*คำเตือน* นิยายเรื่องนี้จัดได้ว่าเป็นนิยายเฉพาะกลุ่ม หากท่านรับไม่ได้ หรืออย่างไร ก็ขอให้ออกไปจากหน้านี้โดยด่วน และอย่าได้กล่าวว่าผู้แต่งหรือผู้จัดทำโดยเด็ดขาด อีกทั้งนิยายเรื่องนี้ได้ถูกแต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่ง มิได้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใดและได้รับอนุญาตให้นำมาลงในเว็ปนี้เท่านั้นห้ามมิให้ผู้ใดนำไปใช้ในด้านอื่นๆ ขอบคุณค่ะ

Close to you
By Feel To w-inds.

Chapter VI

          เคตะลุกจากฟูกนอนทั้งๆ ที่ยังคงเจ็บร้าวไปทั่วทั้งสรรพางค์ เด็กหนุ่มลงไปนั่งอยู่ตรงกระจกลอบแหวกม่านผืนบางนั้นมองออกไปยังภายนอกถนนที่เงียบสงัด มีรถวิ่งผ่านไปผ่านมานานๆ ครั้ง แสงไฟจากตึกรามบ้านช่องที่เหลือน้อยเต็มทีดูคล้ายเมืองร้าง ต่างกับบ้านของเค้าที่ยามใดที่ออกมามองดูถนนหนทางแบบนี้ก็มักที่จะคึกคักอยู่เสมอๆ สังคมที่แตกต่างกัน สถานที่ที่ต่างกัน ช่างไม่มีอะไรเหมือนหรือคล้ายกันเลยสักอย่างเลยสินะ
           “เงียบจังนะที่นี่…” “อ๊ะ…อื่ม…เงียบแบบนี้ทุกคืนแหละ” “ชั้นไม่เคยอยู่ในที่เงียบๆ แบบนี้มานานแล้วหละ” “ไม่เหมือนชั้นนะ ชั้นอยู่ในที่แบบนี้มานานแล้ว บ้านชั้นก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน” “อยากไปบ้านนายบ้างจัง” “หือ?” ….. “หิวอีกแล้วสิ กินอะไรกันหน่อยมั้ย?” อยู่ๆ ร่างเล็กที่นั่งอยู่ตรงหน้าต่างก็กลับเปลี่ยนเรื่องพูดไปซะเฉยๆ หลายครั้งที่เค้าพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบาบางจนทำให้คนอื่นไม่สามารถได้ยินได้ แล้วก็เปลี่ยนไปเรื่องอื่นโดยที่ไม่หวนกลับมาพูดในเรื่องๆ เดิมอีก เคตะยิ้มให้พร้อมค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างยากลำบากเดินออกจากห้องไป ควานหาถ้วยมาม่าที่ถูกเก็บไว้บนชั้นบนสุดของตู้ในห้องครัว เมื่อคราวก่อนกว่าจะหยิบมาได้เล่นเอาตะกายอยู่นาน นั่นเป็นสภาพที่ตัวเองสมบูรณ์พร้อมที่สุด แล้วตอนนี้ล่ะ? แค่ขยับตัวยังเจ็บร้าวไปหมดแล้วสภาพแบบนี้จะยังควานหยิบของที่อยู่สูงกว่าตัวได้อยู่อีกเหรอ? บ้าจริงเรา ไม่น่าหาเรื่องเลยน๊าาา
           “เอ้า… ไปนั่งตรงนั้นไปเดี๋ยวชั้นทำให้” มือแกร่งกร้านเอื้อมหยิบถ้วยมาม่าที่อยู่เหนือเลยออกไปจากมือของอีกฝ่ายไม่มาก แม้ความสูงของเค้าจะไม่ต่างจากร่างบางสักเท่าไรนัก แต่ด้วยสภาพร่างกายที่สมบูรณพร้อมอยู่ในขณะนี้ จึงทำให้ริวสามารถหยิบฉวยสิ่งของที่อยู่เหนือขึ้นไปได้ดีกว่าฝ่ายที่ร่างกายไม่ค่อยสมบูรณ์ในเวลานี้…
