*คำเตือน* นิยายเรื่องนี้จัดได้ว่าเป็นนิยายเฉพาะกลุ่ม หากท่านรับไม่ได้ หรืออย่างไร ก็ขอให้ออกไปจากหน้านี้โดยด่วน และอย่าได้กล่าวว่าผู้แต่งหรือผู้จัดทำโดยเด็ดขาด อีกทั้งนิยายเรื่องนี้ได้ถูกแต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่ง มิได้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใดและได้รับอนุญาตให้นำมาลงในเว็ปนี้เท่านั้นห้ามมิให้ผู้ใดนำไปใช้ในด้านอื่นๆ ขอบคุณค่ะ

Close to you
By Feel To w-inds.

Chapter IV

          นานแล้วมั้งกับการออกมาเดินจับจ่ายซื้อของหรือหาอะไรกินในวันปกติเช่นนี้ เพราะธรรมดาวันแบบนี้ เวลาแบบนี้ คงเป็นคาบบ่ายที่พาลจะหลับเอาได้มุกเมื่อในห้องเรียนเลยก็ว่าได้ บ่อยครั้งที่เพื่อนหัวโจกในห้องชวนให้โดดออกมาเที่ยวเล่นกันในเวลาบ่าย แต่จะเพราะขี้เกียจหรือเพราะไม่อยากขาดเรียนก็ไม่รู้ที่ทำให้ตัวเองไม่เคยออกมาตามคำชวนเลยแม้แต่ครั้งเดียว แล้ววันนี้ล่ะ? ทำไมชั้นถึงได้กระวีกระวาดโดดออกมาแบบนี้กัน เพราะเจ้าหมอนี่แท้ๆ…
          คิดแล้วก็หันไปมองจ้องเจ้าตัวต้นเหตุที่เดินระริกระรื่นตื่นตาตื่นใจกับร้านรวงต่างๆ ที่ตั้งเรียงรายให้เลือกแวะเดินเข้าไปเยี่ยมชม แม้ไม่ใช่ย่านค้าขาย แต่ของที่มีก็เป็นเอกลักษณ์น่าสนใจพอตัว แต่จริงๆ แล้วที่ดูมีความสุขขนาดนี้ก็อาจเป็นเพราะสามารถที่จะเดินได้อย่างสบายใจโดยที่ไม่มีใครมาคอยเดิมตามวิ่งไล่จับก็เป็นได้ แม้จะเป็นช่วงบ่ายที่เด็กทั่วไปมีเรียนกัน แต่บางกลุ่มที่รักสนุกหนีเรียนออกมาก็มีอยู่มากพอดู ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย การทำตัวไม่ให้เป็นเด่นจุดสนใจของคนอื่นๆ จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำเช่นกัน แต่ถึงแม้ร่างบางจะแต่งตัวผิดกับ image ที่เคยเป็นเพียงใด ความสวยงามผิดกับคนทั่วไปก็ยังคงมีปรากฏให้เห็นอยู่วันยันค่ำ ไม่ว่าจะเดินผ่านไปตรงไหนก็มักจะมีสายตาของคนอีกหลายคนคอยเหลียวหลังกลับมามองอยู่เสมอๆ …. ขนาดไม่ทำตัวเด่นแล้วนะ ยังมีคนมองตามอีก เข้าใจแล้วหละว่า ระหว่างคนธรรมดาอย่างเรากับพวกที่เป็นดาราดังเนี่ย ราศีมันมีต่างกันเยอะจริงๆ ดาราไม่ว่าอยู่ที่ไหน จะแต่งตัวยังไงความพิเศษก็ยังคงมีให้ได้เห็นอยู่ดี ต่อให้หลบให้ซ่อน ก็ยังคงความสง่าที่ต่างกันเรานัก
