คุณโฆษกะ โอสายไทย เป็นคนจังหวัดกาฬสินธุ์โดยกำเนิด เล่าว่าตนเองประกอบธุรกิจเป็นเจ้าของกิจการห้างทอง อุเทน เข้าวัดมาเป็นเวลากว่า ๑๐ ปีแล้ว และได้ประพฤติปฏิบัติ ตามคำสอนที่ได้รับจากวัดพระธรรมกายอย่างสม่ำเสมอ ณ วันนี้ คุณโฆษกะได้ตระหนักถึงหน้าที่ผู้นำบุญว่าเป็นงานหลักของชีวิต และเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรสร้างบารมี ด้วยการ ชักชวนมวลมนุษยชาติให้รู้ซึ้งถึงคุณค่าของพระรัตนตรัย และยึดมั่นปฏิบัติตนตามหลักธรรมคำสอน ของพระพุทธองค์
คุณโฆษกะรู้สึกประทับใจมากในตำแหน่งผู้นำบุญ ถึงแม้จะไม่ใช่ตำแหน่งที่เลิศเลอเหมือนทางโลก แต่ในทางธรรมเป็นสิ่งที่ภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
เป็นความรู้สึกที่อบอุ่นใจ
ที่มอง
ไปทุกทิศทุกทางได้พบเจอแต่กัลยาณมิตร มีเพื่อนรอบข้างเป็นสัมมาทิฐิบุคคล เขาจึงไม่เคยว่างเว้นจากการทำหน้าที่ผู้นำบุญถึงจะดึกดื่นค่อนคืนปานใด
ก็สามารถสละความสุข ส่วนตัว
เพื่อให้ทุกคนทำความดีอยู่ในบุญกุศลและมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
คุณโฆษกะได้เล่าถึงอานุภาพบุญที่ตนเองรอดพ้นจากอันตรายอย่าง อัศจรรย์ถึง ๒ เรื่อง ซึ่งเรื่องแรกเกิดขึ้นวันที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๔๒ มี คนร้ายมาฉกทองที่ร้านของคุณโฆษกะ ลักษณะคนร้ายเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ กำยำ ผิวคล้ำกร้านแดด ซึ่งพนักงานขายบอกว่าเคยเข้ามาที่ร้าน
และคุณป้าที่ขายกาแฟ
อยู่ที่ตลาดฝั่งตรงกันข้าม
ก็บอกเป็นเสียง เดียวกันว่า
เคยเห็นชายคนนี้ยืนสังเกตการณ์อยู่ที่ร้านกาแฟ มา ๒-๓ วันแล้ว
เมื่อคนร้ายเข้ามาในร้าน
พนักงานขายสงสัย เพราะคนร้ายคนนี้เคยเข้ามาครั้งหนึ่งแล้ว
จึงบอกให้
เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รักษาการณ์อยู่ที่ร้าน บอกให้เขาออกไป
ในวันเกิดเหตุวันนั้นมีลูกค้าเข้าร้าน เยอะมาก
ชายคนร้ายก็ทำทีว่า
เป็นลูกค้าปลอมปนเข้ามาขอดูสร้อย แต่พนักงานจำหน้าได้จึงไม่ยอมให้ดู พอดีคุณป้าที่เป็นลูกค้ายืนอยู่ใกล้ๆ บอกว่า ให้ลูกค้าดูซิ เขาขอดูสร้อย ทำไมไม่เอาให้เขาดู พนักงานจึงหยิบมาวางบนตู้กระจก พอหันหลังเท่านั้น คนร้ายก็หยิบสร้อยทองวิ่งออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว
ลัดเลาะ ออกไป
ทางตลาดอีกฝั่งถนนหนึ่ง พนักงานได้สติจึงรีบตะโกนบอก "เขาเอาทองไปๆ"