           “….” ร่างเล็กบอบบางขยับก้าวไปนั่งที่โต๊ะประจำพลางเท้าคางมองดูเจ้าของบ้านที่วิ่งวุ่นต้มน้ำ ต้มมาม่า อยู่ในครัวด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก… ช่วงเวลาที่ได้พบกัน ได้รู้จักกัน มันเหมือนความฝัน ถ้าวันนั้น.. วันที่หนีออกมาไม่ได้พบกับเค้า เราจะอยู่ที่ไหนกันนะตอนนี้… อาจจะกลับไปบ้านที่บริษัท นั่งดูตารางงานที่เหล่าสตาร์ฟจัดเตรียมไว้ให้ ออกร้องเพลงในรายการต่างๆ หรือว่า… จะหนีกลับบ้านไปเลยกันล่ะ อืม… มีชีวิตอยู่ในที่แบบนี้มันเหมือนความฝันจริงๆ เลยนะ ได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี ไร้การควบคุม ได้ไปไหนมาไหนโดยที่ไม่มีใครสนใจ แล้วก็ได้อยู่กับ…
           “นายนี่มันหาเรื่องจริงแฮะ ดึกขนาดนี้แล้วยังจะอยากกินโน่นกินนี่อยู่อีก ดูสิ เลยพาล ให้ชั้นต้องกินไปด้วยเลย” ถ้วยมาม่าสองถ้วยถูกนำเสิร์ฟมาวางบนโต๊ะ ตามด้วยร่างท้วมที่ลงนั่งฝั่งตรงข้ามหยิบตะเกียบคู่ใจมาเตรียมรอไว้เรียบร้อยอย่างรู้งาน
           “… หิวนี่นา คนเราถ้าได้ใช้พลังงานออกไปก็ต้องการพลังงานกลับมาให้ตัวเองอยู่แล้ว หรือนายไม่คิดอย่างชั้นล่ะริวจิจัง” รอยยิ้มทะเล้นๆ ส่งกลับมาให้พร้อมคำพูดชวนให้คิด ทำเอาคนฟังหวิดสำลักมาม่ากระทันหัน ทำให้เรียกเสียงหัวเราะคิกคักน่ารักของร่างบางออกมาได้อีกครั้ง ทั้งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะนี่น่ะ มันดูแล้วบรรยากาศโดยรอบสดชื่นมีชีวิตชีวาขึ้นจริงๆ นี่อาจเป็นพรวิเศษที่พระเจ้าประทานมาให้กับเจ้าหมอนี่ก็เป็นได้ อดไม่ได้ที่จะต้องลอบมองดูรอยยิ้มสวยๆ นี้อีกครั้ง…
           “มองอะไรน่ะ ริวจิจัง นายหลงเสน่ห์ชั้นหรือยังไงกันนะ คิกๆ” เสียงร้องทักของเจ้าตัวยุ่งเอ่ยอีกครั้งหลังจากสังเกตุเห็นว่าตนกำลังเป็นที่สนใจของอีกฝ่าย “บ้า ใครจะไปคิดงั้นกัน นายน่ะเหรอมีเสน่ห์… ให้ดิ้นตายสิ เหอะๆ” แม้ปากที่พูดจะบอกออกไปจะเป็นอย่างนั้น แต่เค้าก็ยังคงได้รับรอยยิ้มหวานๆ คืนกลับมาอยู่ดี สำหรับเคตะในตอนนี้แล้ว ไม่ว่าคำพูดที่ได้รับจากอีกฝ่ายจะดีหรือร้ายหรือเป็นเช่นไร สำหรับเค้าแล้วก็อยากที่จะหยิบยื่นรอยยิ้มแบบนี้ให้กลับคืนไปอยู่ดี

           “เธอจะพาชั้นข้ามผ่านไปสู่สรวงสวรรค์…..
