*คำเตือน* นิยายเรื่องนี้จัดได้ว่าเป็นนิยายเฉพาะกลุ่ม หากท่านรับไม่ได้ หรืออย่างไร ก็ขอให้ออกไปจากหน้านี้โดยด่วน และอย่าได้กล่าวว่าผู้แต่งหรือผู้จัดทำโดยเด็ดขาด อีกทั้งนิยายเรื่องนี้ได้ถูกแต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่ง มิได้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใดและได้รับอนุญาตให้นำมาลงในเว็ปนี้เท่านั้นห้ามมิให้ผู้ใดนำไปใช้ในด้านอื่นๆ ขอบคุณค่ะ

Close to you
By Feel To w-inds.

Chapter I

          ผมเป็นคนหนึ่งครับที่ไม่เชื่อในเรื่องของโชคชะตาและพรหมลิขิตชักพา… มันฟังดูคล้ายๆ กับเป็นเรื่องราวเพ้อฝันที่มีอยู่แต่ในนิยายหรือในโลกแห่งความฝันและจินตนาการเท่านั้น ในโลกแห่งความเป็นจริง โลกที่ชีวิตยังคงต้องเวียนว่ายตายเกิดและดำเนินต่อไป ความเป็นไปได้ในเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ แทบไม่น่าจะปรากฏหรือเกิดมีให้เห็นได้ แต่แล้ว… ทุกๆ อย่างที่ผมเคยคิดไว้ มันก็กลับแปรเปลี่ยนไป ในวันหนึ่งที่ผมต้องย้อนกลับมาคิดว่า… นี่หละมั้งคือ ‘โชคชะตา’ ที่เกิดขึ้นจากใครคนหนึ่ง คนที่สามารถกำหนดกฎเกณฑ์ทุกๆ สิ่งให้ดำเนินไปอย่างที่เค้าต้องการได้
          และใครคนนั้นก็ทำให้ผมได้รับรู้ว่า ‘โชคชะตา’ และ ‘พรหมลิขิต’ นั้นมันสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ คนสองคนที่ไม่น่าจะมาพาลพบกันได้ ต่างคนต่างมีภาระหน้าที่และฐานะความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน จู่ๆ ก็เกิดโชคชะตาเล่นตลกให้มาพบและรักกันได้ เรื่องแบบนี้ใครล่ะจะคิดว่าในชีวิตจริงมันจะเกิดมีให้เห็นได้ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่สิ่งเพ้อฝันอีกต่อไป… แล้วตัวคุณล่ะ? คุณคิดว่ามันเป็นสิ่งเหลือเชื่อเกินกว่าที่เห็นที่ได้ยินหรือมันคือเรื่องเล่าของความเป็นจริง…

Ogata Ryuichi

          “กรี๊ด… อยู่นั่น… ไปทางนั้นแล้ว ชั้นเห็นเค้า!” “ไปเร็วๆ เค้ารู้ตัวแล้ว เร็วเข้า!” เสียงหวีดร้องโหวกเหวกโวยวายของเหล่าหญิงสาวจำนวนนับสิบ ที่วิ่งวุ่นวนเวียนระส่ำระสายในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งใจกลางกรุงโตเกียวทำเอาผู้คนที่หลบลี้มาแอบพักผ่อนหย่อนใจกันที่นี่พากันสบถกร่นด่าในความอลหม่านของเหล่าเด็กสาวไม่ ขาดปาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…
          “อะไรกันวะเนี่ย?!.. วันนี้เค้ามีวิ่งมาราธอนกันในสวนหรือยังไง… วิ่งให้พล่านไปหมด นี่โตเกียวจะหามุมสงบกับเค้าสักมุมไม่มีเลยหรือไงวะเนี่ย” เด็กหนุ่มรูปร่างท้วมหุ่นสันทัดถือถุงข้าวของพะลุงพะลัง เนื่องจากเพิ่งกลับมาจากการจับจ่ายซื้อของในร้านสะดวกซื้อละแวกใกล้บ้าน… ของก็หนัก เหนื่อยก็เหนื่อย แถมยังต้องมาเจอกลุ่มมาราธอนวิ่งสวนกันไปสวนกันมาสร้างความปั่นป่วนให้คนที่มาพักผ่อนกันอีก… ฮึ่ม นี่ถ้าไม่ติดว่าของเยอะนะ พ่อจะวิ่งตามด่าซะให้ !
