มหากาพย์มหาภารตะนั้นมีความยาวราว
๑๐๐.๐๐๐ โศลก หรือ ๒๒๐.๐๐๐ บรรทัด ยาวกว่ามหากาพย์โอดีสซีและอีเลียดรวมกัน
๗ เท่า คาดกันว่าเหตุการณ์ในมหาภารตะเกิดขึ้นช่วง ๑.๔๐๐ ปี ถึง ๑.๐๐๐
ปีก่อนคริสตกาล วรรณกรรมเรื่องนี้ถือว่าเป็นสายธารวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ของเอเชีย
ควบคู่กับมหากาพย์รามายณะ ในประเทศไทยเองมีแปลไว้หลายฉบับ เล่มที่เป็นที่รู้จักแพร่หลายเห็นจะเป็นฉบับแปลจากภาษาฮินดีของ
กรุณา
เรืองอุไร
กุศลาสัย ซึ่งถือว่าถอดความมาได้ค่อนข้างสมบูรณ์ทั้ง ๑๘ บรรพ
เนื้อเรื่องกล่าวถึงสงครามระหว่างกษัตริย์วงศ์ปาณฑพและเการพ
ซึ่งเป็นพี่น้องกัน
สืบสายมาจากท้าวภรต ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า ภารตะ
อันเป็นชื่อเผ่าพันธุ์และประเทศอินเดีย ตัวละครในมหาภารตะนั้นมีมากมาย
มีเนื้อเรื่องย่อยแทรกอยู่หลากหลาย ทั้งยังถือเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ด้วย
ดังที่มีคัมภีร์ภควัทคีตาแทรกอยู่ ซึ่งกล่าวถึง สัจจวาจา ธรรมศาสตร์
ธรรมยุทธ์ ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้า และต่อมนุษย์ด้วยกันเอง ถือว่ามีความลึกซึ้งมาก
อย่างไรก็ดี
เราพึงสำเหนียกว่าวรรณกรรมเรื่องนี้ มีพื้นฐานมาจากศาสนาพราหมณ์
คุณค่าที่ปรากฎอยู่ในเรื่องนั้นย่อมต่างจากแก่นพุทธธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในส่วนของขัตติยธรรม ซึ่งเป็นธรรมของผู้ปกครอง การอ่านมหากาพย์มหาภารตะจึงต้องใช้ความระมัดระวังยิ่ง
มิพึงศรัทธาโดยปราศจากการพิจารณาไตร่ตรอง และมิพึงด่วนปฏิเสธข้อธรรมที่แตกต่างไปจากเรา
ความเห็นของปัญญาชนอินเดียอย่าง
จักรวะระตี ราชาโคปาลาจาตี ผู้สำเร็จราชการคนแรกของอินเดีย ที่กล่าวว่า
วรรณกรรมชิ้นนี้สอนให้เราตระหนักถึงความจริงที่ว่า
เวรย่อมก่อให้เกิดเวร ความโลภและการใช้ความรุนแรง มีแต่จะนำมนุษย์ไปสู่ความพินาศหายนะ
และการชนะที่แท้จริงนั้น อยู่ที่การชนะอำนาจฝ่ายต่ำในตัวเราเอง...
