คุณศิริจิตต์ ทองประทุมอยู่อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี เล่าว่า
ได้เข้าวัดพระธรรมกายครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๑ และยังได้ทันสร้างองค์พระธรรมกายประจำตัว ประดิษฐานภายนอก มหาธรรมกายเจดีย์ ในวันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๑ พอดีอีก ๑ องค์ ทั้งๆ ที่มีอุปสรรคมากมาย ในเรื่องเงิน แต่ก็ได้ทำสมใจ และยังได้ไปปฏิบัติธรรมที่สวนบัว เป็นครั้งแรก และยังเป็นรุ่นพิเศษอีกด้วย
คุณศิริจิตต์ได้อธิษฐานตลอดว่า ขอให้ได้สร้างองค์พระให้คุณแม่ สามี และลูกๆ อีกคนละองค์ จากนั้นก็ได้เงินมา สร้างสมใจปรารถนา และ ยังมีโชคได้ลาภมาอีกก้อนใหญ่ พอดีกับช่วงนั้น หลวงพ่อท่านเมตตาเปิดโอกาส ให้ได้สร้างองค์พระบนยอดโดม จึงเกิดความปีติ เป็นอย่าง มาก ที่ได้มีโอกาสมาสร้างองค์พระบนโดม มหาธรรมกายเจดีย์ เพราะว่าตัวเองเข้าวัด ช้ากว่าคนอื่น ทำให้พลาดโอกาส ทำบุญใหญ่หลาย อย่างไป
คุณศิริจิตต์ได้พบอานุภาพพระมหาสิริราชธาตุ ๒ เรื่อง
เรื่องแรก เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๒ ตอนเย็นเวลาประมาณ ๑๗.๓๐ น. คุณศิริจิตต์ได้ขับรถมอเตอร์ไซค์ เพื่อจะไปร่วมปล่อยปลา ที่หนองตะเคียน พอขับไปถึงบริเวณ ๔ แยกไฟแดงกิโลเมตรที่ ๑ ก็ได้ไปคอยไฟแดง เพื่อจะเลี้ยวกลับรถ (ยูเทิร์น) พอไฟเขียวขับรถออก
ซึ่งในวินาทีนั้น ก็ได้มีรถเก๋ง สีน้ำเงินเข้มวิ่งฝ่าไฟแดงมา จะพุ่งเข้ามาชนรถมอเตอร์ไซค์ของคุณศิริจิตต์ ตอนนั้นตกใจมาก ทำอะไรไม่ถูก แต่ก็อัศจรรย์มากที่สุดในชีวิต รถคันนั้น กลับวิ่งเฉียดรถของคุณศิริจิตต์ไป เหมือนกับไม่มีรถของคุณศิริจิตต์ อยู่บนถนน
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก คุณศิริจิตต์บอกว่า พอรถคันนั้นผ่านตัวไป อย่างรวดเร็ว ดิฉันมีความรู้สึกว่า ตัวเองชาไปหมดทั้งร่าง แต่ก็ยัง ขับรถมอเตอร์ไซค์ ตามรถเก๋งคันนั้นไป อย่างงงๆ
แต่พอรถเก๋งคันนั้น ขับผ่านรถของคุณศิริจิตต์ ไปได้เพียง ๓๐-๔๐ เมตร รถคันนั้น ก็ได้ไปชนกับรถเก๋งสีแดง ที่แซงขึ้นมากันเต็มแรง เสียงดัง สนั่นหวั่นไหวไปหมด
พอคุณศิริจิตต์ขับรถไปถึงจุดที่เกิดเหตุ ได้เห็นคนขับรถเก๋งสีน้ำเงิน ที่ขับรถผ่านตัวคุณศิริจิตต์ไปนั้น บริเวณศีรษะ มีแต่เลือดเต็มไปหมด คนก็มามุงดูกันเยอะมาก คุณศิริจิตต์บอกว่า ดิฉันบอกไม่ถูกเลยค่ะว่า ถ้าดิฉันโดนรถฝ่าไฟแดงคันนั้นชนเข้า คงจะไม่เหลือชิ้นดี ทั้งรถทั้งคน เพราะรถวิ่งมาเร็วมาก