           ได้โปรดมอบปีกของเธอให้แก่ชั้น พาชั้นบินออกไป
           เธอคือเทพธิดาของชั้น… you’re my angel
           ไม่ว่าเวลาใด ชั้นคิดถึงแต่เธอ
           อยากพบกับเธอ
           แม้จะเป็นที่ไหนๆ เวลาใด หรือแม้ยามต้องจากไกล…
           ชั้นอยากอยู่ใกล้ๆ เธอ ชั้นจะอยู่ใกล้ๆ กับเธอ”


          “…” จู่ๆ เคตะ ก็กลับร้องเพลงขึ้นมาท่อนหนึ่งพร้อมยังคงส่งรอยยิ้มหวานๆ ให้กับริวอิจิเหมือนเช่นทุกครั้ง “เพลงของชั้นเองแหละ Close to you ชั้นว่านายคงไม่เคยฟังแน่ๆ เลยใช่หรือเปล่าล่ะ นายรู้มั้ยว่า… ตัวชั้นเองก็อยากที่จะให้ใครคนนึง พาชั้นบินขึ้นไปสูงๆ ไปให้พ้นจากที่ที่เป็นอยู่นี่ ไปให้ถึงสวรรค์แบบนั้นเหมือนกัน… แต่ถ้าเกิดว่าในทางกลับกัน ถ้ามีคนมาร้องเพลงนี้ให้แล้วบอกชั้นว่า ชั้นนี่แหละคือคนที่จะให้ปีกแก่เค้า ชั้นเป็นเทพธิดาประจำตัวเค้า ชั้นคงรักคนๆ นั้นมากแน่ๆ”
           “ท่าจะบ้าแล้วนะนายน่ะ… ดึกดื่นเที่ยงคืน ลุกขึ้นมากินมาม่าแล้วยังจะร้องเพลงอะไรก็ไม่รู้อีก ฟังแล้วเลี่ยนชะมัด… ใครที่ไหนเค้าจะมาร้องเพลงแบบนี้กัน ตลกตายหละ แต่ชั้นว่าถ้านายอยากจะฟังจริงๆ ลองไปเดินแถวโรงเรียนชั้นสิ คงมีเยอะเชียวหละคนร้องเพลงนี้อ่ะ แต่ขอบอกว่าที่แน่ๆ ไม่ใช่ชั้นแน่นอนที่ร้องให้นาย … ฮ้าววว ง่วงชะมัด ชั้นว่าไปนอนเหอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้านะ” จู่ๆ ริวก็พูดจาตัดบทขึ้นมาซะเฉยๆ แล้วก็ลุกเดินจากโต๊ะไป มือเล็กเรียวคว้าปลายนิ้วของอีกฝ่ายที่กำลังจะลุกเดินออกไปแทบทันทีที่อีกฝ่ายลุกขึ้น พร้อมดวงตาที่จ้องมองอย่างขอความเห็นอะไรบางอย่าง
          “… มีอะไรรึเปล่า เคตะ หรือว่าลุกไม่ไหว..” “เปล่า… ไม่มีอะไร ชั้น…”
           “… นายเป็นแบบนี้ทุกครั้งหรือเปล่าน่ะ เวลาใครถามอะไรกลับก็มักจะตอบว่าเปล่าแล้วก็เฉไฉไปเรื่องอื่นที่ไม่ได้ถาม ทำแบบนี้มันไม่ค่อยดีเท่าไรนะจะบอกให้ ชั้นคนนึงหละที่ไม่ชอบ หลายๆ คนก็คงไม่ชอบเหมือนกัน มีอะไรก็พูดออกมาสิ อย่าเก็บเอาไว้ นายไม่อึกอัดบ้างหรือไง”
           “ริวจิจังไม่คิดว่าจะมีคนๆ นั้นของริวจิจังบ้างเหรอ คนที่สามารถบอกว่าเป็นเทพธิดาได้น่ะ…”