นั้นชี้ให้เห็นว่า เรามิอาจตีความสงครามในมหากาพย์มหาภารตะว่าเป็นสงครามระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง
หากต้องพยายามถอดรหัสยนัยที่ซ่อนอยู่ในคัมภีร์โบราณเล่มนี้ออกมาด้วย
มิฉะนั้นแล้ว การกล่าวอ้างสงครามด้วยคำว่าธรรมยุทธ คงไม่ต่างไปจากการกล่าวอ้างคำว่าสงครามศักดิ์สิทธิ์จากคัมภีร์อัล
กุรอาน หรือไบเบิล ดังที่ก่อให้เกิดสงครามศาสนาในอดีต และแม้แต่ในปัจจุบันก็ยังเป็นคำอ้างของพวกคลั่งศาสนาอยู่
เมื่อใช้มุมมองทางพุทธตีความสงครามในมหากาพย์มหาภารตะ
ก็จะยิ่งเห็นว่ามหากาพย์เรื่องนี้ มิได้กล่าวยืนยันถึงข้อดีของสงครามเลย
พี่น้องต้องฆ่ากัน หลานต้องฆ่าปู่ ศิษย์ต้องฆ่าอาจารย์ ธรรมบุตรต้องกล่าวเท็จ
กษัตริย์นักรบยอมทำผิดกติกาเพราะมุ่งหวังชัยชนะเป็นหลัก มีการลอบฆ่ากันยามค่ำคืนขณะที่อีกฝ่ายนอนหลับ
พราหมณ์ทำร้ายได้แม้หญิงที่ตั้งครรภ์ หลังสงครามเสร็จสิ้น ทุกฝ่ายต่างประสบความสูญเสีย
และต้องก้มหน้ารับกรรมในส่วนของตน แม้แต่พระกฤษณะ ซึ่งเป็นอวตารของพระนารายณ์เจ้าก็ยังถูกลงโทษ
ถูกสาปให้ญาติพี่น้องต้องเข่นฆ่ากันเองจนสิ้นวงศ์ และตนเองก็เสียชีวิตอย่างน่าอนาถ
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเป็นกรรมที่เข้าร่วมในสงคราม ทำให้ญาติพี่น้องต้องเข่นฆ่ากันเอง
ในส่วนของคัมภีร์ภควัทคีตา
ที่กล่าวถึงธรรมที่พระกฤษณะแสดงต่อพระอรชุนกลางสนามรบ ขณะเกิดวิจิกิจฉา
มีความสลดใจที่จะต่อสู้กับญาติพี่น้องของตน ในข้อนี้ถ้าใช้ตรรกะทางพุทธอธิบาย
ก็สามารถอธิบายได้
ถ้าเราเข้าใจว่าตัวละครที่อยู่ในเรื่องเป็นบุคลาธิษฐาน
ประกอบด้วยฝ่ายธรรมะและอธรรม การต่อสู้กับอธรรมนั้นย่อมเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ในที่นี้ เราต้องไม่ลืมว่าธรรมะและอธรรมไม่ใช่มนุษย์ พระอรชุนอยู่ในฐานะบุคลาธิษฐานไม่ใช่บุคคล
จึงประหารอธรรมซึ่งไม่ใช่บุคคลได้ นั่นคือ ศัตรูที่แท้จริงของเรามิใช่มนุษย์
หากแต่เป็นอวิชชา ความเศร้าหมองของจิต ซึ่งอยู่ในรูปของโลภะ โทสะ
และโมหะ ต้องประหารทำลายด้วยความเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา เป็นต้น
และหากถือว่าพระอรชุนเป็นมนุษย์จริง
ในขณะที่เข้าสู่สงคราม ก็ปราศจากความโกรธเกลียด อยู่ในภาวะตระหนักรู้
เป็นการทำหน้าที่เพื่อรักษาธรรมะ ประกอบด้วยอุเบกขา เข้าใจความเป็นเหตุผลปัจจัยต่อเนื่องกัน
เข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องรบ และเข้าใจว่าจะได้รับผลกรรมเช่นไร ตรงนี้สำคัญมาก
เพราะถ้าเปรียบเทียบกับทหารที่อยู่ในภาวะสงคราม บุคคลที่ถือปืนเตรียมประหารฆ่าชีวิตผู้อื่น
แม้จะเป็นไปด้วยเหตุผลใดก็ตาม จะรักษาสภาพจิตดังพระอรชุน ที่ตั้งอยู่ในอุเบกขา
ปราศจากความโกรธเกลียด ปราศจากความอยากประหารฆ่า มิได้มองเห็นมนุษย์เป็นศัตรู