          “ร้านนี้อร่อยมั้ย ดูคนคึกคักดีจังนะริวจิจัง เข้าไปกินที่นี่เหอะ” จู่ๆ เคตะก้ชะงักตัวพลางชี้นิ้วเข้าไปยังร้านอาหารร้านหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นร้านชื่อดังในหมู่วัยรุ่นแถวนี้เลยก็ว่าได้ แค่เห็นจำนวนลูกค้าที่นั่งกินกันอยู่ในร้านนี่ก็พอจะบอกได้แล้วว่ามันฮิตกันขนาดไหน “ชั้นว่า…. ไปที่อื่นเหอะ นี่มันร้านดังในหมู่นักเรียน นายดูดิ่ พวกที่โดดเรียนคาบบ่ายมานั่งกินกันเต็มเลย ขืนมีใครเดินเข้ามาทักนายเข้าจะซวยไม่ใช่น้อย” เจ้าบ้านออกความเห็นหลังจากที่เห็นบริมาณคนในร้านที่มีแต่ชุดนักเรียนเด่นเป็นสง่านั่งอยู่กันทั้งนั้น
          “อ้าวโดดเหรอ? แล้วริวจิจังอ่ะ โดดด้วยรึเปล่า?” ร่างเล็กฟันกลับมาถามอย่างงง “ป..เปล่านี่ ของชั้นหมดเรียนแล้ว ชั้นไม่เหลวไหลแบบนั้นหรอกน่า” “อ้าว ว้า…คิดว่าเป็นห่วงกันเลยโดดมาซะอีก แต่ว่า… ดูมันน่าอร่อยจริงๆ นะริวจิจัง” “ปัทโธ่! บอกว่าอย่าเรียกแบบนี้ไงเล่า… ไปเถอะ ขืนนายโผล่เข้าไป ไม่ใครก็ใครคงจำได้แน่ๆ ไปหาอะไรที่มันไม่มีคนเถอะ”
         “เฮ้ย… ดูสิ ว่าเราเจอใคร โองาตะ นายโดดเรียนกับเค้าเป็นด้วยเหรอวะเนี่ย ชวนมากี่ทีไม่เคยมาวันนี้ครึ้มฟ้าครึ้มฝนเพราะนายนี่เอง” คำทักทายของเพื่อนต่างห้อง ทำเอาริวแทบล้มทั้งยืนเอาฝ่ามือตบหน้าผากตัวเองดังฉาดใหญ่ หลังจากที่หันไปเห็นเคตะยืนอมยิ้มอยู่ข้างๆ “อ๊ะ มากะทอยบอยด้วยเหรอ เด็กโรงเรียนไหนเนี่ย ไม่เคยเห็นหน้าแฮะ” ยังไม่ทันขาดคำ ไม่ทันต้องไปหาเรื่อง เรื่องก็เดินมาหาเองจนได้ กลุ่มเด็กห้อง A ที่เคยรู้จักกันเดินเข้ามาทักทายทำให้ต้องรีบดันหลังเคตะให้หลบไปอีกทาง
          “อื่ม โทษทีเรามีธุระน่ะ ไปก่อนนะ” ร่างท้วมกล่าว “อะไรล่ะจะรีบไปไหน ไปกินอะไรกันก่อนสิ โต๊ะว่างนะเพื่อนชั้นหละแปลกใจจริงๆ ปกตินายไม่เคยออกไปไหนเลยนี่นา ไหงวันนี้ถึงออกมาข้างนอกได้ หรือว่า… เพราะแม่สาวทอมข้างๆ นี่กันนะ” ว่าไม่ว่าเปล่ามือยังเอื้อมไปหยิบหมวกที่เคตะสวมบังหน้าไว้อีกด้วย แต่ไม่ทันได้แตะถูกหมวก ก็ถูกมือเล็กๆ ปัดออกไปซะก่อนแล้ว
           “เสียมารยาท นี่เค้าทักทายคนที่เพิ่งเจอหน้ากันด้วยวิธีนี้เหรอ” จู่ๆ ร่างบางก็กล่าวขึ้นเสียงกร้าวทำเอาริวอิจิหันไปมองอย่างปราบๆ “ดุด้วยดิ่ …ถึงว่าโองาตะเงียบเชียว ไปเหอะ ข้างในเพื่อนๆ กันทั้งนั้น ไม่ได้นั่งกินอะไรด้วยกันมานานแล้วนะ เข้าไปข้างในเหอะ”
