อานุภาพพระมหาสิริราชธาตุ

๓๔๐.มือสะบัดปัดพายุ

คุณเพชราภรณ์ ภูมิรัตนประพิน อยู่ที่อำเภอ แก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ เล่าว่า

เข้าวัดครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ.๒๕๓๐ จนถึงบัดนี้เป็นเวลาถึง ๑๒ ปีแล้ว ที่มีโอกาสได้เข้ามา ในเส้นทางการสร้างบารมีนี้ โดยการแนะนำของพี่สาว ซึ่งขณะนั้น คุณเพชราภรณ์กำลังศึกษาอยู่ พี่สาวแนะนำว่า อยากเรียนจบเร็วๆ ไหม ถ้าอยากเรียนจบเร็ว ก็ให้มาวัด มานั่งสมาธิ เวลา ดูหนังสือ จะได้มีสมาธิในการดูหนังสือ จากนั้นจึงได้เข้าวัดเรื่อยมา

ปัจจุบันที่บ้านก็เป็นครอบครัวธรรมกาย ทุกคนเข้าใจชีวิต รักการทำบุญ รู้ว่าบุญคือสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง แห่งความสุขความสำเร็จ ทำหน้าที่ กัลยาณมิตรผู้นำบุญกันทุกคน ซึ่งทำให้เธอได้พบกับอานุภาพบุญ และอานุภาพของพระมหาสิริราชธาตุ ช่วยคุ้มครองให้กิจการของเธอ ประสบความสำเร็จ โดยงานไม่ได้รับความเสียหายเลยเป็นอัศจรรย์

ครอบครัวของคุณเพชราภรณ์ ประกอบธุรกิจรับงานก่อสร้าง ทำถนนคอนกรีต ในช่วงเดือนมีนาคม ประมูลทำงานถนน มาได้เส้นหนึ่ง การเทปูนพื้นถนนนั้น สิ่งที่เป็นอุปสรรคมากที่สุดคือ ฝน

ขั้นตอนในการทำตั้งแต่การบดอัดพื้นถนนไว้อย่างเรียบร้อย และยังไม่ได้เทคอนกรีตทับลงไป หากฝนตกลงมา ก็จะทำให้เสียหายมาก เพราะ พื้นที่ที่บดอัดไว้แล้ว จะมีน้ำซึมอยู่ ต้องบดอัดกันใหม่ หรือถ้าตกในขณะที่เทหรือเพิ่งเทเสร็จ ก็จะยิ่งเสียหายหนักเข้าไปอีก ผู้รับเหมางาน ทำถนนนี้ ทุกคนทราบดี ในอุปสรรคเรื่องฝนนี้ ซึ่งคุณเพชราภรณ์ก็ทราบเช่นกัน 

ในช่วงที่คุณเพชราภรณ์รับเหมาทำถนนนั้น เป็นช่วงที่ฝนตกชุกมากๆ จนไม่กล้าที่ จะตัดสินใจดำเนินการ จึงได้พักการทำงานเอาไว้ พอดีที่ บ้าน ได้นิมนต์พระภิกษุมาที่บ้าน ท่านก็แนะนำว่า ทำไมไม่ลองนึกถึงบุญ และอธิษฐานจิต กับพระรัตนตรัย และพระมหาสิริราชธาตุดู ท่าน อาจจะเว้นไม่ตก เฉพาะที่ที่เราจะทำงานก็ได้ 

พอได้ยินดังนั้นคุณเพชราภรณ์ก็นึกในใจว่า ฝนที่ตกมานี่ยังกับพายุ จะอธิษฐานให้พายุหยุด จะเป็นไปได้หรือ แต่ในตอนนั้น เพิ่งกลับมาจาก การอบรม การนั่งสมาธิเป็นเวลา ๓ เดือนในโครงการสมาธิแก้ว ที่หมู่บ้านปฏิบัติธรรม วัดพระธรรมกาย จึงมีความมั่นใจว่า บุญจากการทำ สมาธิภาวนา มาตลอด ๓ เดือนที่อยู่ในการอบรม รวมกับอานุภาพของพระรัตนตรัย และพระมหาสิริราชธาตุ จะช่วยให้งานสำเร็จ 

