คุณพิษณุ บำรุงมิตร อยู่ที่ ต.นาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เล่าว่า
ได้เคยมาวัดพระธรรมกายครั้งแรกเมื่อปลายเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๐ เพื่อเข้าอบรมธรรมทายาท และอุปสมบทหมู่ภาคฤดูหนาว รุ่นราชบูชา หลังจากลาสิกขาบทแล้ว ก็ได้ประพฤติปฏิบัติธรรมตลอดมา และได้ร่วมงานบุญใหญ่ของวัดพระธรรมกาย แทบทุกครั้ง
คุณพิษณุได้เห็นปรากฏการณ์อัศจรรย์ตะวันแก้ว อีกทั้งเป็นผู้นำบุญชักชวนคน มาร่วมสร้างพระธรรมกายประจำตัว ได้รับพระมหาสิริราชธาตุ และพระคะแนนสุด สุด หลังจากได้รับพระของขวัญแล้ว ได้นำไปเลี่ยมกรอบ และนำมาห้อยคอติดตัวไว้ตลอดเวลา
ต่อมาเมื่อวันเสาร์ที่ ๑๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๑ คุณพิษณุได้เตรียมตัวมาวัด ในครั้งนี้ตั้งใจจะนำบุตรชายมาด้วย เพราะอยากให้ลูกได้คุ้นเคย กับการปฏิบัติธรรม ขณะที่คุณพิษณุนำรถไปล้างที่คาร์แคร์แห่งหนึ่งอยู่นั้น คุณแม่ของภรรยาได้พาหลานชาย (ลูกชายคุณพิษณุ) ซ้อนท้าย รถจักรยาน ยนต์มาพบ แล้วบอกว่า ลูกชายถูกเด็กรุ่นเดียวกัน เอาเศษกระเบื้องปาเข้าตา และได้พาไปคลีนิคแถวบ้านมาแล้ว คุณหมอบอก ให้พาไปหาจักษุแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อรักษา เพราะคุณหมอท่านนี้ไม่สามารถรักษาให้ได้ เพียงแต่ปิดตามาให้เท่านั้น
คุณพิษณุจึงรีบพาลูกขึ้นรถ เพื่อนำไปส่งที่โรงพยาบาลสมเด็จฯ ที่อำเภอศรีราชา ระหว่างทางได้หยุดรถ เพื่อเปิดตาข้างที่เจ็บของลูกชายดู เห็นตาดำปลิ้นปูดออกมา ขนาดใหญ่กว่าหัวไม้ขีดไฟ ก็ตกใจมากและรู้สึกใจหาย เมื่อเอามือปิดตาข้างที่ปกติของลูกชาย แล้วให้ลูกชายมองด้วย ตาข้างที่บาดเจ็บ ลูกชายบอกว่า มองไม่เห็นเลย คุณพิษณุเสียใจมาก แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาทันทีว่า คงเป็นเพราะเวรกรรมภพชาติในอดีตที่ลูกอาจ เคยทำร้ายดวงตา ของคนอื่นไว้ มาส่งผลนั่นเอง จึงเกิดอุเบกขา แต่ก็อดสงสารลูกชายไม่ได้ ที่จะต้องมาตาบอดตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
ครั้นถึงโรงพยาบาลและได้พบจักษุแพทย์ชื่อคุณหมอแวววรรณ คุณหมอได้บอกว่า ต้องรีบทำการผ่าตัดคืนนี้เลย ก่อนจะผ่าตัด คุณหมอพูดชี้แจงให้ทำใจว่า ถ้าประสาทตากระทบกระเทือนรุนแรงมาก อาจจะทำให้เด็กมองไม่เห็นอีก แต่ถ้าประสาทตา ไม่กระทบกระเทือนมาก หลังจากผ่าตัดแล้ว ก็จะค่อยๆ เห็นจากเทาๆ เป็นลางๆ และก็จะค่อยๆ ชัดขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็จะเห็นชัดประมาณ ๕๐-๖๐% ของการมองด้วยตาที่ปกติ แต่ต้องใช้เวลาพอสมควร
