*คำเตือน* นิยายเรื่องนี้จัดได้ว่าเป็นนิยายเฉพาะกลุ่ม หากท่านรับไม่ได้ หรืออย่างไร ก็ขอให้ออกไปจากหน้านี้โดยด่วน และอย่าได้กล่าวว่าผู้แต่งหรือผู้จัดทำโดยเด็ดขาด อีกทั้งนิยายเรื่องนี้ได้ถูกแต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่ง มิได้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใดและได้รับอนุญาตให้นำมาลงในเว็ปนี้เท่านั้นห้ามมิให้ผู้ใดนำไปใช้ในด้านอื่นๆ ขอบคุณค่ะ

Close to you
By Feel To w-inds.

Chapter II

          เมื่อเดินพ้นสวนสาธารณะมาได้หน่อยก็จะผ่านถนนเส้นเล็กๆ มาอีก 2 เส้น ย่านนี้ผู้คนดูไม่ค่อยพลุกพล่านนัก เพราะส่วนใหญ่จะเป็นบ้านเช่าหรืออพาร์ตเม้นต์สำหรับคนทำงานกลางคืนทั้งนั้น เวลาพลบค่ำเช่นนี้จึงไม่ค่อยได้เห็นเงาผู้คนตามบ้านเรือนเหมือนเช่นถนนเส้นอื่นๆ ทั่วไป มันกลับดูเงียบเชียบคล้ายไม่มีคนพักอาศัย…..
           อพาร์ตเม้นของริวอิจิเองก็ใช่ว่าจะหรูหรากว่าบ้านเรือนคนอื่นๆ ทั่วไป เป็นเพียงห้องเช่าขนาดพอดีสำหรับคนๆ เดียวพัก มีห้องนั่งเล่นขนาดเล็กที่วางทั้งโต๊ะ ตู้ ชั้นหนังสือและทีวี ในห้องเดียวกัน มีโต๊ะอุ่นขากลางบ้านที่ยามหนาวก็ซุกกายลงไปอยู่เล่นๆ เพื่อคลายความหนาวให้กับร่างกายยามนอนดูทีวีในห้องนี้ ห้องนอนเล็กๆ ที่ถูกแบ่งออกไปมีเพียงฟูกปูนอน โต๊ะเขียนหนังสือ และเครื่องเล่นซีดีไว้ฟังยามเหงา มีกีต้าร์หลังเต่าตัวเก่าคร่ำคร่าที่วางตั้งไว้ใกล้ๆ กับเครื่องเล่นซีดี และส่วนของห้องครัวที่ถูกเจาะทะลุออกไปอีกด้านหนึ่งเพียงเพื่อไว้สำหรับทำอาหารและเก็บถ้วยชามรามไหต่างๆ เท่านั้น เนี่ยแหละห้องของหนุ่มโสดอย่างแท้จริง!