           “ไม่หละขอบใจ ไปก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียนแล้วกัน” ร่างท้วมยิ้มแห้งๆ พร้อมคว้าคอเจ้าเพื่อนตัวน้อยลากออกไปในทันที แต่ดูท่าทางเจ้าเพื่อนตัวดีจะไม่พอใจอย่างที่สุดเชียวหละ “ปล่อยสิปล่อย จะลากคอชั้นออกมาทำไมกันเล่า! เจ็บนะ!!!” เคตะโวยวายลั่นหลังจากที่ถูกลากออกมาไหลพอสมควรแล้ว
           “ขืนไม่ลากนายออกมานี่ มีหวังคงได้ไปนั่งกัดกับไอ้เจ้าพวกนั้นน่ะสิ พวกนี้นิสัยดีจริงแต่ปากใช้ได้กันทั้งนั้น ดูท่าทางอย่างนายคุมตัวเองไม่อยู่แน่ เจ้านั่นน่ะก็คงรู้ดีถึงพยายามชวนให้เข้าไปนั่งด้วย ขืนไปมีหวังโดนมันแหย่จนนายได้ไปมีเรื่องกะเค้าแน่ๆ สังวรตัวเองหน่อย ตัวเท่าลูกหมาจะไปสู้อะไรเค้าได้” “ก็ปากมันไม่ดีนี่ มันมาว่าชั้นเป็นทอมบอยได้ไง เหมือนตรงไหนวะ! เคืองนะเนี่ย ปล่อยดิ่ปล่อยต้องไปถามให้รู้เรื่อง ชั้นไม่กลัวหรอกนะเรื่องวิวาทน่ะ ตอนอยู่โรงเรียนชั้นก้ฟาดปากกับไอ้พวกแบบนี้บ่อยไป ไม่เคยแพ้ด้วย หนอย! รู้จักเคตะน้อยไปแล้วมั้ยล่ะ ฮึ่ม!” “โป๊ก!!” “โอ๊ย! เจ็บนะ” มะเหงกถูกประเคนลงบนหัวทันควันด้วยความหมันไส้ ทำเอาคลำหัวป้อเลยทีเดียว
           “นี่ไงล่ะรู้จักน้อยไป นายจะบ้าเหรอ จู่ๆ จะไปมีเรื่องทะเลาะกับคนอื่นน่ะ จะทำให้เป็นเป้าสายตาขึ้นมาทำไม อยากจะวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนอีกเหรอ? ขืนคราวนี้ต้องวิ่งอีก นายวิ่งคนเดียวนะ ชั้นไม่ช่วยอะไรแล้ว ตัวใครตัวมัน เอาไงจะกลับไปฉะกับพวกนั้นหรือจะไปซื้อกับข้าวกับชั้น ไม่กินแล้วข้างนอกบ้านเนี่ย กลับไปทำกินเองที่บ้านดีกว่า!” พูดจบริวอิจิก็เดินลิ่วนำหน้าไปเลย
           “อ๊ะ คอยชั้นด้วยสิ ชั้นกลับไม่ถูกนะ” หลังจากยืนหันรีหันขวางอยู่นานเคตะจึงตัดสินใจวิ่งตามริวอิจิไปแทน เมื่อจับจ่ายซื้อของเสร็จเรียบร้อย 2 หนุ่มจึงพากันกลับบ้านเพื่อลงมือทำกับข้าว ริวอิจิออกจะอารมณ์เสียนิดหน่อยที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ แต่นั่นก็ยังคงโล่งอกที่เจ้าหนุ่มนักร้องยังพอเชื่อฟังไม่ห้าวกลับไปเปิดศึกกับใคร กว่าอาหารที่ทำจะเสร็จก็ปาเข้าไป 4 โมงเย็นพอดี ข้าวมื้อกลางวันยังไม่ตกถึงท้องทำเอายิ่งดูหงุดหงิดเข้าไปอีก แถมยังต้องมานั่งทำเผื่ออีกท้องที่ยืนเกาะขอบโต๊ะตาแป๋วยามมองเค้าทำอาหาร อื่ม… ให้ความรู้สึกเหมือนพ่อลูกอ่อนก็ไม่ปาน จะให้ช่วยก็กลัวจะกลายเป็นยุ่งกว่าเดิม สู้ทำคนเดียวจะมีวันเสร็จเร็วกว่าเป็นแน่