           “นี่ ! นายน่ะ เห็นผู้ชายตัวเล็กประมาณนี้ ผมสีน้ำตาลๆ ยาวเท่านี้ แล้วก็ใส่เสื้อแขนยาวสีส้มๆ วิ่งผ่านมาบ้างมั้ย?” หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเค้าประมาณ 2-3 คน วิ่งหน้าตาตื่น กระหืดกระหอบมาหยุดถามพร้อมทำท่าทางประกอบหวังได้คำตอบที่น่าพอใจกลับ แต่หารู้ไม่ว่าขณะนี้คนถูกถามกำลังอยู่ในอารมณ์เช่นไร…
           “เนี่ยๆ ดูรูปนี่ก็ได้ถ้านึกไม่ออก” เพื่อนสาวที่อยู่ทางด้านหลังคว้ากระเป๋าสตางค์สีหวานลายแหววของตนออกมาโชว์รูปนักร้องขวัญใจที่พวกเจ้าหล่อนกำลังวิ่งวุ่นตามหาตัวกันอยู่อย่างปราบปลื้ม “นี่รู้จักใช่มั้ย เคตะน่ะ เคตะ ทาจิบานะ คนที่ร้องเพลง Close to you ที่กำลังฮิตๆ ตอนนี้น่ะ เห็นบ้างรึเปล่า?” เมื่อคนหนึ่งควักรูปออกมาโชว์อีก 2 คนที่เหลือก็เริ่มใส่สรรพคุณให้ในทันที
           “โอ๊ย… ไม่รู้ ไม่รู้จัก เพลงอะไร ใครไหนไม่เคยใส่ใจ ไม่สนใจโว้ย เบื่อ บ้านอยู่หลังเขาไฟยังเข้าไม่ถึง ไปถามคนอื่นเลยไป หน้าตาอย่างกะตุ๊ด นี่พวกเธอชอบ ตุ๊ดกันหรือไงเนี่ย ไปโน่นเลยไป ไปเดิน แถวชิบุย่าโน่น ตุ๊ดหน้าตาแบบนี้เพียบเลย เดี๋ยวก็เจอ อู๊… ไร้สาระชมัด!” หลังจากฟังคำสาวๆ อยู่เป็นนานสองนานว่ามาวิ่งมาราธอนกันด้วยสาเหตุใด นั่นยิ่งทำเอาอารมณ์ที่เสียอยู่แล้วยิ่งเสียหนักเข้าไปอีกหันไปด่ากลับ พร้อมเดินจ้ำอ้าวหนีไปซะเฉยๆ ทิ้งให้บรรดาสาวเจ้ากระฟัดกระเฟียดกรี๊ดกร๊าดกันจนเหนื่อยหอบก่อนจะออกวิ่งตามหาขวัญใจของตนเองต่อไป
           “บ้า! ทำเอาคนทั้งสวนวุ่นวายกันไปหมด หาที่สงบสุขกันไม่ได้เพราะวิ่งไล่ล่านักร้องเนี่ยนะ!? คนก็คนเหมือนๆ กันวิ่งตามหากันอยู่ได้ เนื้อตัวมันไม่ได้เป็นทองสักหน่อย น่าเบื่อชะมัดไอ้พวกบ้าดาราเนี่ย มันจะตามกันไปให้ได้อะไรขึ้นมาว้า… พวกที่ห้องก็เหมือนกัน แค่คนนั้นมีข่าวกับคนนี้ คนนี้จะแต่งงานกะคนนั้น ร้องห่มร้องไห้ จะเป็นจะตายกันอย่างกับว่าเค้าเป็นแฟนตัวเองแล้วหนีไปแต่งกับคนอื่นงั้นแหละ คิดรึไงว่าถ้าเค้าไม่แต่งกับคนอื่นจะมาหลงรักตัวเองได้น่ะ ประสาท! เพ้อเจ้อเป็นบ้า!” เบื่อนักแม่พวกช่างฝันช่างจินตนาการที่คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกนิยาย สักวันนักร้องคนที่ตัวเองเฝ้าหอนหาจะมาจ๊ะเอ๋ แล้วหลงรักได้น่ะ ไม่รู้จะหลงงมงายอยู่ในความฝันแบบนี้กันไปจนถึงเมื่อไหร่กัน บ้า น่าเบื่อที่สุด นี่ถ้าชีวิตไม่มีพวกเจ้าหล่อนขี้โวยวายพวกนี้อยู่… โลกนี้คงจะดูสงบสุขกว่านี้แน่ๆ เฮ่อ… หรือว่าต้องโทษไอ้พวกดารานักร้องกันแน่นะเนี่ย ที่ชอบทำตัวให้ชาวบ้านเค้าคิดกันได้ขนาดนี้น่ะ!!