           “อื่ม… ห้องนายก็ใช้ได้นี่นะ ไม่น่าเชื่อว่าอยู่คนเดียวจะจัดของเรียบร้อยได้ขนาดนี้…” เคตะออกเดินสำรวจบริเวณโดยรอบของห้องพร้อมยื่นหน้าออกไปมองตรงระเบียงที่อยู่ติดกับด้านหนึ่งของถนน “ทำไม? …ห้องชั้นเรียบร้อยดูดีนี่มันแปลกตรงไหน แปลกมากนักรึไง? เอ้า… นี่เสื้อ นี่ผ้าขนหนู ห้องน้ำอยู่นั่นไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าซะไป …สภาพนายตอนนี้มัน… โสโครกเป็นบ้า” เด็กหนุ่มเจ้าของห้องจัดแจงหยิบชุดผลัดเปลี่ยนพร้อมเครื่องเคราจำเป็นทั้งหลายส่งให้ ด้วยทนเห็นสภาพมอมแมมที่ผ่านการหนีมาอย่างโชกโชนและทุลักทุเลไม่ได้
           “เสื้อผ้านายเหรอ?” “เออ สิ ถ้าไม่ใช่ของชั้นจะเป็นของใครกันล่ะ ถามแปลก!” “…ช่างเหอะ ชั้นคงคิดมากไปเองน่ะแหละ” หนุ่มน้อยกล่าวพลางยิ้มเจื่อนๆ รับเสื้อผ้าต่างๆ ไว้พร้อมเดินหายเข้าห้องน้ำไป ตัวริวอิจิเองก็ไม่ได้สนใจ ลงนั่งประจำที่หน้าทีวีหลังจากเก็บข้าวของต่างๆ ที่ซื้อมาเรียบร้อยแล้ว
           กาต้มน้ำถูกเสียบไว้เพื่อหุงต้มอาหารยอดฮิตมิ้หลักและรวดเร้วทันใจของหนุ่มโสดและผู้อาศัยอยู่เพียงลำพังเช่นนี้.. เพียงไม่นานเสียงหวีดแหลมจากกาต้มน้ำก็บ่งบอกให้ทราบว่ามื้อค่ำกำลังจะเกิดขึ้นในเวลาไม่ช้านี้ เด็กหนุ่มแก้มกลมใสไม่รอช้ารีบรุดลุกจากที่นั่งตรงดิ่งไปยังส่วนของครัวในทันที
           “ชั้นได้ยินเสียงนายต้มน้ำ… จะทำอะไรเลี้ยงแขกงั้นเหรอ? น่าตื่นเต้นจัง” เสียงเล็กเอ่ยตะโกนถามพร้อมเดินเช็ดผมเข้ามาในครัวเพื่อหาของรองท้องเช่นกัน “อ๊ะ!” ริวอิจิที่กำลังจะหันไปตอบต้องชะงักค้างไปครู่หนึ่ง ร่างเพรียวบางตรงหน้าที่เคยเห็นเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมาในสภาพขมุกขมอมเต็มทีกลับดูสะอาดใสผิดตาจากตอนก่อนขึ้นเป็นกอง ผมสีน้ำตาลอ่อนบางที่มีหยดน้ำเกาะตามเรือนผมนุ่ม แม้ยุ่งเหยิงจากแรงที่ถูกผ้าขนหนูเช็ดไปมาแต่ก็ไม่ทำให้ขัดตาเลยแม้แต่น้อย ดวงหน้าขาวใสเรียวได้รูปกับริมฝีปากสีแดงเรื่อที่เผยอพูดบ่นอะไรบางอย่าง มันช่างเหมาะเจาะลงตัวเสียนี่กระไร แบบนี้จะไม่ให้แม่พวกนั้นวิ่งตามล่าได้ยังไงกัน!! ขนาดเราเองที่เป็นผู้ชายมองอย่างนี้แล้วยังอดหวิวๆ ไม่ได้เลย…