           “… เพ้อเจ้อน่า ไปเข้าไปนอนเถอะ นายเมามาม่าแล้วหละเคตะ ถามอะไรแปลกๆ ก็บอกว่าไม่ชอบๆ ยังจะถามอยู่อีกนายนี่…”
“งั้นเหรอเนี่ย…” รอยยิ้มบนใบหน้าสวยดูหมองลงไปถนัดตา ริวอิจิคว้าข้อมืออีกฝ่ายฉุดให้ลุกขึ้นยืนแล้วพาเดินกลับมาที่ห้องพร้อมล้มลงกับฟูกนอนตามเดิม เจอคำถามของเพื่อนร่างบาง ก็ทำให้หงุดหงิดขึ้นมาได้อีกครั้ง จะบ้ารึไง เรื่องอะไรใครจะไปบ้านั่งร้องเพลงน้ำเน่าแบบนั้น เธอเป็นเทพธิดาของชั้น โธ่… จะบ้ารึเปล่าวะ ขืนพูดแบบนั้นคงได้อ้วกแตกกันไปข้างนึงแหงๆ
           ร่างท้วมไม่ได้นึก คิดหรือเอะใจอะไรเลยแม้สักนิดว่าร่างบางที่นอนอยู่ข้างกายตนนั้นรู้สึกอย่างไรที่ได้ยินคำพูดของเค้าที่พูดออกไปส่งๆ ในขณะนั้น… ความหมายที่เคตะต้องการจะบอกกับเค้า ก็ได้บอกไปจนหมดแล้ว แต่ทำไมถึงไม่ แม้แต่จะพยายามเข้าใจมันเลยแม้แต่น้อย… กลับยังคงกล่าวอะไรที่ทำร้ายความรู้สึกอีกฝ่ายออกมาอีกได้ เชื่อแล้วหละว่า…สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่คงเป็นอย่างที่คิดจริงๆ งั้นสินะ ความพลั้งเผลอ ความใกล้ชิด และความเหงาที่มีเหมือนหรือคล้ายๆ กัน ก่อให้เกิดความรู้สึกที่แปลกปลอมขึ้นมาในชั่วขณะนั้น แล้วก็กลับจางหายไป เมื่อรู้สึกสำนึกตัวอีกครั้ง หึ… เรามันคงบ้าไปเองคนเดียวจริงๆ นั่นแหละ เคตะ เอ้ย อะไรเลย มันจะเป็นไปได้อย่างที่นายคิด นายต้องการเสมอกันล่ะ…
           “ฮะ… ผมเองฮะ เคตะ… ขอโทษฮะ… ขอโทษที่โทรมากลางดึกแบบนี้ ตอนนี้อยู่ที่ถนน xxx ฮะ ขอบคุณมากฮะ….”

+++++++++++++++++++++


          เช้าวันอากาศแจ่มใส เด็กหนุ่มแก้มกลมใสค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งบิดขี้เกียจอย่างเหนื่อยอ่อน ยามเช้าที่ต้องจำใจลุกขึ้นจากเตียงนอนที่แสนอ่อนนุ่มนี้ …มันช่างไม่อยากจะลืมตาตื่นขึ้นมาเลยจริงๆ อืม… แล้วเจ้าคนข้างๆ นี่หละจะเป็นไงบ้าง เมื่อคืนก็รู้ตัวดีอยู่เหมือนกันว่าทำอะไรลงไปแค่ไหน ขนาดตอนมาค้างบ้านเราวันแรก มันยังนอนหลับจนสายโด่งขนาดนั้น แล้วเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ดึกซะไม่รู้ว่าดึกยังไง อืม… คงยังนอนอยู่หละมั้ง หือ?