           “โครม!” “โอ๊ย!” “ตุ่บ!” “โอ๊ย อะไรกันวะเนี่ย! เดินยังไง ไม่เห็นคนรึไง ตัวชั้นก็ไม่ใช่เล็กๆ นะ ดูสิ ข้าวของชั้นหล่นกระจายหมด จะพังมั้ยเนี่ย” ขณะเดินบ่นกระปอดกระแปดอยู่เพียงลำพังในเรื่องที่ตนเกลียดแสนเกลียด และเบื่อแสนเบื่อ ก็กลับถูกชนเข้าอย่างจังจนทำให้ข้าวของที่เพิ่งจ่ายเงินซื้อไปหมาดๆ ล้มร่วงกระจัดกระจายเกลื่อนพื้น นี่มันวันอะไรวะเนี่ย ต้องมีเรื่องมาให้หงุดหงิดตลอดสิน่า!
           “ขอโทษครับ พอดีกำลังรีบเลยไม่ทันได้ระวัง” เสียงหวานเล็กเอ่ยตอบกลับอย่างสุภาพพร้อมรีบก้มลงเก็บของที่เกลื่อนกระจายตามพื้เข้าใส่ถุงตามเดิมอย่างเร่งรีบ “เวร… เวรจริงๆ นี่รีบก็หัดมองดูคนดูทางซะบ้างสิ! นี่เกิดชั้นซื้อพวกไข่หรือว่าปลามาเนี่ย มันมิออกมาว่ายน้ำวิ่งเล่น กันข้างนอกเพลินไปแล้วเหรอ? ข้าวของบรรลัยหมดพอดี เอ๊ะ! นาย…” ด่าไปพลางเก็บของไปพลางจนลืมที่จะสังเกตุคู่กรณีตัวเล็กของตนเสียสนิท แต่พอมาลองสังเกตุดูดีๆ เสื้อส้ม ผมสีน้ำตาลยาวขนาดนี้… หน้าหวานๆ แบบนี้ ถึงมันจะดูขมุกขมัวมอมแมมไปบ้างแต่ว่าไม่ผิดแน่ …ใช่ชัวร์! หมอนี่ชัวร์ๆ “นาย…คนที่แม่พวกนั้นตามหาตัวอยู่นี่นา” สิ้นคำกล่าวทักของคนที่เพิ่งจะพบหน้ากันก็ทำเอาเจ้าหนุ่มร่างบางสะดุ้งเฮือกหน้าซีดลงถนัดตา นั่นจึงทำให้รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นที่มุมปากของเจ้าหนุ่มร่างท้วมในทันที… อารมณ์ก็ไม่ดี ทำข้าวของเรากระจัดกระจายแถมเป็นพวกดารานักร้องที่เกลียดแสนเกลียดอีก หึๆๆ ในที่สุดก็มีทางระบายอารมณ์ซักที!