จึงตัดสินใจเริ่มงานนี้สักครั้ง โดยตั้งจิตอธิษฐานขอจากพระมหาสิริราชธาตุไปว่า งานเทพื้นถนนนี้ ถ้าฝนไม่ตกเลย ใช้เวลาเพียง ๔ วัน ก็ทำได้ เสร็จเรียบร้อย จึงขออานุภาพพระมหาสิริราชธาตุ ให้งานเสร็จภายใน ๔ วัน และขอให้อย่ามีอุปสรรคใดๆ เลยโดยเฉพาะ ฝน 

พอวันรุ่งขึ้นจึงได้สั่งคนงานให้เตรียมอุปกรณ์ และเครื่องมือ ในการทำงานให้พร้อม คนงานก็ถามคุณเพชราภรณ์ว่า จะทำแน่หรือ เพราะ กรมอุตุฯ พยากรณ์อากาศเอาไว้ว่า ฝนจะตกทุกวัน คุณเพชราภรณ์บอกกับคนงานไปว่า ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะขอเอาไว้แล้ว ๔ วัน ให้ตั้งใจ ทำงานให้เสร็จภายใน ๔ วันก็แล้วกัน

ในวันแรก ช่วงเช้าก็เห็นท้องฟ้าเปิดจึงสั่งปูนมาเททันที พอเทเสร็จช่วงบ่าย ได้เห็นเมฆฝนตั้งเค้ามามืดไปหมด มีลมพายุพัดแรงด้วย สักพัก ก็มีละอองฝนมา จึงรีบแอบออกไปห่างๆ ลูกน้อง พยายามทำใจให้เป็นสมาธิ แล้วอธิษฐานกับ พระมหาสิริราชธาตุว่า ลูกขอไว้แล้วแค่ ๔ วัน ขอให้งานเสร็จ ลมไม่เอา เมฆไม่เอา ฝนไม่เอา ลูกขอให้มีแดดอย่างเดียว 

อธิษฐานเสร็จ ก็กำองค์พระเดินไปทั่วบริเวณ แล้วสะบัดแขนไปทางท้องฟ้า คิดในใจว่า ให้พระมหาสิริราชธาตุ ช่วยไล่ฝน แต่ทำให้เหมือนกับ กำลังออกกำลังกาย เพราะอายคนงานจะรู้ว่า นำองค์พระมาไล่ฝน พอทำไปสักครู่ ก็มีแดดออกมาจริงๆ ก็คิดในใจว่า องค์พระศักดิ์สิทธิ์จริงๆ วันนั้น ก็ทำงานได้ตลอด สำเร็จตามเป้าหมาย

วันที่สอง ในตอนดึกก่อนจะเริ่มทำงานวันต่อมา ฝนตกหนักตลอดคืน พอตอนเช้ากำลังจะไปที่พื้นที่ที่จะเทถนน พี่ชายก็บอกว่า อย่าเทเลย ฝนตกทั้งคืนอย่างนี้ พื้นที่แฉะแน่นอน ยังไงก็ต้องรอ ให้ดินหมาดก่อน จึงจะนำเครื่องจักรเข้าไปได้ คุณเพชราภรณ์บอกว่า ขอไปดูพื้นที่ก่อน ระหว่างที่ขับรถไป ฝนก็ยังไม่หยุด ยังตกปรอยๆ อยู่ แต่พอไปใกล้พื้นที่งาน กลับไม่มีฝนตกเลย ยิ่งดูที่พื้นที่ก็ยิ่งงง ปรากฏว่าพื้นที่แห้งสนิท สามารถทำงานได้เป็นปกติ

วันที่สาม คุณเพชราภรณ์มองดูที่ท้องฟ้าก็เห็นแดดเปรี้ยงแต่เช้า ก็คิดว่า ท้องฟ้าแบบนี้ทำงานได้สบายๆ จึงโทรศัพท์จากที่บ้านสั่งคนงานว่า ให้เทคอนกรีตถนน ๔ คันรวด โดยที่ตนเอง ยังไม่ได้ไปดูที่พื้นที่เลย พอสักพัก ที่บ้านเกิดฝนตกหนักมาก มีพายุฟ้าร้องฟ้าผ่าเสียงดังมาก ได้แต่คิดในใจว่า ไม่น่าสั่งให้เทไปเลย เพราะเทไปแล้วฝนตกอย่างนี้ ซีเมนต์ต้องไหลเป็นทางเสียหายแน่นอน คนที่บ้านหัวเราะบอกว่า บอกแล้วไม่เชื่อเอง