ฟูกเตียงสีเทาข้างกายที่ว่างเปล่าไร้ร่างของอีกฝ่ายที่คิดถึงเมื่อครู่… ที่มีก็เห็นจะมีเพียงแค่เสื้อผ้าชุดนอนที่ถูกพับวางอย่างเรียบร้อยไว้แทนเท่านั้น แปลก…ยังลุกไหวอีกแฮะ แล้วจะตื่นมาทำอะไรวะนั่น…. “เคตะ” ริวอิจิเดินเกาหัวแกรกกราก พลางหาวหวอดออกมาจากห้องหวังจะได้พบร่างบางผอมสวยอย่างที่เค้าคิดเอาไว้ เสื้อผ้าชุดที่ใส่มาเมื่อวันที่พบกันครั้งแรกกลับหายไปจากตู้เสื้อผ้า กระเป๋าใบเล็กๆ ที่เจ้าตัวมักเอาวางไว้บนหลังทีวีก็ไม่มีให้เห็น จะมีก็คงเป็นเพียงแค่… กระดาษแผ่นเล็กๆ เพียงแผ่นเดียวกับสร้อยคอสีเงินเส้นกลมๆ พร้อมจี้รูปไม้กางเขนที่เคตะมักใส่ติดตัวเสมอตั้งแต่มา…

ไม่ว่าเวลาใด ชั้นคิดถึงแต่เธอ อยากพบกับเธอ
แม้จะเป็นที่ไหนๆ เวลาใด หรือแม้ยามต้องจากไกล…
ชั้นอยากอยู่ใกล้ๆ เธอ ชั้นจะอยู่ใกล้ๆ กับเธอ”
           ขอบคุณมาก….. เคตะ ทาจิบานะ

           “ให้ตายสิ…เกะกะเป็นบ้า จะเอาไว้ทำไมนะสร้อยนี่น่ะ หึๆ ฮะๆ ฮ่าๆๆ จะจากกันทั้งทียังทิ้งความบ้าไว้อีกแฮะ หึๆ โอ๊ย… ในที่สุด ชีวิตชั้นก็จะกลับมาสู่ความสงบสุขเหมือนแต่ก่อนสักที พระเจ้าได้เอาอุปสรรคไปจากชีวิตชั้นแล้ว ดีจริงโว้ย!! ไม่ต้องมาคอยจัดห้องใหม่เวลาเจ้านั่นทำรก ไม่ต้องเสียเงินซื้อของเพิ่ม ไม่ต้องมานั่งฟังคำเพ้อเจ้อของเจ้านั่น ไม่ต้องคอยทำกับข้าวเผื่อใคร…. ไม่ต้อง… คอยห่วงใคร… ไม่ต้อง… คอยดูแลใคร…” เมื่ออ่านข้อความจนจบเจ้าหนุ่มก็คว้ามือตัวเองขึ้นปิดหน้าระเบิดหัวเราะจนดังลั่นห้อง พร่ำพรรณาถึงความลำบากที่ตนเคยได้รับเมื่ออยู่กับอีกฝ่าย แต่แล้วก็เงียบเสียงลงทีละน้อย… ทีละน้อย ห้องที่อยู่มาจนปัจจุบันบัดนี้มันดูทั้งกว้าง… ทั้งเวิ้งว้าง… ดูเงียบเหงากว่าทุกครั้งที่ผ่านๆ มา ทำไมล่ะ? ดีใจไม่ใช่เหรอ? ที่เจ้านั่นกลับไปซะได้ แล้วทำไม?…. ทำไมกัน… ทำไมถึงรู้สึกเหมือนถูกบีบที่ตรงหัวใจ รู้สึกเหมือนอะไรในชีวิตมันขาดหายไป… เหมือน…ถูกพรากของที่รักไปจากชีวิต!!!