           “ชั้น…” “ไปไหนกันแน่นะ เมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลย…” เสียงตะโกนคุยกันของเหล่าบรรดาสาวๆ แว่วมาแต่ไกลจากทางฝั่งซ้าย “ตัวก็แค่นั้นน่ะ ทำไมถึงเร็วอย่างนี้นะ” เสียงฝีเท้าและสบถบ่นดังมาจากอีกฟากนึงเช่นกัน นั่นยิ่งทำให้ร่างท้วมรู้สึกแอบสะใจอยู่เงียบๆ ไม่ไหว ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ แต่…
           “นายเป็นคนแถวนี้ใช่มั้ย… ช่วยชั้นหน่อยนะ ชั้นขอร้อง… พาชั้นออกไปจากที่นี่ที ขอร้องหละ” จู่ๆ ร่างเล็กที่นั่งกับพื้นก็คว้าจับชายเสื้อเค้าเอาไว้พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือคล้ายกับจะร้องไห้ ใบหน้าหวานซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด นัยน์ตากลมวาวสุกใสกลับไหวรื้นไปด้วยหยาดน้ำใสๆ คลอในเบ้า ให้ดิ้นตายสิ มาทำหน้าแบบนี้ให้เห็นได้ยังไงกัน เล่นมาแบบนี้ชั้นก็แย่น่ะสิ จะทำไงดีล่ะชั้น…
           “ไม่ชอบหรือไง มีคนตามรุมกันหึ่งขนาดนี้น่ะ จะหนีไปทางไหนได้ มากันเป็นสิบขนาดนั้น…” คำพูดแดกดันที่พูดออกไปจริงๆ แล้วก็ไม่ได้อยากจะซ้ำเติมนักหรอก แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะลองหยั่งเชิงดูปฏิกิริยาของคนตรงหน้านี่ว่าจะมีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง ที่สำคัญ…อยากให้รู้ไว้ซะบ้างว่าการทำอาชีพแบบนี้ไม่ได้มีแต่คนชื่นชอบชื่นชมเพียงอย่างเดียว ยังมีคนอีกหลายพวกอีกหลายคนที่ไม่ชอบอยู่เหมือนกัน เช่นคนทางนี้เป็นต้น…
           แต่ดูเหมือนหลังจากที่พูดออกไปเพื่อหวังดูท่าทีคนตรงหน้าก็กลับไม่มีอะไรปรากฏให้เห็น กลับไม่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายตอบกลับมา ดวงหน้าใสที่เมื่อครู่ซีดอยู่แล้วกลับดูหม่นหมองลงไปยิ่งกว่าเดิม สีหน้าที่ดูเหมือนอยากจะร้องก็ร้องไม่ออก อยากจะพูดก็พูดไม่ได้ สายตาวิงวอนร้องขอความช่วยเหลือถูกฉายออกมาในแววตาคู่นั้น นั่นยิ่งทำเอาคนที่ใจแข็งๆ อย่างเค้าถึงกับอึ้ง อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจแรงๆ ออกมาก่อนจะยื่นถุงสัมภาระทั้งหลายแหล่ที่ตนถือให้อีกฝ่ายที่นั่งทำหน้ามึนเต็มที่
           “หนัก! ไม่มีใครช่วยถือ ถ้านายช่วยชั้น ชั้นจะช่วยนายก็ได้” ร่างบางไม่รอช้าพยักหน้าหงึกหงักพลางรีบคว้าถุงในมือมาถือไว้ทันทีอย่างไม่ต้องคิด เวลาแบบนี้ขืนมัวคิดอะไรอยู่อีกหละก็คงไม่มีทางหนีรอดไปได้แน่ มีอะไรที่พอจะเกาะเกี่ยวไว้ได้ก็ต้องรีบคว้าเอาไว้ก่อน มันยังดีซะกว่าที่จะถูกรุมทึ้งตายกลางลานนี่แน่ๆ
           “ฟุ่บ!” หมวกปีกใบใหญ่ถูกสวมลงมาบนศีรษะจนพอที่จะปิดบังใบหน้าใสลงไปได้บ้าง “เอาเสื้อส้มๆ ของนายออกด้วย ถอดออกซะถ้ายังอยากมีชีวิตรอด ขืนนายเดินดุ่มๆ ไปทั้งแบบนี้ต่อให้เทวดาก็พานายไปไหนไม่รอดหรอก ทนหนาวหน่อยแล้วกัน แล้วถือของให้มันดีๆ นะ ถ้าร่วงลงมาอีก คราวนี้นายไม่ตายด้วยมือแม่พวกนั้นก็ตายด้วยมือชั้นเนี่ยแหละ ม..”