คุณโฆษกะเมื่อได้ยินเสียงพนักงานบอก จึงรีบเก็บสร้อยเข้าตู้และวิ่งตามออกไปทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้าตาคนร้ายมาก่อน วิ่งไปถามไปประมาณ ๓-๔ คน พอจุดสุดท้ายก็มีเด็กคน หนึ่ง วิ่งมาบอกให้และชี้ว่า "คนนี้แหละพี่" ชี้มือไปทางคนร้ายที่กำลังนั่งรถสามล้อเคลื่อนออกไปช้าๆ เขาจึงไม่รอช้า รีบบอกให้รถหยุด และวิ่งเข้าไปคว้าข้อมือคนร้าย และบอกว่า "เอาทอง ออกมาเดี๋ยวนี้"
ชายคนร้ายปฏิเสธบอกไม่มี ตอนนั้นคุณโฆษกะไม่นึกกลัวเขาเลย ทั้งๆ ที่คนร้ายตัวโตกว่า
ถ้าชกหน้าหรือทำร้ายโดยอาวุธ
ป่านนี้คุณโฆษกะคงไม่มีทางรอดแน่นอน
และอาจต้อง
ถึงกับเสียเลือดเสียเนื้อ แต่เหตุการณ์นี้เป็นที่น่าแปลกมาก เพราะคนร้ายเอาแต่นั่งนิ่งๆ ไม่ขัดขืนเลย นี่เป็นเพราะอานุภาพบุญแท้ๆ จึงเป็นเหตุให้คนร้ายคิดอะไรไม่ออกนั่งนิ่งๆ และปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเดียว เขาก็บอกให้ล้วงกระเป๋าออกมาให้หมด คนร้ายยอมทำตามอย่างง่ายๆ และสามารถค้นจนเจอทองเส้น ๕ บาท ที่ค้นร้ายขโมยไป
พอเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงเขาจึงรีบบอกให้ใส่กุญแจมือไว้ก่อน
เพราะกลัวคนร้ายขัดขืน ขณะนั้นตั้งใจไม่อยากเอาเรื่อง คิดว่าให้อภัยกันไป
แต่ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์
ต่างก็ไม่ยอม
ตำรวจก็จะเอาเรื่อง
เพราะถือเป็นคดีอาญา พอนำตัวไปส่งที่สถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจจำหน้าได้ทุกคน เพราะคนร้ายคนนี้เคยถูกจับคดียาบ้า พอจำคุกเสร็จก็ปล่อย จนเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงกับทักว่า "เอาอีกแล้วเรอะเรา เดี๋ยวนี้พัฒนาขึ้นนะ"
จากเหตุการณ์ ดังกล่าว จะเห็นว่าคนเราจะทำดีเพียงลำพังคนเดียวไม่ได้ ต้องพยายามชักชวนผู้อื่นให้เขาได้ทำความดี เพื่อสังคม เพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และถ้าคนเราแม้มีศีลครบ ๕ ข้อ เป็นอย่างน้อยก็คงไม่เกิดเรื่องราวต่างๆ ที่วุ่นวายเหมือนกับปัจจุบันนี้
สำหรับเรื่องที่สองเกิดขึ้นเมื่อประมาณต้นเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๕๔๒ ที่ผ่านมา คุณโฆษกะขับรถออกจากบ้านเพื่อไปทำหน้าที่ผู้นำบุญ
ซึ่งใช้เวลาว่างจากธุรกิจส่วนตัว
ออกไป พบปะบรรดาเพื่อนบ้าน
เพื่อเชิญชวนสาธุชนได้มีโอกาสสัมผัสชีวิต