ระหว่างที่คุณพิษณุอยู่กับลูกชายที่โรงพยาบาล เพื่อรอการผ่าตัด ได้โทรศัพท์ไปแจ้งภรรยา เมื่อภรรยารู้ข่าว จึงรีบเดินทางมาที่โรงพยาบาล ทันที แต่คุณพิษณุบอกว่าอย่าเพิ่งมา ให้ไปที่วัดพระธรรมกาย เพื่อไปขอให้คุณยายอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูงช่วยก่อน แต่ปรากฏว่า คุณยายไม่แข็งแรง ทำให้ไม่สามารถเข้ากราบได้ ภรรยาจึงได้ไปกราบพระเดชพระคุณ พระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว) และเล่าเรื่อง ให้ท่านฟัง หลวงพ่อท่านก็บอกให้ทำใจให้สบาย และให้เข้าไปนั่งสมาธิที่ห้องข้างๆ บัณฑิตยสภา เพื่อขอให้บุญช่วย ได้สวดบทสรรเสริญ พระมหาสิริราชธาตุ และได้อธิษฐานจิต ขอพรให้ท่านช่วย
หลังจากที่นั่งสมาธิได้ประมาณ ๑๕ นาที จึงได้กราบลา พระเดชพระคุณหลวงพ่อ เพื่อเดินทางไปเยี่ยมลูกชาย ที่โรงพยาบาล เมื่อมาถึง โรงพยาบาลขณะเยี่ยมลูกชาย ก็ได้สวดบทสรรเสริญคุณ พระมหาสิริราชธาตุไปด้วย ร้องไห้ไปด้วยอยู่ตลอดเวลา คุณพิษณุเห็นดังนั้น จึงบอกให้ ภรรยาเลิกร้องไห้ เพราะจะทำให้ใจไม่มีพลัง เธอจึงหยุดร้องไห้ และสวดสรรเสริญ พระมหาสิริราชธาตุไปเรื่อยๆ พร้อมทั้งอธิษฐาน ในใจว่า หลังจากผ่าตัดแล้ว ขอให้ดวงตาของลูกชายมองเห็นได้เหมือนเดิม ซึ่งคุณพิษณุก็อธิษฐาน เช่นนั้น เหมือนกัน
เริ่มผ่าตัดเวลา ๒ ทุ่ม ผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยประมาณ ๓ ทุ่มเศษ รุ่งขึ้น เวลา ๙ โมงเช้า คุณหมอ แวววรรณก็ได้มาตรวจแผล ที่ผ่าตัดดวงตา คุณพิษณุได้แกล้งถามลูกชายดูว่า เห็นหรือยัง ลูกชายก็ตอบว่าเห็นแล้ว คุณหมอได้ฟังแล้วก็ยังไม่เชื่อ คงตรวจแผลที่ตาต่อไป คุณพิษณุจึงถามใหม่ ลูกชายก็ตอบว่าเห็นแล้วอีก คุณหมอก็แปลกใจว่า เพิ่งผ่าตัดเมื่อคืนนี้เอง แผลก็ยังใหม่ ยังไม่น่าจะมองเห็นได้เป็นปกติทันที คุณหมอจึงทดลอง อีกครั้ง โดยเอามือปิดตาข้างที่ปกติ แล้วให้เอาตาข้างที่เพิ่งผ่าตัดมอง และชูนิ้วขึ้นแล้วถามว่ากี่นิ้ว ๓-๔ ครั้ง แล้วให้อ่านตัวหนังสือที่ท้ายเตียง ก็สามารถอ่านได้ถูกต้องทั้งหมดเป็นอัศจรรย์
คุณพิษณุสังเกตดูสีหน้าของคุณหมอแวววรรณแล้ว คุณหมอมีสีหน้าดีใจและภูมิใจในฝีมือการผ่าตัดของตนเป็นอย่างมาก ซึ่งคุณพิษณุ ก็นึกถึงอานุภาพพระมหาสิริราชธาตุ และพระคะแนนสุด สุด ที่ห้อยคออยู่ทันทีว่า นี่จะต้องเป็นเพราะ อานุภาพขององค์พระ และจากการสวด สรรเสริญอย่างแน่นอน จึงทำให้ดวงตาของลูกชาย กลับมองเห็นได้เป็นปกติ รวดเร็วเป็นอัศจรรย์ ภายหลังการผ่าตัดเพียงคืนเดียว
เรื่องนี้คุณพิษณุได้เล่าให้หมู่เพื่อนๆ ที่เข้าวัดด้วยกันฟัง ทำให้เป็นที่ยินดีของหมู่คณะโดยทั่วกัน