           “ริวอิจิ?… ริวอิจิจัง… เป็นไรน่ะ ถามก็ไม่ตอบ อัลไซเมอร์กินหรือไง?” แต่แม้จะดูดีสวยสง่าเพียงใด ความปากร้ายของเจ้าหมอนี่ก็ทำเอาหลุดจากภวังค์ได้โดยง่ายเช่นกัน!!! “จะบ้าเหรอใครกันเป็นอัลไซเมอร์ ขืนชั้นเป็นจริงๆ นายไม่ได้มาเดินอยู่บนห้องนี่หรอกเจ้าบ้า แล้วเรื่องอะไรชั้นจะต้องมาหาอะไรให้นายด้วย?อยากกินก็โน่น.. ในตู้นั่นชั้นบนสุด หยิบมาเลยถ้วยนึง น้ำต้มเรียบร้อยแล้วจัดการเอง…” ริวอิจิตอบพร้อมฉีกซองเครื่องปรุงซองสุดท้ายออกเทลงถ้วยและปิดฝาไว้ดังเดิมเพื่อความร้อนจะได้ระอุได้ทั่วถึง… หารู้ไม่ว่ามีสายตาดวงน้อยมองยิ้มๆ อยู่ด้านข้างเหมือนรู้ความในของการเงียบอึ้งไปของตัวเค้านั้น
           “มาม่าเนี่ยนะ! …เวลาแบบนี้ให้ชั้นบริโภคของแบบนี้น่ะเหรอ..แล้วจะอิ่มมั้ยเนี่ย…” หลังจากสอดส่องสายตาไปมาอยู่นาน สิ่งที่เห็นอยู่ลิบๆ บนตู้ชั้นบนสุดคือถ้วยมาม่าชนิดใหญ่พิเศษวางเรียงรายเป็นแถวๆ ให้เลือกหลายรสหลายแบบ แม้ตัวตู้จะไม่ได้สูงมากมายนัก แต่ด้วยความสูงของตนที่ออกจะน้อยไปหน่อยจึงทำให้ไม่สามารถเอื้อมมือไปหยิบได้ในครั้งเดียว ริวอิจิมองดูท่าทางกะเย้อกะแหย่งของอีกฝ่ายที่พยายามจะหยิบของกินลงมาจากตู้ให้ได้ก็อดที่จะนึกขำในความพยายามของอีกฝ่ายไม่ได้ ไม่นานถ้วยมาม่าก็ถูกคว้ามาไว้ในมือจนได้
           เคตะมองดูถ้วยมาม่าด้วยคิ้วที่แทบจะชนติดกัน จากนั้นจึงหันไปเทน้ำร้อนและฉีกซองเครื่องปรุงใส่ตามแบบที่เพื่อนคนใหม่ทำเมื่อครู่ “นายกินของพวกนี้ทุกวันเลยเหรอ?” เด็กหนุ่มถามพร้อมใช้มือข้างหนึ่งดึงกางเกงที่ตนสวมใส่อยู่ให้กระชับขึ้น “เปล่า เพียงแต่วันนี้ไม่อยากจะทำอะไรก็เท่านั้นเอง… ?!? เป็นอะไรของนาย ตั้งแต่เข้ามานี่ทำท่าพิกลๆ” หลังจากตอบคำถามของเคตะจบเค้าก็กลับมาเป็นฝ่ายตั้งคำถามบ้าง เมื่อเห็นท่าทีแปลกๆ ของอีกฝ่ายตั้งแต่ออกมาจากห้องน้ำ ว่าจะถามนานแล้วแต่ก็มัวเพลินติดพันจนพึ่งจะมาถามเอาตอนนี้นี่เอง
           “ก็… นี่แหละที่ชั้นว่าจะบอกนายก่อนเข้าห้องน้ำ …ชั้นรู้สึกว่าเสื้อผ้า …โดยเฉพาะกางเกงของนายจะไม่ใช่ไซร์ที่ชั้นจะใส่ได้พอดีเลยน่ะนะ ถึงได้เป็นแบบนี้ยังไงล่ะ” เจ้าตัวน้อยตอบพร้อมดึงกางเกงขึ้นตัวอีกครั้ง… พอมาสังเกตุดูดีๆ แล้วก็จริงอย่างที่พูด …กางเกงตัวหลวมใหญ่โคร่งคร่างกับเสื้อยืดที่ปกติปลายแขนจะอยู่ตรงต้นแขนพอดิบพอดี แต่ถึงตอนนี้มันกลับเลยข้อศอกมาด้วยซ้ำ อื่ม…. ท่าทางขนาดจะไม่พอดีกันจริงๆ แฮะ แต่จะว่าไป… ถึงแม้จะดูตลกไปหน่อย แต่ถ้าเป็นหมอนี่ใส่มันก็ยังคงดูน่ารักอยุ่ดีนั่นแหละ เอ๊ะ! …นี่ชั้นคิดอะไรอยู่กันเนี่ย