คุณเพชราภรณ์จึงรีบขับรถไปดูพื้นที่ว่า เสียหายมากไหม ขับรถฝ่าพายุฝนไป ฝนตกหนักมาก จนต้องเปิดไฟรถส่องทาง มองดูต้นไม้ข้างทาง เห็นกิ่งไม้หักต้นไม้ล้ม เป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่สนใจ สวดสรรเสริญ พระมหาสิริราชธาตุ ตลอดทาง ในใจก็ตั้งผังสำเร็จไว้เลยว่า ถนนจะต้อง แห้ง พอไปถึงก็วิ่งไปดูหน้างาน ลูกน้องเตรียมเก็บของหลบฝน เพราะลมแรงมาก คุณเพชราภรณ์ ก็ตัดสินใจนั่งสมาธิกลางแจ้งเลย

ขณะนั้นอากาศ มืด ครึ้ม ลมพัดแรงมาก ในมือจับองค์พระอธิษฐานจิตว่า ลมไม่เอา เมฆไม่เอา ฝนไม่เอา ให้เอาไปให้ชาวไร่ชาวนา แต่ตรงนี้ ไม่เอา ขอผลบุญส่งผล ให้คำอธิษฐานนี้ สำเร็จด้วยเถิด หลับตาทำสมาธิไปสักพัก ก็รู้สึกว่า เอ๊ะ ทำไมรู้สึกร้อนๆ เหมือนมีสปอร์ตไลต์ มาส่อง ที่หน้า พอเผยอตาดูก็ดีใจมาก พระอาทิตย์โผล่ออกมา วันนั้นปูนที่เทไปแล้วก็แห้งทันไม่เกิดความเสียหายใดๆ เลย

วันที่สี่ ซึ่งเป็นวันสุดท้าย ลูกน้องโทรมาบอกแต่เช้าเลย วันนี้ไม่เทเพราะว่า ฝนตกทั้งคืน ยืนยันได้ เพราะบ้านพักเขาอยู่หน้างาน คุณเพชราภรณ์ ยังไม่ยอมตกลง จะขอไปดูพื้นที่ก่อนว่า ทำไม่ได้จริงๆ และได้บอกกับลูกน้องว่า ให้รออยู่ก่อน อย่าเพิ่งแยกย้ายไปไหน เนื่องจาก ฝนตกหนักปกคลุมบริเวณนั้น หลายวัน 

ระหว่างทางที่ขับรถไป สภาพสองข้างทาง จะเห็นน้ำป่าไหลเซาะทั่วไป เหมือนน้ำป่ากำลังมา พอถึง หน้างานปุ๊บ ก็รีบไปดูความเสียหาย ของ ดินที่ปรับไว้ เข้าไปดูก็อัศจรรย์ใจมาก เพราะปรากฏว่า ไม่มีน้ำเลย แม้แต่ละอองก็ไม่มี เอามือไปจับด ูแห้งสนิท จึงรีบสั่งลูกน้องมา ระดม ทำงานต่อให้เสร็จทันที

สรุปแล้วคำอธิษฐานของคุณเพชราภรณ์สำเร็จได้ดังที่ตั้งใจจริงๆ ฝนไม่ตกทั้ง ๔ วัน งานสำเร็จตามเป้าหมายได้อย่างอัศจรรย์ 

รายนี้เข้าวัดเพราะอยากเรียนหนังสือเก่ง ในที่สุด ๑๒ ปีผ่านไป ได้ทำบุญหลายอย่างทั้งทำทาน รักษาศีล ฟังธรรม เจริญภาวนา ตลอดกระทั่ง เป็นผู้นำบุญ ทั้งบ้านเป็นครอบครัวธรรมกาย น่าชื่นใจ 

เรื่องการขออานุภาพ พระรัตนตรัย และพระมหาสิริราชธาตุ ช่วยห้ามฝนได้นั้น ไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่อ เหลวไหล แต่อย่างใด คนโบราณตาม ชนบท เวลามีงานบุญใหญ่ๆ ที่บ้านก็ตาม ที่วัดก็ตาม เช่นการบวชนาค ทอดกฐิน ฯลฯ ผู้เฒ่าผู้แก่ที่สูงด้วยคุณธรรม ประพฤติตนเป็น ตัวอย่าง ที่ดี สามารถอธิษฐานจิต ขอร้องเทพยดา ที่ดูแลฝนฟ้า ไม่ให้ฝนตกได้ ซึ่งมักกระทำก่อนวันงาน