หลังจากกลับจากปล่อยปลาแล้ว ก็ได้เดินทางไปยังจังหวัดสกลนครทันที ในระหว่างเดินทาง ได้เปิดเทปสวดสรรเสริญ พระมหาสิริราชธาตุ แล้วก็คุยกันถึงเรื่องวัด และเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดเมื่อตอนเย็น ให้สามีฟัง
ในขณะที่รถได้ผ่านแยกอำเภอแกลงมาแล้ว ก็ได้ขับรถตามรถกระบะ ซึ่งบรรทุกของเต็มคันรถ สักพักรถกระบะคันนั้น เกิดยางระเบิดขึ้น เสียงดังมาก และรถได้หมุนอย่างแรง และพลิกคว่ำ อย่างรวดเร็ว
คุณศิริจิตต์ในตอนนั้น ตกใจอย่างมาก เอามือกุมองค์พระ และบอกกับตัวเองในใจทันทีว่า ขออย่าให้คนขับเป็นอะไรเลย ซึ่งรถของคุณศิริจิตต์ ก็เบรคได้ทันหวุดหวิด ไม่ชนกับรถกระบะคันข้างหน้า ทั้งๆ ที่รถกระบะกับรถของคุณศิริจิตต์ ห่างกันไม่ถึง ๓ เมตร แล้วก็ไม่ปัดหรือ เสียหลัก มาโดนรถของคุณศิริจิตต์ด้วย
คุณศิริจิตต์บอกว่า ทั้ง ๒ เหตุการณ์เกิดขึ้นในวันเดียวกัน ห่างกันไม่กี่ชั่วโมงเอง ถ้าประสบกับตัว ก็คงจะเสียชีวิตหรือทรัพย์สิน แต่ดิฉันได้ผ่าน เหตุร้ายนั้น มาด้วยความปลอดภัย ดิฉันปีติในบุญที่ได้สร้างองค์พระ และได้รับพระมหาสิริราชธาตุมาบูชา ซึ่งได้นำมาติดตัว สวดสรรเสริญ ไม่เคยขาด วันหนึ่งๆ ก็จะหยิบองค์พระขึ้นมาดูหลายๆ ครั้ง ใจอยู่กับท่านตลอดเวลาเลยค่ะ
เรื่องที่ ๒ วันอาทิตย์ที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ คุณศิริจิตต์ได้ไปซื้อของ ที่ห้างสรรพสินค้าที่พัทยา พอเลือกของเกือบจะเสร็จ ก็ได้เข้าห้องน้ำที่ห้าง พอกลับออกมา ก็มาเลือกซื้อของอีก ซึ่งของที่ซื้อนั้น ก็จะเป็นของแห้ง ที่จะใช้ใส่บาตร ในเช้าวันมาฆบูชาที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่วัด พระธรรมกาย
พอเสร็จจากเลือกของแล้ว กำลังจะไปให้เจ้าหน้าที่คิดเงิน ก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง เข้ามาทักว่า พี่ๆ กระเป๋า สตางค์ของพี่หรือเปล่า ในตอนนั้น คุณศิริจิตต์ใจหายวาบ นึกถึงว่า ต้องหาย ตอนเข้าห้องน้ำแน่นอน พอมองดู ก็ใช่กระเป๋าสตางค์ของตัวเองจริงๆ คิดในใจว่า ลืมได้อย่างไร เพราะปกติ จะเป็นคนที่ระมัดระวังมาก เรื่องกระเป๋าสตางค์