           “ฮะๆ เอาเหอะใส่ๆ ไปก่อนแล้วกันกางเกงมันคงไม่ถึงขนาดหลุดลงมากองกับพื้นหรอกมั้ง ชั้นว่า…แค่คืนเดียวเองใส่ไปเหอะ พรุ่งนี้ก็กลับแล้วนี่” ร่างท้วมหัวเราะเบาๆ “ใครบอก? ชั้นยังไม่ไปไหนหรอกนะ คงอยู่ที่นี่สักพักนั่นแหละ ดีใจใช่มั้ยล่ะ ที่จะมีชั้นอยู่เป็นเพื่อนเนี่ย คิกๆ” เจ้าหนุ่มหน้าหวานหัวเราะคิกคักพร้อมหันมายิ้มกว้างให้
           “อ้อ… งั้นหรอกเหรอ… หือ? อะไรนะ! นี่ยังจะอยู่อีกเหรอ? ก็ไหนบอกจะอยู่แค่วันเดียวไง” เด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของบ้านถลึงตามองอย่างไม่เชื่อหู “ใครบอกนายกัน ชั้นยังไม่ได้พูดสักคำว่าจะอยู่แค่วันเดียว นายพูดเองเออเองทั้งนั้น อีกอย่างชั้นว่ามีชั้นอยู่นายจะได้ไม่เหงานะ อยู่คนเดียวเซ็งตายชัก…” ว่าแล้วเจ้าหนุ่มก็คว้าถ้วยมาม่าคัพออกมาวางที่โต๊ะพร้อมนั่งโจ้เหมือนเป็นบ้านของตัวเอง
           “ให้ตายสิ… ไม่น่าเล้ย ไม่น่าเลย เอ๊ะ..แล้วนั่นมันกินได้แล้วเหรอ เส้นมันยังไม่สุกเลยนะ..” หลังจากยืนอึ้งในความสับเพร่าของตนเองอยุ่เป็นนานริวอิจิจึงเดินตามออกมานั่งข้างๆ พร้อมด้วยมาม่าของตนที่บัดนี้สุกได้ที่หอมกรุ่นน่ากินผิดกับของอีผฝ่ายที่ดูมาม่าจะยังคงแข็งไม่ต่างอะไรมากนักกับตอนยังไม่โดนน้ำร้อนลวก
           “อะไร… ปกติชั้นก็กินของชั้นแบบนี้แหละ อย่ายุ่งเลยน่า..” ร่างบางหันมาตอบพร้อมซัดมาม่าคำต่อไปเข้าปาก “อ้าวเหรอ…เออ กินแปลกดี แล้วนายอยู่บ้านตัวเองหรือว่าอยู่กับบริษัทล่ะเนี่ย” จากที่เบื่อหน่ายในความสับเพร่าของตนจนได้ที่ก็เริ่มปลงชีวิตที่จะต้องอยุ่และกินโดยเจอหน้าหมอนี่ไปอีกระยะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วคุยไปกับมันเลยก็แล้วกัน ดีกว่านั่งเงียบไม่พูดไม่จา ปล่อยให้เกิดบรรยากาศมาคุขึ้นแบบนั้นคงอึดอัดกันจนตายไปข้างนึงแน่ๆ
           “บ้านของบริษัท… คนเดียว เช้าๆ ก็มีคนคอยจัดข้าวของ หาข้าวให้กิน เตือนเวลางาน พอตกเย็นก็มาอีกรอบวนเวียนอยู่แบบนี้เรื่อยๆ … นี่ นายอยู่คนเดียวมานานหรือยังน่ะ… แล้วพ่อแม่นายล่ะไปไหน ไม่ว่าเหรอ?” เด็กหนุ่มกล่าวต่อไปเรื่อยด้วยดวงตาเหม่อลอย แต่แล้วจู่ๆ ก็กลับเปลี่ยนเรื่องหันมาถามทางด้านริวอิจิบ้างอย่างกระทันหัน คล้ายกับไม่อยากพูดถึงเรื่องของตัวเองในเวลานี้