ได้ล่ะหรือ? หลักการสำคัญก็คือ เราต้องแยกกรรมชั่วออกจากมนุษย์ที่ประกอบกรรมชั่ว
นั่นคือ แม้เราจะรังเกียจกรรมเลว แต่เรามิอาจรังเกียจมนุษย์ที่ประกอบกรรมเลวได้
เรายังต้องเคารพความเป็นมนุษย์ของเขาหรือเธออยู่ หากเราประหารโจรก็เป็นไปเพื่อรักษาธรรม
มิใช่ประกอบด้วยความเกลียดชัง
วิถีพุทธนั้นยึดมั่นในทางสายกลาง
และเชื่อเรื่องผลกรรมอันเกิดจากเหตุปัจจัยต่อเนื่อง ดังนั้น การกระทำใดก็ตามจึงต้องพิจารณาอย่างละเอียดลึกซึ้ง
เป็นต้นว่า หากมีการทำลายชีวิตเพื่อป้องกันชีวิตอื่น กุศลกรรมแห่งการปกป้องชีวิตอื่นนั้นก็มีอยู่
แต่ก็เลี่ยงอกุศลกรรมที่ไปทำลายชีวิตอีกชีวิตมิได้ และหากไม่กำจัดเหตุปัจจัยแห่งความรุนแรง
ก็ย่อมเกิดความรุนแรงเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องไป จะหลีกเลี่ยงไปมิได้เลย
เช่นเดียวกับสงครามในมหาภารตยุทธ
แม้นักรบฝ่ายปาณฑพจะได้ชื่อว่าเป็นฝ่ายธรรมะ แต่เมื่อประหารชีวิตผู้อื่นได้
ฝ่ายตนก็ถูกประหารได้เช่นกัน ทั้งนี้ เป็นผลจากการไปก่อกรรมไว้ ซึ่งถ้าถามว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ก่อเวรก่อน
ก็อธิบายได้ว่า ทางพุทธนั้นถือว่าทุกอย่างย่อมเกิดจากเหตุ และเราต้องไม่ลืมว่ามุมมองแบบตะวันออกนั้นเหตุและผลเกิดกันต่อเนื่องไม่สิ้นสุดประดุจวงกลม
ไร้จุดตั้งต้น ไร้จุดจบ ตรงนี้ต่างจากมุมมองแบบตะวันตกที่ถือว่ามีจุดเริ่มต้นที่เริ่มจากความไม่มี
ดังเช่น ความคิดเรื่องพระเจ้า เรื่องบิ๊กแบง นั่นคือ ในมุมมองแบบพุทธ
สรรพสิ่งย่อมมีเหตุเป็นแดนเกิดเสมอ
คำว่าธรรมะในมหากาพย์มหาภารตะก็ต้องพิจารณากันให้ถี่ถ้วน
ตัวละครในเรื่องล้วนเป็นมนุษย์ ต่างมีข้อบกพร่องด้วยกันทั้งนั้น
กระทั่งยุธิษฐิระ พี่ใหญ่ของกษัตริย์ปาณฑพทั้ง ๕ แม้จะได้ชื่อว่าเป็นธรรมบุตร
มีธรรมะสูงสุดในเรื่อง แต่ก็เห็นได้ว่าประกอบด้วยโมหะ หลงไหลในสกา
กระทั่งเสียบ้านเมือง เสียพี่น้อง เสียความเป็นไทของตนแล้วยังเสียความละอาย
ใช้ภรรยาของตนเป็นเดิมพันในการพนันอีก เมื่อพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว
ก็ถือว่าเสียสัจจะ ล้อรถทรงที่เคยสูงเหนือพื้นดินด้วยอำนาจสัจจะก็ลดต่ำลงมาเรี่ยดินทันที
มหากาพย์มหาภารตะจึงมิได้กล่าวว่าฝ่ายปาณฑพมีคุณธรรมพิสุทธ์เลิศล้ำ
และฝ่ายเการพเป็นคนต่ำช้า เพราะแม้แต่กรรณะ นักรบฝ่ายเการพ ซึ่งที่จริงเป็นพี่น้องร่วมมารดากับฝ่ายปาณฑพ
แต่ถูกเลี้ยงดูจากฝ่ายเการพมาแต่กำเนิด ก็ถือว่าเป็นผู้กตัญญูยิ่ง
และมีสัจจะวาจายิ่ง นั่นคือ แม้จะรู้ว่าตนมีกำเนิดเป็นปาณฑพ แต่ก็เลือกที่จะอยู่ฝ่ายเการพผู้มีคุณ
และมิยอมทำร้ายกษัตริย์ปาณฑพที่จับได้ เพราะเคยสัญญาว่าหากรบแล้วจะมุ่งแต่ชีวิตของพระอรชุนคู่แค้นแต่เพียงผู้เดียว