           สำรับถูกยกออกมาตั้งที่โต๊ะหน้าทีวีเช่นเมื่อคืนผิดตรงที่คราวนี้ไม่ใช่ถ้วยมาม่าอย่างที่ต้องกล้ำกลืนฝืนกินอีกต่อไป แกงกะหรี่หอมกรุ่นร้อนๆ จากหม้อถูกลาดลงบนข้าวสวยที่สุกขาวชวนกิน ไม่รู้ว่าเพราะหิวหรือเพราะมันน่ากินจริงๆ ถึงได้รู้สึกว่ามันดูน่าอร่อยอะไรขนาดนี้
           “โห…น่ากินชมัด ทีเมื่อคืนไม่เห็นทำแบบนี้มั่งอ่ะ ปล่อยให้ชั้นกินมาม่าอยู่ได้” พูดจบเจ้าตัวแสบก็ส่งข้าวเข้าปากในทันที “พูดมากน่า… กินๆ เข้าไปเถอะ เสร็จแล้วมาช่วยกันล้างข้าวของในครัวด้วย” ริวอิจิพูดพลางมองดูเจ้าตัวแสบที่ตั้งหน้าตั้งตากินอย่างเอร็ดอร่อยจนไม่ยอมเงยหน้ามองอะไรอีกเลย
           “นายทำอะไรกินเองอย่างนี้บ่อยมั้ย” “เวลากินเค้าห้ามพูด เสียมารยาท”
           “ก็ตอบหน่อยไม่ได้หรือไงล่ะ ชั้นไม่ชอบอยู่เงียบๆ นี่” ร่างบางเงยหน้ามองด้วยดวงหน้าอยากรู้เต็มที่ “เออ… บ่อย” “แล้วนายเคยกลับไปที่บ้านบ้างมั้ย” “กลับ.. อาทิตย์เดือนละครั้ง” “แล้วไปกินข้าวบ้านหรือไปทำให้พ่อกับแม่กินกันล่ะ” ”กินกับข้าวฝีมือแม่สิ เรื่องไรชั้นต้องไปทำด้วยล่ะ นี่เลิกถามสักทีเถอะ กินๆ เข้าไปนั่นน่ะ เร็ว” เด็กหนุ่มโวยลั่นเมื่อดูท่าทางอีกฝ่ายจะไม่เลิกถามโน่นถามนี่สักที “ถามนิดถามหน่อยต้องดุด้วย… ชั้นอยากกินข้าวกับนายแบบนี้ทุกวันจัง…”
           “ว่าไงนะ?” ร่างท้วมแก้มกลมหันมามองอย่างไม่เชื่อหู แต่ก็กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะเจ้าคนข้างๆ กลับทำไม่รู้ไม่ชี้โจ้ข้าวอย่างเอร็ดอร่อยหาได้เงยหน้ามองเค้าไม่ เอ…หรือเราจะหูฝาดไปเองวะ ช่างเหอะ… สงสัยแว่วไปเองแหงเลย ช่วงนี้อารมณ์ยิ่งเพี้ยนๆ อยู่ เฮ่อ… กลุ้มใจตัวเองจริงๆ
           “อิ่มแล้วคร้าบ~” ไม่นานเจ้ากนุ่มน้อยหน้าสวยก็รวบช้อนพร้อมตะโกนออกมาทำลายความเงียบสงบอีกครั้ง “ต้องเอาไปล้างเองใช่ป่ะ…” เคตะยิ้มหวานให้ก่อนจะหยิบจานตัวเองเดินไปล้างอย่างอารมณ์ดี …ไม่ทันที่จะได้กล่าวอะไรต่อเสียงดังโครมครามจากในครัวก็ทำเอาหนุ่มเจ้าของบ้านใช้ฝ่ามือตบลงกลางหน้าผากตัวเองทันควัน