           “บ้าน่า… ร่าเริงหน่อยสิ เจ้าบ้า ตัวป่วนกลับไปแล้วทั้งที ชั้นควรที่จะหัวเราะให้ลั่นบ้านไม่ใช่หรือไง” เจ้าหนุ่มตบหน้าตัวเองเบาๆ พร้อมเดินหลบวูบเข้าห้องอาบน้ำไปเพื่อเตรียมตัวไปเรียน…
           วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป ทุกๆ วันริวอิจิเองมักพลั้งเผลอที่จะเรียกขานชื่อของอีกฝ่ายยามที่ตนกลับมาถึงบ้าน เดินไปตามห้องต่างๆ ที่ว่างเปล่าไร้ร่างบางและรอยยิ้มหวานๆ ที่มักหยิบยื่นให้เสมอๆ แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน แต่ก็กลับเปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวันของคนๆ นึงได้เลยทีเดียว ทุกครั้งที่เปิดประตูเข้ามา เราอะไรกัน…. หวังให้ได้เห็นดวงหน้าใสๆ หันมาส่งยิ้มให้ หวังให้ร่างบางนั่นนั่งดูทีวีอยู่ในห้องพร้อมกล่าวว่า “กลับมาแล้วเหรอ” แบบนั้นหรือไงกัน หึ… บ้าชะมัด ไม่คิดเลยว่าเราจะเป็นเอามากถึงขนาดนี้…
           “หลังจากหายไปนาน เค้ากลับมาแล้วนะคะ” “ใครกันครับที่หายไป“
           “ก็พ่อหนูมหัศจรรย์แห่งวงการเพลง เคตะ ทาจิบานะ ยังไงล่ะคะ หลังจากที่ออกซิงเกิ้ลฮิตได้ไม่นาน ก็กลับหายตัว หายหน้าหายตาไปช่วงหนึ่ง วันนี้ได้มีการเปิดแถลงข่าวเรื่องที่เค้าได้หายหน้าหายตาไป แต่ก่อนที่จะร่วมงานแถลงข่าว เราไปฟังเพลงเพราะๆ จากเค้าก่อนดีกว่าค่ะ close to you…” ภายในโรงอาหารของโรงเรียนในขณะที่กำลังกินข้าวอยู่อย่างสบายอารมณ์ จู่ๆ ภาพบนจอทีวีก็ปรากฏให้ได้เห็นร่างบางที่ไม่เห็นมานานอีกครั้ง… เพียงแค่ได้ยินชื่อเรียกขานก็ทำเอาชาวาบไปทั่วทั้งร่าง รีบเงยหน้าขึ้นมองบนจอภาพอย่างใจจดจ่อ จะว่าไปนี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่ได้ดูมิวสิควิดีโอของเจ้าหมอนี่… อืมมม มันก็น่าจะให้สาวๆ หลงอยู่หรอกนะ แต่ว่า… แถลงข่าวงั้นเหรอ? ก็เท่ากันงานถ่ายทอดสดสินะ ตอนนี้จะเป็นยังไงมั่งก็ไม่รู้…
           “เฮ้… ริวอิจิ นายสนใจหมอนี่ด้วยเหรอ?” “ห๊ะ…. อืม ก็นิดหน่อยน่ะ” เสียงเพื่อนชายห้องเดียวกัน เดินมานั่งด้วยใกล้ๆ พร้อมคว้าขนมปังในมือไปกิน “เฮ้ย… นั่นมันขนมปังชั้นนะ เรียวเฮ! เอาคืนมา~” มัวแต่ดูทีวี ดูภาพของคนที่กำลังคิดถึงจนทำให้ขนมปังที่ตนแสนจะโปรดถูกคว้าไปกินทีเผลอจนได้ เล่นเอาเพื่อนที่ถูกเรียกว่า “เรียวเฮ” หัวเราะในความเอ๋อครั้งนี้ทันทีทันใด “ฮะๆๆ แปลกแฮะ ปรกตินายไม่เคยเผลอเรื่องขนมเลยแท้ๆ วันนี้ไหงเสียท่าให้ชั้นได้เนี่ย …หรือว่า…. หลงเสน่ห์เจ้าเด็กนั่นซะแล้วล่ะ ริวอิจิ ฮะๆๆ”