           “นี่ชั้นว่าชั้นเห็นอยู่ทางนี้นะ!” ยังพูดไม่ทันจบเสียงเด็กสาวคนหนึ่งก็ดังแว่วมา ทำให้เจ้าหนุ่มจ้าวถิ่นคว้าแขนร่างบางกระชากเข้าไปหลบหลังพุ่มไม้เตี้ยๆ ข้างทาง แม้นี่จะเป็นครั้งแรกในการหลบหลีกแฟนเพลงจนต้องมานอนหมอบราบลงกับพื้นหญ้าที่เปียกชื้นแบบนี้ แต่มันก็ทำให้เค้าเองได้สัมผัสกับความอบอุ่นจากผิวกายและไออุ่นของอีกฝ่ายที่แม้ปากจะบ่นจะด่าเค้ายังไง แต่ก็ยังยอมช่วยเหลือจนตัวเองต้องลงมานอนสกปรกเลอะเทอะไปกับเค้าด้วยแบบนี้ อากาศที่หนาวเย็นยิ่งถอดเสื้อตัวนอกออกก็ยิ่งทำให้ผิวกายเย็นชืดลงไปด้วย แต่ไม่ทันได้บ่นได้แสดงท่าทีให้เห็น ลำแขนแกร่งก็เข้าโอบรัดรอบตัวไว้เพื่อคลายความหนาวเหน็บจากอากาศภายในสวนแห่งนี้ แล้วเจ้าตัวจะรู้หรือเปล่าน๊าว่าความอบอุ่นที่มอบให้มันได้ทำให้หัวใจของเจ้าหนุ่มน้อยพองโตและอุ่นขึ้นเพียงไร!?!
           ร่างบางในอ้อมกอดตัวสั่นน้อยๆ ด้วยความหนาวเย็นจากอากาศภายนอก แม้รูปร่างภายนอกจะดูเล็กบอบบางเพียงใดก็ยังไม่เท่ากับที่ได้สัมผัสในตอนนี้เลย เอวคอดกิ่วที่เล็กบางอย่างกับเด็กผู้สาวแรกรุ่น ผิวเนื้อนิ่มที่สัมผัสต้องไร้ในอ้อมแขน นี่หมอนี่มันผู้ชายแน่เหรอวะ ความรู้สึกอย่างกับกอดเด็กผู้หญิงอยู่อย่างนั้นแหละ เฮ่อ… ผู้ชายท่าทางอ้อนแอ้นปวกเปียกแบบนี้เนี่ยนะที่ มันกำลังเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ โอยประเทศชาติ ตุ๊ดมันจะครองเมืองแล้วหรือไงกันเล่าเนี่ย นี่ผู้ชายขนานแท้อย่างเราๆ คงต้องมีอันต้องสูญพันธุ์เพราะผู้หญิงทั้งหลายหันไปชอบตุ๊ดหรือยังไงกันน๊า แต่ว่า…
           “นาย… นาย.. พวกนั้นไปแล้ว” เสียงนุ่มกระซิบเบาๆ ทำให้เจ้าหนุ่มจ้าวถิ่นผละปล่อยอ้อมแขนหนานุ่มของตนอย่างรวดเร็ว “..มา..เร็วเข้า มาทางนี้” หนุ่มไกด์ผีจำเป็นรีบลุกขึ้นเดินนำ สวนทางลัดสนามหญ้าลึกเข้าไป พาลูกทัวร์จำเป็นหนีห่างจากทางเดินปรกติไกลห่างจากผู้คนในสวนยังที่ลับเส้นทางที่เค้าเองมักใช้เป็นทางหลีกหนีความวุ่นวายยามที่ผู้คนขวักไขว่เข้ามาพักผ่อนในสวนแห่งนี้…
           แสงแดดอ่อนๆ ยามเย็นเริ่มลับหายไปทีละน้อย ไฟอัตโนมัติของสวนสาธารณะเริ่มทำงานส่องแสงตามเสาอีกครั้งและตามโคมไฟเลี่ยพื้นที่ผู้ออกแบบจัดสร้างเอาไว้ ถึงแม้จะเป็นเส้นทางที่ไม่ค่อยราบเรียบเท่าที่ควรบุกป่าหญ้าบ้างบางครั้งแต่นั่นก็ทำให้ทั้งสองหลุดพ้นออกมาจากสวนได้อย่างปลอดภัยไม่มีใครเห็นได้