           “เพล้ง! โครม!” “เฮ่อ ว่าแล้วมั้ยล่ะ…” ริวอิจิกล่าวอย่างหน่ายใจพร้อมหยิบจานตัวเองเดินเข้าไปที่ครัวอย่างเซ็งๆ จาน 2-3 ใบ ล้มค่ำแตกบนพื้นกระจาย มีเจ้าหนุ่มนัดร้องจอมป่วนนั่งหน้าเอ๋อมองจานแตกบนพื้นตาแป๋…เอ้ย ตาแป๋ว (^_^) “มันลื่นอ่ะ” “เฮ่อ…ออกไปนั่งเฉยๆ ข้างนอกเลยไปนาย ไป…ก่อนที่อะไรๆ มันจะพินาศวอดวายไปมากกว่านี้ ไปเร็ว เวง…เวรของชั้นจริงๆ” หลังจากออกปากไล่เจ้าเปี๊ยกตัวป่วนให้ออกจากห้องครัวไปได้เค้าเองก็ต้องมานั่งเก็บกวาดอะไรต่อมิอะไรต่ออีก กว่าจะเก็บเศษกระเบื้องแตก เก็บล้างถ้วยชามรามไหหมดเรียบร้อยก็ปาไปเกือบครึ่งชั่วโมงพอดี
           ริวอิจิที่กำลังคิดว่าจะบ่นอีกครั้งกลับต้องชะงัก เมื่อเหลือบไปเห็นเคตะนั่งก้มหน้ากัดริมฝีปากตัวเองด้วยใบหน้านิ่วเล็กน้อย ร่างบางกุมมือตัวเองจ้องมองดูเลือดที่ไหลซึมออกมาช้าๆ พร้อมใช้หลังมือปาดใต้ตากลมใสเบาๆ ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาจากปากอิ่มสวยที่ขบเม้มอยู่ในขณะนี้ มีเพียงสีหน้าและร่องรอยของหยาดน้ำตาที่เกาะพราวบนแพขนตางอนสวยนี่เท่านั้นที่บอกถึงอารมณ์ ความรู้สึกของคนตรงหน้าในขณะนี้
           นี่คงไม่อยากจะให้รู้สินะ… ถึงว่าเมื่อกี้ตอนนั่งอยู่ในครัวถึงทำท่าทางแปลกๆ ไล่ก็ไม่เถียงสักคำ ปกติตามนิสัยเจ้าหมอนี่น่าจะสอดปากเข้ามาเถียงเราบ้าง เจ้าบ้าเอ้ย… เด็กหนุ่มถอนหายใจเบาๆ พร้อมกลับเข้าไปในครัวอีกครั้ง หยิบกระเป๋ายาใบน้อยที่น้อยครั้งนักจะมีโอกาสได้นำออกมาใช้
           “กึ่ก!” เสียงกล่องเหล็กกระทบกับพื้นข้างๆ ตัวทำให้เคตะสะดุ้งโหยงรีบหลุบมือไปไว้ด้านหลังโดยอัตโนมัติ แต่ไม่ทันไรมือเรียวสวยก็ถูกจับยึดมาโดยแรงของอีกฝ่ายพร้อมสำลีที่ชุบแอกอฮอล์ล้างแผลบรรจงเช็ดรอบแผลอย่างเบามือ
           “แสบหน่อยนะ ทนได้ก็ทนแล้วกัน อย่าร้องออกมาล่ะหนวกหู…”ริวอิจิพูดพลางเช็ดบริเวณแผลต่อ หลายครั้งที่มือเล็กๆ ถูกดึงกลับคืนด้วยความปวดแสบของฤทธิ์ยาแต่แล้วก็มักถูกดึงกลับได้อีกทุกครั้งเช่นกัน ทุกครั้งที่มือนี้ถูกดึงหนี ริวอิจิเองก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบลอบมองดูสีหน้าของอีกฝ่าย แม้ไม่มีเสียงร้องแต่ลมหายใจที่ขาดช่วงยามถูกสำลีกดลงบริเวณแผล ริมฝีปากอิ่มสวยที่เม้มกัดกลั้นเสียงตัวเองไว้ อื่ม… ทำไมนะ นี่ชั้นจะผิดมั้ยถ้าตอนนี้คิดอยากจะเห็นเจ้าหมอนี่ร้องไห้น่ะ?!