ที่เป็นชาวพุทธที่แท้จริง
เขาเพียรพยายามเยี่ยมเยือนเพื่อนบ้าน
คอยให้คำแนะนำต่างๆ ในคืนนั้นเวลาประมาณ ๒ ทุ่ม ฝนตกลงมาไม่ขาดสาย เขาขับรถอย่างระมัดระวังประมาณ ๘๐ ก.ม./ช.ม. ถึงจุดที่เกิดเหตุบริเวณหน้าโรงแรมริมปาว อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์
ขณะนั้นขับตามหลังรถกะบะที่ติดฟิลม์สีดำสนิท ตั้งใจจะแซงขวาพอคิดได้ดังนั้น จึงเร่งความเร็ว จนขับแซงไปได้ครึ่งคัน แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดคิดก็เกิดขึ้น รถคันข้างหน้า หักพวงมาลัยเลี้ยวขวากระทันหัน เพื่อเข้าซอยข้างทาง โดยที่ไม่ได้เปิดไฟเลี้ยว คุณโฆษกะตั้งตัวไม่ติด ไม่ทันได้เหยียบเบรคเลย จึงชนเข้าเต็มแรง ตรงด้านประตูคนขับของรถคู่กรณี ด้านข้างยุบเข้าไป แรงกระแทกทำให้เกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ และทำให้รถทั้งคู่หันหัวไปคนละทิศละทาง ด้านท้ายรถคู่กรณีปัดมาชนด้านข้างของรถคุณโฆษกะ อย่างรวดเร็ว และแรงจนทำให้รถหมุน เป็นวงตามแนวเข็มนาฬิกา รถคู่กรณีหันหัวไปทางซ้าย แต่คนขับก็ประคองรถแอบเข้าทางซ้ายมือ ส่วนรถของคุณโฆษกะเครื่องยังติดอยู่ แต่รถขยับไม่ได้ เลย
คุณโฆษกะนั้นตอนชนกันและคาดเข็มขัดนิรภัยไว้ด้วยจึงไม่เกิดอาการใดๆ ทั้งสิ้น รู้สึกตอนนั้นเหมือนกับชนกันเบาๆ และรถค่อยๆ สะบัด ๑ รอบไม่เร็วนัก
ส่วนคู่กรณีนั้นถูกชนเข้า
อย่างจัง
ตรงเบาะคนขับยุบเข้าไป ถ้าดูจากสภาพรถที่ถูกชนแล้วคนขับรถ กะบะต้องบาดเจ็บสาหัส หากสะโพกไม่แตกร้าวก็ต้องขาหักอย่างแน่นอน
แต่นี่ยังเดินออกมาจากรถ และ
โวยวายได้อีก มีชาวบ้านละแวกนั้นมามุงดู หนึ่ง ในจำนวนนั้นเป็นผู้หญิงได้ถามว่า "พี่ ๆ ห้อยพระอะไรหรือถึงไม่เห็นเป็นอะไรเลย" คุณโฆษกะตอบว่า "ห้อยพระมหาสิริราชธาตุ"
ชาย ๒ คนได้ออกมาจากรถกะบะกล่าวหาและใส่ความว่าคุณโฆษกะ เป็นคนผิด และพยายามไปเรียกคนที่รู้จักแถวนั้น มาช่วยเป็นพยาน
ช่วงจังหวะที่เกิดเหตุการณ์
มีมอเตอร์ ไซค์คันหนึ่งขับผ่านมาพอดี เจ้าของรถที่ถูกชนจึงเรียกไปพูดด้วยนานถึง ๒๐ นาที ท่าทางมีพิรุธ พวกเขาพยายามป้ายความผิดมาที่คุณโฆษกะ
ซึ่งตอนนั้น
รู้สึกว่าเหตุการณ์ช่าง
ไม่ยุติธรรมสำหรับเขาเลย คู่กรณีมีกันหลายคน และคนขับก็ทำท่าโวยวายเสียงดัง
บอกกับทุกคนให้เป็นพยานว่า
คุณโฆษกะขับรถประมาท ขับกระชั้นชิดและชนรถเขา