           “ชั้นอยู่แบบนี้มาได้สักพักแล้ว… พ่อกับแม่ก็อยู่โตเกียวเนี่ยแหละ เพียงแต่ว่า… ชั้นเองก็อยากที่จะลองใช้ชีวิตอย่างอิสระโดยอยู่อย่างลำพังแบบนี้ ก็เลยขอพ่อแม่มาอยู่คนเดียวดูน่ะ”
           “อิสระเหรอ.. การอยู่อย่างโดดเดี่ยวน่ะ.. มันเหงานะ” “หือ?” “เปล่าๆ …ไม่มีอะไรน่ะ ดีจังเลยนะนายน่ะ… น่าอิจฉาจัง..” พูดจบเค้ายิ้มให้จางๆ รอยยิ้มที่ดูสวยงามไร้สิ่งแต่งแต้ม แต่ยิ่งดูก็รู้สึกเหมือนตกอยู่ในห้วงแห่งความเวิ้งว้าง แลไปไม่เห็นอะไรให้ไขว่คว้า ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง… รอยยิ้มที่เบาบางเจือจางไร้สิ่งสวยงามอย่างที่ฉาบไว้ให้ได้เห็น มันดูเหงา เหม่อลอยจนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกๆ ยามเห็นรอยยิ้มเช่นนี้ มันมีอะไรอย่างนั้นเหรอ? มันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้อย่างนั้นเหรอ? รู้จักคนมาก็มากบอกได้เลยว่าหมอนี่ยิ้มสวยที่สุดเท่าทีเคยได้เห็นมา แต่ก็เป็นยิ้มที่ทำให้รู้สึกห่วงและกังวลได้ในเวลาเดียวกัน มันหมายความว่าไงนะ !?! นี่ชั้นควรที่จะถามดีหรือเปล่า? หรือจะปล่อยให้มันผ่านเลยไป เจ้าตัวจะรู้หรือเปล่านะว่า แม้จะยิ้มออกมาได้น่ารักเพียงไหน แต่ก็ไม่สามารถปกปิดเรื่องบางอย่างได้…
           “ปกติกลางคืนแบบนี้ นายดูทีวีช่องไหนล่ะ… ถ้านายไม่ดูชั้นขอดูบาสนะ” จู่ๆ เคตะก็พูดขึ้นพร้อมคว้ารีโมททีวีมากดเปิดและมุดลงไปใต้โต๊ะอุ่นขาแทรกเข้าไปนอนเล่นเปิดรายการทีวีที่ตนดูประจำทุกๆ ค่ำคืนในทันทีไม่ต้องรอให้เจ้าของห้องอนุญาตเลยสักนิด “เออ… เอ้า… จะทำอะไรก็ทำเล้ย… อยากดูอะไรก็ดูไปนะครับ บ้านนายนี่… เอาเล้ย… ดู ถ้วยก็ไม่เก็บ …. นี่เดี๋ยวชั้นไปอาบน้ำก่อนนะ เหนียวตัวเป็นบ้า จะทำอะไรก็ทำแล้วกันคิดซะว่าเป็น ”บ้าน”นายก็แล้วกันนะ”
เจ้าหนุ่มแก้มกลมผู้เป็นเจ้าของบ้านถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะหยิบถ้วยมาม่าทั้งของตนและของเพื่อนใหม่ออกไปทิ้งที่ถังขยะ แล้วเดินหลีกปลีกตัวเข้าห้องอาบน้ำไปทั้งที่ยังคงบ่นอุบอิบอยู่แบบนั้น นี่ถือว่าวันเดียวนะวันเดียว ถ้าหากพรุ่งนี้มีแบบนี้อีกหละก็… ฮึ่ม! …จะเตะนักร้องชื่อดังให้ลั่นบ้านเลยคอยดูสิ