หรือกระทั่งภีษมะ และโทรณาจารย์ แม่ทัพของฝ่ายเการพ ก็ล้วนแต่เป็นผู้มีคุณธรรมยิ่ง
เป็นทั้งญาติผู้ใหญ่ที่เลี้ยงดู และอาจารย์ผู้ประสาทวิชา ไม่อาจกล่าวว่าเป็นฝ่ายอธรรมได้เลย
จึงกล่าวได้ว่า มหากาพย์มหาภารตะได้แสดงให้เห็นธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์
ซึ่งประกอบด้วยโลภะ โทสะ โมหะ เทิดทูนให้คุณธรรมเป็นคุณค่าสูงสุดที่มนุษย์พึงแสวงหา
และความดีความงามนั้นมิได้ขึ้นกับวรรณะ หากขึ้นกับสิ่งที่กระทำ
เราต้องตระหนักว่า
มหากาพย์มหาภารตะแม้จะกล่าวถึงธรรมยุทธ แต่มิได้กล่าวว่าสงครามมีความชอบธรรม
ตัวละครในเรื่องล้วนเป็นบุคลาธิษฐาน ต้องตีความ และถอดรหัสยนัยออกมา
เช่นเดียวกับคัมภีร์อัล กุรอาน ที่แม้จะกล่าวถึงสงครามศักดิ์สิทธิ์
แต่ก็มุ่งหมายถึงสงครามที่มุ่งทำลายความอยุติธรรมในสังคมให้หมดสิ้นไป
มิได้หมายถึงการประหารชีวิตมนุษย์ด้วยกันเอง แม้ในระดับปัจเจก ก็มุ่งหมายการประหารความโกรธเกลียดภายในใจให้หมดสิ้นไป
เพื่อเข้าถึงความสงบและศานติภายใน การตีความนี้ นักวิชาการด้านอิสลามศึกษาทั้งไทยและเทศ
ก็ได้พยายามอธิบายให้สังคมรับรู้ในวงที่กว้างขวางมากขึ้น เพื่อต่อสู้กับการตีความแบบสุดโต่งของบางพวกในปัจจุบัน
การศึกษาคัมภีร์ตามแบบพุทธนั้น
ทางเถรวาทเน้นเรื่องกาลามสูตร ข้อที่น่าไตร่ตรองก็เห็นจะเป็นว่า
แม้จะเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนก็ยังไม่ให้เชื่อ ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงไม่ให้เชื่ออะไรเลย
หากแต่หมายถึงให้คิดพิจารณาก่อนเชื่อ ส่วนทางมหายานนั้นเน้นว่าให้พิจารณาก่อนว่าคัมภีร์ใดอ่านแล้วสมเหตุสมผล
ไม่ขัดแย้งกับคัมภีร์อื่น ดูจากบริบทแล้วเข้าใจได้เลยตามตัวอักษรหรือต้องตีความ
พูดง่าย ๆ ว่า ก็ต้องใช้ปัญญาไตร่ตรองทุกครั้ง หลักวิธีการนี้ควรที่จะฝึกฝนไว้อย่างสม่ำเสมอ
จะเห็นว่า การเชื่อหรือไม่เชื่ออะไรจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำคัญก็คือกระบวนการก่อนถึงความเชื่อและไม่เชื่อ
ซึ่งเป็นมรรคและเป็นผลภายในตัว ถือว่าเป็นปัญญาญานสูงส่งของท่านอาจารย์ยุคโบราณ
ธรรมยุทธที่แท้จริงในทัศนะของชาวพุทธ
คงไม่ต่างจากทัศนะของศาสนิกอื่น นั่นคือ การเป็นนักรบแห่งธรรม ประหารกิเลสและอวิชชา
ทำจิตให้พ้นจากความเศร้าหมอง ประกอบด้วยความเมตตากรุณา มุ่งทำลายโครงสร้างแห่งความอยุติธรรมและรุนแรงในสังคม
เพื่อเข้าถึงศานติทั้งภายนอกและภายใน เมื่อประกอบด้วยสัมมาทิฏฐิดังนี้แล้ว
ก็จะเข้าถึงสัมมาสังกัปปะ (คิดชอบ) สัมมากัมมันตะ (ทำชอบ) สัมมาอาชีวะ
(เลี้ยงชีพชอบ) และมรรควิธีอื่นได้โดยง่าย ทั้งจะยิ่งมองเห็นว่า
หนทางที่ประกอบด้วยศีล สมาธิ และปัญญา เหล่านี้ จะไม่มีวันทำให้เราหลงเข้าไปสู่วิถีแห่งความรุนแรงได้เลย
ช. อนุกูล
|