คุณโฆษกะ สังเกตว่าคนขับรถกะบะมีพฤติกรรมที่น่าสงสัย อาจมีการติดสินบนกับคนขับมอเตอร์ไซค์ เพื่อให้เป็นพยานว่า รถกะบะเปิดไฟเลี้ยวขวาแล้วนะ
แต่คุณโฆษกะก็ไม่หยุดรถ
กลับขับ เข้ามาชน
ประมาณครึ่งชั่วโมง เจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุ คนขับรถมอเตอร์ไซค์ให้การว่ารถกะบะเปิดไฟเลี้ยวแล้ว แต่คุณโฆษกะก็เถียงว่าไม่ใช่
เจ้าหน้าที่ตำรวจทำตัวเป็นกลาง
และ
แนะนำให้ไปดำเนินเรื่องต่อในวันรุ่งขึ้น ในค่ำคืนนั้นเหตุการณ์ทำท่าจะบานปลาย เพราะเกิดมีปากเสียงกันด้วย คุณโฆษกะไม่ชอบความอยุติธรรมอยู่แล้ว
จึงรู้สึกไม่พอใจกับ
เหตุการณ์ ดังกล่าว แต่โชคดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจวางตัวเป็นกลาง และช่วยคลี่คลายเหตุการณ์ให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นผลที่เกิดจากบุญที่คุณโฆษกะเป็นผู้นำบุญคอยชี้แจงแก้ไขเหตุการณ์ ต่างๆ ให้เป็นไปในทางที่ดีให้กับทางวัด เมื่อประกอบเหตุมาแบบนี้ และเกิดเรื่องราวที่ถูกใส่ร้ายป้ายสี พระย่อมเข้าข้างคนดีเสมอ
คืนนั้นคุณโฆษกะกลับมาถึงบ้านด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ จึงรีบสวดมนต์และอธิษฐาน น้อมจิตให้เป็นกุศลกลั่นดวงบุญที่กระทำมาดีแล้ว ผ่านทางองค์พระมหาสิริราชธาตุ ที่สวมคล้องคออยู่เป็นประจำว่า "ขอให้เรื่องราวต่างๆ จบลงอย่างเย็นๆ อย่ามีเรื่องมีราวต่อกันเลย"
พอรุ่งเช้าได้เดินทางไปที่สถานีตำรวจตามที่นัดหมายไว้ พอไปถึง คนขับรถกะบะคู่กรณีเห็นหน้า รีบวิ่งเข้ามาขอโทษ และยกมือไหว้คุณโฆษกะถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน
ที่เขา พยายามจะใส่ความ โดยให้คนอื่นมาเป็นพยาน เพื่อบิดเบือนความจริงกับตำรวจ เขาบอกว่า เมื่อคืนเขานอนไม่หลับเลยที่ทำเช่นนั้น เช้ามาจึงต้องรีบมาขออโหสิกรรม
และเมื่อคุย กัน
เรียบร้อยต่างคนต่างยอมความกัน ตำรวจจึงให้ทั้งสองฝ่ายเสียค่าปรับคนละ ๔๐๐ บาท และต่างคนต่างนำรถไปซ่อมกันเอง
คำพังเพยที่ว่า มีเพื่อนบ้านดี ดีกว่ามีรั้วบ้านดี เป็นความจริงที่ใช้ได้ตลอดกาล คนร้ายเข้ามาฉกทองในร้านขายทองคุณโฆษกะ มีเพื่อนบ้านร้านตรงข้ามบ้าง
คนที่เห็นคนร้ายวิ่ง บ้าง ช่วยกันบอกรูปพรรณสัณฐาน ทำให้ตามจับตัวได้สะดวก
อนึ่งคนที่หมั่นทำบุญกุศลอยู่เสมอๆ สติจะเกิดรวดเร็วกว่าคนธรรมดามาก ในยามมีเหตุการณ์คับขันกระทันหัน สติเป็นธรรมชาติที่มีการระลึกได้ รู้ทันอารมณ์ที่มากระทบ คนเรามีสติดีแล้วจะสามารถคิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างดีและรอบคอบ