           “โอ๊ยแสบ” หลังจากทำความสะอาดแผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยาอีกขนานก็ตามติดมาทันที แต่คราวนี้ดูเหมือนว่าจะเกินขีดจำกัดแล้วจริงๆ ร่างบางเผลอร้องออกมาอย่างลืมตัวพร้อมชักมือออกเก็บไพ่ไว้ด้านหลังตน “เฮ้ยได้ไงเล่า ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย ส่งมือมานี่เร็ว” “ไม่เอา ไอ้นานี่แสบจะตาย คราวก่อนหกล้ม พวกสตาร์ฟเอามาทาให้ ขาชั้นแทบไหม้… ไม่เอาหรอก แผลเล็กแค่นี้มันไม่ถึงตายหรอกน่า” “พูดเป็นเล่นน่า มาขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมใส่ยาเนี่ยนะ พอที ส่งมือมาเร็ว เคตะ” “ไม่เอา… มันแสบนะ แค่นี้ก็เจ็บจะแย่แล้ว เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยทาก็ได้” จะทำยังไงก็เอาเหอะ ขออย่างเดียวอย่าให้ไอ้ยาสีน่าเกลียดนี่มาถูกผิวได้ก็แล้วกัน จะเป็นวันไหนๆ ก็ตามที บอกปัดๆ เป็นพรุ่งนี้ให้รอดไปอีกวันเป็นใช้ได้
           “นี่..อย่ามามั่วน่า! … ต่อให้พรุ่งนี้หรือวันไหนๆ นายก็ไม่ยอมให้ใส่หรอกชั้นรู้ทันน่า น้องสาวชั้นก็เป็นเหมือนนายนี่แหละ อย่าดื้อน่า โตๆ กันแล้วนะ ส่งมือมา” คว้ามือเคตะที่ตอนนี้เอาไปไพ่ไว้ด้านหลังหลบหนีการถูกจับโดนสมบูรณ์ “ไม่เอา ไม่ทาแล้ว~” “เคตะ” “ไม่เอ้า~” “เคตะ” “ไม่~” “เคตะ!” ร่างท้วมโดดเข้าคว้ามือได้ก็รีบล็อคแขนข้างนั้นไว้ด้วยการหนีบเข้าใต้รักแร้จนขยับไปไหนไม่ได้ พร้อมจี้ยาลงไปที่แผลในทันที จริงๆ แล้วอยากจะปล่อยไปตามเรื่องหรอกนะ แต่ยิ่งเห็นหน้าก็ยิ่งหมั่นไส้ ยิ่งอยากแกล้ง ทันทีที่ยาถูกแผลก็เหมือนสวิทช์ถูกกดทันที เสียงร้องโวยวายดังลั่นบ้านพร้อมเจ้าตัวก็ออกแรงดิ้นจนทำเอาคนจับเหนื่อยพอสมควร เสียงร้องของคนเจ็บปนกับเสียงหัวเราะของคนปฐมพยาบาล 2 เสียงปนเปกันจนกังลั่นบ้าน
           เจ้าตัวน้อยน้ำตาเกาะหางตาเป็นเม็ดๆ ด้วยทั้งเจ็บทั้งแสบ ร้องโวยวายไม่หยุด ริวอิจิเองก็ได้แต่หันไปมองอย่างขำๆ “ปล่อยแขนชั้นนะ เจ็บโว้ย~ ฮือ…” เมื่อหลุดจากพันธนาการที่อีกฝ่ายจองจำเอาไว้ได้ เจ้าตัวก็เป่าแผลตัวเองไม่หยุด พร้อมใช้มืออีกข้างปาดใต้ตาตัวเอง เหมือนเช่นเคย
           “เฮ้ๆ ..ร้องไห้เลยหรือไงกัน” “ไม่ได้ร้อง” “ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าร้อง” “บอกว่าไม่ได้ร้อง เจ้าบ้า!” “คิกๆ ร้องยังทำปากแข็ง นี่ไงน้ำตาเป็นเม็ดเชียว” เด็กหนุ่มใช้นิ้วมือทั้ง 4 สอดเข้าที่กกหูพร้อมใช้นิ้วหัวแม่มือปาดเกลี่ยน้ำตาที่พาลจะหยดไหลออกมาจากดวงตากลมใสนั่นอีกครั้ง