           เพียงเวลาไม่นานที่หายเข้าไปอาบน้ำ เด็กหนุ่มตัวอ้วนกลมก็กลับหอมฟุ้งเดินออกมาข้างนอกด้วยสีหน้าสดชื่นสุดๆ เวลาที่ทีความสุขที่สุดในชีวิตก็คงมีอยู่ 3 อย่างนี่แหละ กิน อาบน้ำ นอน ช่างเป็นเวลาที่ผ่อนคลายตัวเองได้สุดๆ จริงๆ ทั้งชีวิตก็คงมีอยึ่ 3 อย่างนี่แหละ กิน อาบน้ำ นอน ช่างเป็นช่วงเวลาที่ผ่อนคลายตัวเองได้สุดๆ จริงๆ ทั้งชีวิตใครจะว่าทำอย่างอื่นสุขกว่า แต่สำหรับผมแล้ว 3 อย่างนี้แหละ สุขที่สุด
           “นี่… เดี๋ยวนายไปนอนตรง… อื๋อ? อ้าวเฮ้ย” แม้ช่วงเวลาที่ใช้ไปในการอาบน้ำจะไม่ใช่เวลาที่ยาวนานนัก แต่สิ่งที่ได้พบเห็นอยู่ในขณะนี้กลับทำให้รู้สึกว่าใช้เวลาไปมากเสียเหลือเกิน เด็กหนุ่มอายุไล่เลี่ยกันกับเค้านอนหลับคุดคู้กายอยู่ใต้โต๊ะหน้าทีวี ผมยาวสีน้ำตาลอ่อนบางไล้เคลียร์แก้มใสและตกลู่ลงมาเหมือนเส้นไหมเส้นน้อยๆ นับร้อยที่ถักทออยู่บนผืนผ้าชั้นดี ดวงหน้าเรียวมนสวยได้รูปมีเลือดฝาดไหลเวียนทั่ว ก่อให้เกิดเป็นสีชมพูจางๆ ตามปรางแก้มเหมือนเด็กสาวแรกรุ่น แพขนตาที่เรียงรายงอนยาวรับกับเรียวคิ้วเข้มคมขำกับริมฝีปากอิ่มสวยที่เผยอน้อยๆ สีแดงเรื่อ… ยามนี้มันทำเอาหัวใจที่เคยเต้นอย่างปกติกลับถี่รัวขึ้นราวกับจะออกมาข้างนอกให้ได้ เสียงทีวียังคงขับกล่อมให้เด็กน้อยตรงหน้าหลับตาคุดคู้ไม่รุ้ไม่เห็นสิ่งใดๆ รอบข้าง ไม่รู้แม้กระทั่งสายตาที่จ้องมองดูเค้า ด้วยอารมณ์หลายๆ อย่างที่ก่อเกิดขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งตัว!!
           “เคตะ… เคตะ” ริวอิจิเขย่าไหล่บางๆ ของร่างเล็กตรงหน้า แต่ก็กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบกลับมา คงเหนื่อยมากสินะดูเหมือนเมื่อเย็นคงไม่ได้เพิ่งจะมาวิ่งหนีขบวนแฟนๆ แน่ คงหนีมาตั้งแต่ที่อื่น ดีไม่ดี อาจจะเป็นแบบนี้มาตลอดทั้งวันแล้วก็เป็นได้ “นอนตรงนี้คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง… ยังไงก็โต๊ะอุ่นขาอยู่นี่นา” เค้าบ่นกับตัวเองเบาๆ พร้อมใช้มือหนานุ่มของตนปัดผมที่บังหน้าเคตะออก… เจ้าป่วนนี่ดูกี่ทีก็สบายตาแฮะ ยิ่งเงียบๆ ไม่พูดแบบนี้ด้วยแล้ว ยิ่งดูดีใหญ่… น่ารักจริงๆ นั่นแหละ เอ๊ะ! แล้วนี่ชั้นคิดอะไรอีกแล้วเนี่ย เฮ่อ…. หลังจากคิดอะไรเพลินๆ อยู่เป็นนานริวอิจิก็หยิบรีโมทมาปิดทีวีแล้วลุกเดินเข้าห้องตัวเองไป ปล่อยให้แขกตัวป่วนนอนหลับซุกกายอยู่ตรงโต๊ะนั่นเพียงลำพัง….

Blow to be continue...

contact to me
name:
email:
Subject:
Message

 

Close to you 1 / 2 / 3 / 4 / 5 / 6 / 7

©2002 by Feel To w-inds.All right reseved.