เหตุร้าย แง ศูนย์ควบคุมและสั่งการ พัน.สห.ทอ. โทร. 534-2117 - 9 ทอ. 2-2197 - 9
แจ้งเบาะแสแหล่งอบายมุข, ยาเสพติดให้โทษ, แหล่งการพนัน ผบ.พัน.สห.ทอ. โทร. 534-2113 โทรสาร. 523-7596
E-mail:dmbc4@ksc.th.com