คุณศิริจิตต์รีบยกมือไหว้ขอบคุณผู้หญิงคนนั้น พอรับเสร็จผู้หญิงคนนั้น ก็รีบเดินไปทันที เขาคงจะตามหาเจ้าของมานานมาก เพราะเป็น วันอาทิตย์สิ้นเดือน คนจะเยอะมาก แต่ผู้หญิงคนนั้น ก็ตามหาคุณศิริจิตต์จนพบ ซึ่งในกระเป๋าสตางค์ ของคุณศิริจิตต์นั้น ได้ติดรูปของ คุณยายอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง และสติ๊กเกอร์พระมหาสิริราชธาตุ พิชิตมาร ไว้ด้วย
คุณศิริจิตต์บอกว่า ไม่น่าเชื่อเลยว่า
กระเป๋าหายในห้างสรรพสินค้า
แล้วได้คืน แล้วของในกระเป๋า ก็ยังอยู่ครบทุกอย่าง
ยิ่งพอดูรูปของ คุณยาย
อาจารย์ ก็เหมือนท่านกำลังยิ้มให้ด้วย
ถ้าไม่เจอกระเป๋าในวันนั้น
ก็คงซื้อของที่เลือกไว้เต็มรถเข็น
เพื่อไปใส่บาตร ในวันมาฆบูชา
ที่วัดพระธรรมกายไม่ได้แน่
ดิฉันรู้สึกปลื้มปีติ
และอัศจรรย์ ใจจริงๆ ค่ะ
คุณศิริจิตต์ เพิ่งเข้าวัดเมื่อปี ๒๕๔๑ นี้เอง
แต่มีศรัทธาปรารถนาทำบุญ
สร้างองค์พระประดิษฐานไว้บนเจดีย์มาก
ไม่เพียงแต่สร้างให้ตนเอง
ต้องการสร้างให้มารดา ให้สามีและลูกๆ ด้วย
ความปรารถนา อยากได้บุญกุศล ไม่ใช่ความโลภ โลภะ หรือความโลภนั้น ต้องเป็นความอยากได้ ในเรื่องของกามคุณอารมณ์ทั้ง ๕ คือ อยากได้ในรูปสวยๆ เสียงเพราะๆ กลิ่นหอมๆ รสอร่อยๆ และสัมผัสทางกายที่นิ่มนวล สุขสบาย
เมื่ออยากได้ใน กามคุณ อารมณ์ ความอยากชนิดนี้จึงเป็นกิเลส รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ล้วนแต่เป็นอารมณ์ให้กิเลสเกิด
ส่วนความอยากได้บุญกุศล เป็นอารมณ์ให้กุศลจิตเกิด เพราะบุญกุศลเมื่อมีมากขึ้นๆ ย่อมกลั่นตัวเป็นบารมี บารมีเมื่อมีมากขึ้นๆ จนครบ ทั้งสิ้น สามารถสิ้นอาสวกิเลส พ้นจากวัฏสงสาร เลิกเวียนว่ายตายเกิด เข้าพระนิพพาน
ตรงข้ามกามคุณ ๕ ยิ่งได้มายิ่งทำให้กิเลสเพิ่ม เป็นทั้งโลภะ ทั้งราคะ ถ้าไม่ได้ดังใจปรารถนา ก็พาให้ไม่พอใจ กลายเป็นโทสะ
เมื่อคุณศิริจิตต์อยากได้บุญกุศล เท่ากับมีกุศลจิตเป็นพื้นใจอยู่ พอได้ไปร่วมกับหมู่คณะ ปฏิบัติธรรมที่เชียงใหม่ตลอด ๗ วัน ย่อมได้ภาวนามัย กุศลอันเป็นบุญใหญ่ เพิ่มกำลังบุญให้ยิ่งขึ้นเป็นทับทวี
โดยปกติคนเราควรสร้างบุญกุศล ทั้งทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาอยู่เนืองนิจ การทำทานคือ บริจาคความตระหนี่ออกไป ความ ตระหนี่นั้น เป็นกิเลสชนิดหนึ่ง เรียกว่ามัจฉริยะ อยู่ในตระกูลโทสะ