“แถวนี้มันมีผู้หญิงเยอะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันฟะเนี่ย ทุกทีหาไม่เคยเห็น… นี่นัดรวมพลกันเลยหรือไงวะเนี่ย… เอ้า รอดตายแล้วนะนาย ผู้หญิงสมัยนี้ไว้ใจได้เมื่อไรกัน คิดอะไรอยู่ ทำอะไรอยู่บ้างก็ไม่รู้ สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ระวังตัวกละก็เสร็จพวกเจ้าหล่อนแน่ๆ” หนุ่มเจ้าถิ่นหรือไกด์ผีจำเป็นกล่าวพร้อมใบหน้าที่ยุ่งเหยิง
           “ขอบใจ…” “ไม่ต้องหรอก ชั้นแค่หาคนช่วยถือของเท่านั้นเอง เอ้า! ส่งของๆ ชั้นมา วันนี้เสียเวลามากับเรื่องไร้สาระนี่มาทากพอแล้ว นี่ก็มืดแล้วด้วยกลับไปได้แล้วนายน่ะ ไม่มีใครตามนายเจอแล้วหละนะ” “ชั้น… ไม่มีที่ให้กลับหรอก” จู่ๆ ร่างบางสวยตรงหน้าที่มองดูขมุกขมัวมอมแมมไปด้วยฝุ่นผงมากมายก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสิ้นหวังอย่างที่สุดพร้อมจ้องมองดูอีกฝ่ายราวกับว่าคนตรงหน้าจะช่วยอะไรเค้าได้อีกครั้ง แต่นั่นกลับไม่เป็นไปในแบบที่คิด เจ้าหนุ่มร่างท้วมรีบคว้าถุงในมืออีกฝ่ายกลับมาแบบทันทีทันควันด้วยรู้ทันถึงสิ่งที่เจ้าตัวเล็กตรงหน้าต้องการ
           “นั่นมันเรื่องของนาย ไม่เกี่ยวกับชั้น ชั้นไม่ใช่บ้านสถานสงเคราะห์จะได้ต้องคอยช่วยเหลือผู้ประสบภัยเสมอ ชั้นว่าแถวนี้อาจจะมีคนที่ช่วยนายได้อยู่ก็ได้ ไปหละ…” ตั้งใจว่าจะเดินออกไปแต่โดยดีก็กลับถูกมือเล็กผอมแห้งยื้อยุดฉุดหูหิ้วถุงเอาไว้ข้างหนึ่งอย่างไม่คิดที่จะปล่อยไปง่ายๆ แววตาออดอ้อนเมื่อครู่กลับสุกใสซุกซนเช่นเด็กดื้อทั่วๆ ไปในทันทีทันใด สายตามุ่งมั่นเอาชนะและรอยยิ้มซุกซนกลับฉายออกมาให้เห็น
           “บ้านนายอยู่ใกล้ๆ นี่ใช่ป่ะ? ชั้นไปด้วยคนสิไม่รบกวนอะไรมากหรอกนะ” น้ำเสียงใสกังวานที่เอ่ยขึ้นมาผิดกับเมื่อครู่ราวฟ้ากับดิน นั่นทำให้ตัวเค้าถึงกับอึ้งไปในความโง่เขลาของตัวเองไปทันที “หนอย… นี่แกล้งทำนี่หว่า ไอ้เรารึก็หลงเห็นใจที่ไปไหนไม่รอด ที่แท้ก็…” เด็กหนุ่มชี้หน้า