คุณโฆษกะมีลักษณะดังที่กล่าว ทำให้มีความองอาจแกล้วกล้า วิ่งติดตามคนร้ายทันท่วงทีไม่เกรงกลัว แม้คนร้ายจะมีร่างกายใหญ่กว่ามาก
ขณะที่กำลังมีเหตุการณ์ร้ายๆ
เกิดขึ้น คนที่หมั่นกระทำบุญอยู่เสมอ จะนึกถึงบุญของตนเองทันทีโดยอัตโนมัติ เมื่อจิตใจมีบุญ มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ใจจะมีกำลัง เกิดความเข้มแข็งองอาจ
ไม่หวาดหวั่นในภยันตราย
ใดๆ ตัดสินใจถูกต้องรวดเร็ว และอานุภาพบุญก็คุ้มครองมิให้คนร้ายได้คิดต่อสู้ กระทั่งนึกไม่ออกว่า จะทำตัวอย่างไร ในที่สุดยอมทำตามคำสั่งของเจ้าทรัพย์ทุกอย่าง
ทำให้
เจ้าหน้าที่ตำรวจจับคนร้ายได้โดยง่ายและได้ทรัพย์คืน
สำหรับเรื่องอุบัติเหตุที่พบ ก็เป็นทำนองเดียวกัน ความที่คุณโฆษกะเป็นคนมีบุญทำเอาไว้ มีเรื่องคับขัน พบคนทุศีลสร้างพยานให้การเท็จอยู่ต่อหน้า ก็นึกถึงบุญมาเป็นที่พึ่ง รีบอธิษฐานจิตขอให้บุญช่วยให้เรื่องราวยุติลงด้วยดี
บังเอิญคู่กรณีคงไม่มีหนี้เวรกับคุณโฆษกะมาก และคงไม่ใช่คนเลวโดยสันดาน จึงรู้สึกละอายใจ เรื่องจ้างคนขับมอเตอร์ไซค์เป็นพยานเท็จ ทำให้ต้องมาขอโทษคุณโฆษกะ ยุติเรื่องกันด้วยดี
การละอายต่อการทำบาปทำชั่ว เรียกว่า มีหิริ คนที่มีหิริ จะเป็นคนเกลียดการทำบาป ไม่ชอบทำบาป และมีความละอายในการทำบาป มีความเคารพตนเอง
ทำบาปแล้ว ไม่สบายใจ จึงไม่ชอบทำ
การเกรงกลัวบาป เรียกว่า โอตตัปปะ มีลักษณะคล้ายกัน คือสะดุ้งกลัวบาป ไม่ชอบทำบาป มีความละอายในการทำบาป ต่างกันตรง มีความเคารพผู้อื่น เกรงคนอื่นไม่สบายใจ จึงไม่ยอมทำบาป
ธรรมะข้อ หิริ และโอตตัปปะนี้เอง เป็นธรรมคุ้มครองโลก ใครมีธรรมทั้งสองนี้ประจำใจ ย่อมไม่ยอมทำบาปทำชั่วใดๆ คนเราเมื่อไม่ทำชั่ว ตนเองย่อมไม่เดือดร้อน
คนอื่นก็ไม่ เดือดร้อน สังคมย่อมอยู่เป็นสุข
ด้วยเหตุนี้ในการอบรมบุตรหลานของเรา พ่อแม่ผู้ปกครองควรย้ำเตือนในเรื่องนี้ให้มาก ให้ลูกหลานเด็กในปกครองของเรา หัดมีความละอายใจในการทำความชั่ว ให้เคยชินเป็น นิสัย โดยให้หมั่นระลึกนึกอยู่เสมอว่า การทำความชั่วนั้น ไม่ต้องกลัวคนอื่นรู้เห็น แต่ที่ควรกลัวที่สุดคือ ให้กลัวตนเองรู้เห็น เพราะทุกคนไม่สามารถโกหกหลอกลวงตนเองได้ คนเราเมื่อหัดกลัวตนเองได้ ดังนี้แล้ว ย่อมทำชั่วอะไรๆ ไม่ลง