ผู้ใดบำเพ็ญทานได้บ่อยๆ ย่อมทำให้รักษาศีลได้ง่ายขึ้น เพราะ รักษาศีล ก็คือเว้นจากการทำความชั่ว ในรูปแบบต่างๆ เมื่อรักษาศีลได้ ย่อมทำให้เจริญภาวนา ได้รับผลดี ไม่มีวิปฏิสารเดือดร้อนใจ
บุญกิริยาวัตถุทั้ง ๓ ประการ คือ ทาน ศีล ภาวนานั้น ถ้าจะถามว่าอย่างใดมีอานิสงส์มากน้อยกว่ากัน คงตอบได้ว่า ศีลมีอานิสงส์มากกว่า ทาน และภาวนามีอานิสงส์มากกว่าศีล
ในการไปปฏิบัติธรรมที่เชียงใหม่ของคุณศิริจิตต์ตามที่เล่ามา ได้บำเพ็ญบุญกิริยาครบทั้ง ๓ ประการ
เป็นการทำกุศลที่พร้อม ด้วยจิตใจ มี ปีติโสมนัส มีปัญญา และเต็มใจตั้งใจทำ ด้วยตนเอง ไม่ใช่ด้วยการชักชวน หรือเกรงใจใคร อานิสงส์ ผลบุญ จึงเกิดมหาศาล บันดาลความสำเร็จ อย่างทันตาเห็น ได้เงินมาก้อนใหญ่ สามารถทำบุญ ได้สมใจเป็นอัศจรรย์ แม้แต่องค์พระ ประดิษฐานบนโดม ก็มีโอกาสได้ร่วมสร้าง
เมื่อทำบุญแล้ว ได้รับพระของขวัญพระมหาสิริราชธาตุ มากราบไหว้บูชา สวดสรรเสริญ ได้พบอานุภาพถึง ๒ เรื่อง
เรื่องแรก ขณะที่กำลังเลี้ยวยูเทิร์นรถเก๋งพุ่งมาเฉี่ยวรถมอเตอร์ไซค์ ของคุณศิริจิตต์ แล้วผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ ไม่ใช่ เกิดกับคุณศิริจิตต์เป็นรายแรก มีหลายราย ประสบด้วยตนเองแล้วเล่ามา เช่น
ขับรถเก๋งไปทางนครนายก ด้วยความเร็วสูงมาก รถสิบล้อ เปลี่ยนเลนกระทันหัน มาขวางหน้ารถ ตนเองไม่สามารถ ชลอความเร็วได้ทัน คิดว่า ต้องชนท้ายรถสิบล้อแน่นอน เพราะป้ายทะเบียนรถสิบล้อ แทบจะอยู่บนกระจกหน้ารถของตน จึงหลับตาเตรียมตาย ในใจร้องเรียกให้ พระมหาสิริราชธาตุ ช่วยด้วยตลอดเวลา
หลับตาอยู่สักพัก ไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักที จึงลืมตาดู กลับกลายเป็นรถตนเองวิ่งอยู่หน้า รถสิบล้อวิ่งตามหลังในเลนเดียวกัน ไม่ทราบว่า วิ่งผ่าน มาได้อย่างไร หรือบางรายถูกรถสิบล้อเบียด มีช่องว่างอยู่นิดเดียว ชลอความเร็วไม่ได้ วิ่งเสี่ยงไปในช่องว่างนั้น คิดว่าคงถูกอัดบี้แบน แต่กลับ วิ่งลอดไปได้โดยสวัสดี
ส่วนเรื่องที่สองของคุณศิริจิตต์ เป็นอานุภาพการระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย และตั้งใจที่จะไปทำมหาทานบารมี ด้วยการที่จะไปตักบาตร แด่ คณะสงฆ์ในวันมาฆบูชา บุญจึงบันดาลให้พบคนดี เก็บกระเป๋าสตางค์มาคืนให้อย่างอัศจรรย์