           “ใครแกล้งทำ เปล่าสักหน่อย ชั้นก็แค่ต้องการคนที่อยากจะช่วยชั้นอย่างเต็มอกเต็มใจก็เท่านั้น ไม่ได้หลอกลวงใครที่ไหนสักหน่อย จะไปกันได้รึยังเนี่ย อยู่ตรงนี้นานๆ มันหนาวนะ” เจ้านักร้องตัวจ้อยทำหน้าเป็นยิ้มร่าขึ้นมาทันควัน “ไปไหน! … ชั้นไม่ให้นายไปหรอกนะ ลาก่อน ลาที ลาขาด ปล่อยมือสิปัทโธ่ ปล่อย” และแล้วการยื้อยุดฉุดกระชากก็เกิดขึ้น ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีใครยอมใคร คนนึงตื้อขอตามไปด้วย อีกคนก็กลับดื้อยังไงก็ไม่ยอมให้ถูกหลอกอีกเป็นครั้งที่สอง
           “ไปด้วยสิ ชั้นไม่มีที่ไปจริงๆ นะ” “ไม่!” “อะไรกัน! คิดสักหน่อยไม่ได้หรือไงเนี่ย อย่าตัดรอนกันง่ายๆ แบบนี้สิ ชั้นไม่รบกวนนายมากหรอกเชื่อชั้นสินะ… ไม่สงสารชั้นเหรอ ข้างนอกนี่หนาวจาตาย มืดก็มืด เปลี่ยวก็เปลี่ยว นายจะใจจืดใจดำทิ้งชั้นไว้คนเดียวได้เหรอ” เจ้าตัวเล็กชักแม่น้ำทั้ง 8 สายมารวมกันพูดจาวกไปวนมาไม่มีเว้นว่างให้อีกฝ่ายได้แทรกกลับเลยสักนิด และแล้ว…รอยยิ้มหวานก็ถูกหยิบยื่นให้เพื่อขอความเห็นใจอีกครั้งกับการตัดสินใจครั้งใหม่ ร่างท้วมนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มตอบให้บางๆ …แล้วหุบกลับคืนใบหน้าสู่โหมดปกติเช่นเดิม ทั้งยังอาศัยช่วงทีเผลอดึงถึงในมืออีกฝ่ายกลับแบบไม่ทันให้ตั้งตัว
           “ไม่! …นายก็ไปตามทางของนาย ชั้นก็ไปตามทางของชั้น ทางใครทางมัน! บ้าย บาย so long..” เด็กหนุ่มพูดพร้อมหันหลังเดินมุ่งตรงสู่ทางกลับบ้านของตน แต่นั่นก็เป็นได้เพียงแค่ความคิดเท่านั้น …เสียงผิวปากเบาๆ ของอีกฝ่ายและคำพูดที่เปรยออกมาลอยๆ ทำให้ต้องชะงักหันกลับไปมองอีกครั้ง
           “เอ้…หมวกใครนะเนี่ยมาอยู่ที่เราได้ ของนายรึเปล่า? หรือว่า..ยืมใครมา ท่าทางจะสำคัญแฮะปักตัวย่อชื่อไว้ด้วยสิ R ชื่อย่อนายเหรอ?” จากสีหน้าที่เคยแสดงความอ้อนวอนขอความช่วยเหลือและควมเห็นใจบัดนี้มันได้จางหายไปจนหมดสิ้น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แสนกลกลับย้อนเข้ามาอีกครั้ง เค้าหยิบหมวกพลิกไปมาพร้อมหมุนควงเล่นอย่างน่ากวนโมโห
          “เอาคืนมา!” “ไม่ให้! ต้องพาชั้นไปด้วย” “ไม่ได้…เอาของชั้นคืนมาเดี๋ยวนี้!” ยามนี้เรียกได้ว่าถึงขีดสุดแล้วจริงๆ กับเจ้าหมอนี่ ทำไมมันถึงได้ดื้อด้านน่ารำคาญได้ขนาดนี้กันนะ ครั้นพอเดินไปคว้าจับหมวก เจ้าตัวแสบก็กลับเดินหนี เดินไปคว้าอีกก็หนีอีก วิ่งวนไปมาอยู่แบบนี้จนชักเหนื่อยเอาเหมือนกัน นี่วันนี้มันวันอะไรของชั้นกันนะ! ทำไมจะต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย!!