ส่วนคุณเพชราภรณ์ ขออานุภาพพระรัตนตรัยและพระมหาสิริราชธาตุ ท่ามกลางพายุกำลังมาฝนฟ้าดำทมึน ดูจะเป็นเรื่องเสี่ยงอยู่มิใช่น้อย แต่กลับสำเร็จเป็นอัศจรรย์

เรื่องการขอความช่วยเหลือจากเทพยดานั้น ไม่ใช่เรื่องงมงาย เพราะมนุษย์ผู้ประกอบบุญกุศลทุกคน มักมีเทวดาตามรักษาอยู่ หากมนุษย์ ผู้นั้น มีบุญมาก เมื่อปรารถนาสิ่งใด ไม่เกินกำลังบุญที่ตนเองมี เทพยดาก็มักให้ความอนุเคราะห์ช่วยเหลือ

ในกัมมัสสกตาปัญญา ปัญญาที่รู้ว่า กรรมเป็นสมบัติของตนนั้น มี ๑๐ ประการคือ

๑. ปัญญารู้เห็นว่า ทานที่บุคคลให้แล้ว ย่อมมีผล
๒. ปัญญารู้เห็นว่า การบูชาย่อมมีผล
๓. ปัญญารู้เห็นว่า การบวงสรวงเทวดา ย่อมมีผล
๔. ปัญญารู้เห็นว่า ผลวิบากของกรรมดีและชั่วมีอยู่ (ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทั้งทางตรงและทางอ้อม)
๕. ปัญญารู้เห็นว่า โลกนี้มีอยู่ (ผู้จะมาเกิดนั้นมี)
๖. ปัญญารู้เห็นว่า โลกหน้ามีอยู่ (ผู้จะไปเกิดนั้นมี)
๗. ปัญญารู้เห็นว่า มารดามีอยู่ (การทำดี ทำชั่วต่อมารดา ย่อมจะได้รับผล)
๘. ปัญญารู้เห็นว่า บิดามีอยู่ (การทำดีทำชั่วต่อบิดา ย่อมจะได้รับผล)
๙. ปัญญารู้เห็นว่า โอปปาติกสัตว์ (สัตว์ที่เกิดผุดเป็นตัวโตเต็มที่ ) นั้นมีอยู่ (สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เทวดา พรหมนั้นมี)
๑๐. ปัญญารู้เห็นว่า สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ประกอบด้วยความรู้ยิ่ง เห็นจริงประจักษ์ ซึ่งโลกนี้และโลกหน้า ด้วยตนเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นผู้นั้น มีอยู่ในโลกนี้

ทั้ง ๑๐ ข้อนี้ เรียกอีกอย่างว่าเป็นความคิดเห็นที่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงก็ได้ ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า ปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่บางคน ยังขาดกัมมัสสกตาปัญญาไป คนละหลายๆ ข้อ เป็นการบูชาเป็นเรื่องงมงาย ไม่เชื่อโลกนี้โลกหน้า ไม่เชื่อนรกสวรรค์ แม้กระทั่ง ข้อสุดท้าย ก็ไม่ยอมเชื่อ

อย่างไรก็ดี คุณธรรมที่ทุกคนควรปฏิบัติให้มากข้อหนึ่ง คือ ความไม่ประมาท ไม่ใช่คิดว่าอะไร ๆ ก็ขออำนาจพระรัตนตรัย อำนาจเทวดาช่วย ไปเสียหมดทุกเรื่อง ควรดูเฉพาะเรื่องคับขันจำเป็น ที่ตนเองหมดความสามารถแล้วเท่านั้น ถ้ายังพอช่วยตนเองได้ ก็ควรช่วยตนเองให้เต็มที่

 ใครจะรู้ เวลาที่เราขอให้เทวดาช่วย เวลานั้นเราอาจมีบุญไม่พอ ท่านก็ช่วยเราไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก็ไม่ควรประมาท หมั่นทำบุญกุศลอยู่ เนืองนิจ และช่วยตนเอง โดยดูให้สมควร ต่อเหตุผลต่างๆ ย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุดเสมอ


[สารบัญ] [๓๔๐] [๓๔๑] [๓๔๒] [๓๔๓] [๓๔๔] [๓๔๕] [๓๔๖] [๓๔๗]