           สัมผัสอ่อนนุ่มและอบอุ่นแผ่ซ่านเข้าครอบงำคนทั้งสอง แม้เมื่อครู่จะยังคงหัวเราะเยาะอีกฝ่ายอยู่อย่างสนุกสนาน แต่ในยามนี้… เมื่อได้สัมผัสและจ้องเข้าไปในดวงตากลมใสนี้ …กลับทำให้ความรู้สึกต่างๆ ผิดแผกไป เหมือนถูกสายตาคมสวยคู่นี้ดึงดูดให้ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ …เพียงไม่นานก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสแผ่วผิว อุ่นชื้น และนุ่มนวล… ลมหายใจอุ่นๆ ไหลรินรดอยู่ไม่ห่าง อ๊ะ …นี่ชั้นทำอะไรลงไปกัน… ริวอิจิผละถอยออกมามองจ้องร่างบางช้าๆ ดวงตาใสๆตรงหน้านั้นเบิกโพลงฉายแววตกใจระคนสงสัย และตื่นตระหนกอยู่เช่นเดียวกัน
           ร่างบางไม่ได้กล่าวคำอะไร เพียงแค่ยกมือขึ้นคลำริมฝีปากตนเองเบาๆ ไม่ต่างอะไรกับริวอิจิที่คลำแผ่วผิวบนเรียวปากของตนเช่นกัน!!!!! เมื่อกี้..เกิดอะไรขึ้น… มันเหมือนกับลืมตัวไปชั่วขณะ เหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ ถ้าจำไม่ผิด ชั้น…จูบเคตะอย่างนั้นเหรอ? “เมื่อกี้นี้ ..ชั้น..”
           “ชั้น… ชั้นไปอาบน้ำก่อนนะ” ยังไม่ทันได้อธิบายอะไรเคตะก็ผลุนผลันลุกพรวดออกไปที่ห้องน้ำซะแล้ว ไม่รอฟังอะไรที่อีกฝ่ายพยายามจะแก้ตัวเลยแม้แต่น้อย “ให้ตายสิ… เกิดอะไรขึ้นกับชั้นกันวะเนี่ย…” ริวอิจิเองก็ออกจะงงกับตัวเองอยู่ไม่น้อย ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วจนตามไม่ทัน แม้แต่ตัวของตัวเอง เจ้านั่นจะคิดยังไงกันล่ะ… ถูกทำแบบนั้นไปจะคิดว่าไง เราก็ผู้ชายหมอนั่นก็ผู้ชาย ตอนนี้จะคิดว่าไงอยู่กัน.. จะคิดเหมือนกับที่เราคิดมั้ย? โอย…ปวดหัว แล้วนี่ถ้าออกมาจากห้องน้ำแล้ว ชั้นจะต้องทำหน้ายังไงกันล่ะ? จะชวนคุยเรื่องไหน หรือจะหลบเข้าห้องไปดี ในหัวมันมีแต่คำถามมากมายที่พยายามตั้งขึ้นมาตอบเองให้ได้พบกับหนทางที่ดีที่สุดในตอนนี้ แต่ยังไงๆ คำตอบก็ดูจะขาวโพลนไปหมด ไม่มีอะไรตอบกลับมาในหัวเลยแม้แต่น้อย ที่สำคัญกว่านั้น… ต่อจากนี้ไปจะต้องทำยังไงกับเจ้านั่นกันล่ะ!

Blow to be continue...

contact to me
name:
email:
Subject:
Message

 

Close to you 1 / 2 / 3 / 4 / 5 / 6 / 7

©2002 by Feel To w-inds.All right reseved.