           “โอ้ย พอซะทีเลิกวิ่งไปมาได้แล้ว ก็ได้ๆอยากจะไปไหนก็ไปเลย เหนื่อยแล้วโว้ย… แต่ขอบอกไว้ก่อนนะชั้นให้นายอยู่แค่คืนเดียวเท่านั้น พรุ่งนี้นายต้องออกจากบ้านชั้นไปนะเข้าใจมั้ย โธ่โว้ย… ซวย… ซวยจริงๆ นี่มันวันวิปโยคหรือไงกันเนี่ยชั้น เนื้อไม่ได้กินหนังไม่ได้รองนั่งยังเสือกเอาใครที่ไหนก็ไม่รู้มายุ่งเกี่ยวกับชีวิตอีก เฮ่อ!..”
           เจ้าหนุ่มเจ้ากรรมเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดบ่นอุบอิบไปขณะที่มีอีกฝ่ายยิ้มระรื่นเบิกบานเดินผิวปากตามมาไม่ห่าง “ว่าแต่นายชื่อไรเหรอ? ชั้นยังไม่รู้จักนายเลย…” ร่างบางซอยผีเท้าถี่ๆ เพื่อเดินขนาบข้างและส่งยิ้มหวานให้ตามนิสัย “ริวอิจิ….. โองาตะ… ริวอิจิ” “ริวจิจัง..”
           “อย่ามาเรียกชั้นแบบนี้นะ! ฟังแล้วขนลุก เรียกชื่อเรียกได้แต่อย่ามาเรียกแบบนี้ให้ได้ยินเด็ดขาดเข้าใจมั้ย..” เด็กหนุ่มเบ้ปากพร้อมทำท่าทางประกอบ เกิดมาไม่เคยได้ยินใครเรียกตัวเองแบบนี้ ฟังแล้วให้ความรู้สึกพิกลจริงๆ นั่นแหละ “อา…เข้าใจแล้วล่ะ ริวจิจัง” เจ้าแสบเพื่อนใหม่อมยิ้มน้อยๆ ก่อนพูด บอกให้ทราบว่า… กำลังถูกล้อเลียนอยู่นั่นเอง… ไอ้หมอนี่มันใช่คนๆ เดียวกับไอ้ที่ทำหน้าเหมอืนกับจะตายซะให้ได้นั่นแน่หรือเปล่าวะเนี่ย?!? ปีศาจชัดๆ
           “ชั้นชื่อเคตะ … ทาจิบานะ เคตะ ยินดีที่รู้จักอีกครั้งแล้วกันนะ เรียกชั้นเคตะก็ได้ หรือถ้านายไม่รังเกียจจะเรียก เคจัง ก็ได้นะ ชั้นชินแล้ว… มาชั้นช่วยถือ” การกล่าวแนะนำตัวอย่างเป็นทางการเสร็จสิ้นลง หนุ่มน้อยก็คว้าถุงของมาจากมืออีกฝ่ายเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระให้
           “หึๆ งั้นชั้นขอเรียกนายว่า เคตะ แล้วกัน ขอบใจ…” ริวอิจิส่งถุงในมือให้ถือแต่โดยดี พร้อมหัวเราะเบาๆ อย่างไร้อารมณ์

Blow to be continue...

Close to you Image

contact to me
name:
email:
Subject:
Message

 

Close to you 1 / 2 / 3 / 4 / 5 / 6 /

©2002 by Feel To w-inds.All right reseved.