           “จะบ้ารึไง… ชั้นจะไป…” ยังไม่ทันได้พูดต่อเสียงจอกแจกจอแจภายในโรงอาหารก็ค่อยๆ เงียบลงเด็กสาวส่วนใหญ่วิ่งกรูกันมาเบียดเสียดอยู่ตามหน้าทีวีที่ติดตั้งกระจายไปทั่วโรงอาหาร ไม่นานร่างของเด็กหนุ่มก็ค่อยๆ ก้าวขึ้นสู่แท่นแถลงข่าวพร้อมกับผู้จัดการส่วนตัวที่มักจะเห็นอยู่ด้วยกันเสมอๆ รอยยิ้มหวานยังคงมีส่งผ่านมายังกล้องที่คอยจับจ้องตนอยู่ แต่ใครล่ะจะรู้ได้ว่า ภายใต้ใบหน้า และรอยยิ้มสวยๆ นี้มีอะไรซ่อนเอาไว้กัน
           การแถลงข่าวดำเนินไปเรื่อยๆ โดยเจ้าตัวได้กล่าวอย่างสนุกสนานว่าตนได้ไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ไม่ได้หนีหายไปไหน เมื่อเที่ยวจนพอใจแล้วก็กลับมาทำหน้าที่ของตนตามเดิม “สุดท้ายแล้วนะครับ มีอะไรจะพูดฝากถึงแฟนๆ บ้างมั้ยครับ” เวลานี้ดูเหมือนแต่ละคนจะใจจดใจจ่ออยู่กับคำพูดของเจ้าหนุ่มด้วยกันทั้งนั้น กล้องยังค่อยๆ close เข้าไปที่หน้าของเจ้าหนุ่มที่ดูเหมือนอึกอักอยู่สักครู่ ก่อนจะก้มหน้าพูดอะไรงึมงำกับตัวเอง แล้วเงยหน้าขึ้นมองกล้องอีกครั้ง
           “ตอนนี้ตัวผมก็พยายามที่จะสนุกกับอิสระที่ได้รับในแบบของผม… ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชีวิตนี้จะได้รับการปลดปล่อยอย่างที่หวัง ถ้าไม่มีคุณผมคงทำแบบนี้ไม่ได้ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง แม้ไม่ได้เจอกันแต่ก็เหมือนอยู่ใกล้เสมอ ขอบคุณมากครับ…. พยายามค้นหาเทพธิดาของตัวเองให้เจอนะครับ” ดวงตากลมใสดูไหววูบบ้างในขณะที่กล่าวพูด แต่นั่นก็กลับเรียกเสียงกรี๊ดให้กับบรรดาผู้คนที่ยืนฟังอยู่ในขณะนี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย…
           “…..” “ฮะๆ หมอนี่ปากหวานเป็นบ้าเลยแฮะ ดูสิ พวกผู้หญิงพากันสลบกันไปหมดแล้ว แสบแก้วหูชะมัดเลยแฮะ.. ริว ริวอิจิ… เฮ้ย เป็นไรของนายน่ะ” “… ฮะๆ บ้าเอ้ย แบบนี้เองเหรอ? เป็นแบบนี้เองเหรอเนี่ย… เจ้าบ้าเอ้ย ใครจะไปหาตัวประหลาดแบบนั้นได้ที่ไหนกันเล่า..” ร่างท้วมหัวเราะเบาให้กับตัวเองพลางหยิบสร้อยเส้นเล็กออกมาดู
“ในเมื่อ…เทพธิดาประจำตัวของชั้นคือเจ้าของสร้อยเส้นนี้นี่นา…” เด็กหนุ่มพูดเบาๆ กับตัวเองพร้อมแกว่งสายสร้อยไปมา นี่สินะบทลงโทษของคนที่ไม่เคยมีความเชื่ออะไรกับเค้า เรื่องของโชคชะตา เรื่องของพรหมลิขิตบันดาล สร้อยเส้นเล็กๆ ที่เป็นเหมือนตัวแทนของคนที่ไม่อาจได้พบกันอีก สิ่งที่เคยดูเหมือนไร้ค่าในสายตากลับเป็นสิ่งเชื่อมโยงให้ได้รู้สึก ให้ได้พบ ให้ได้คิดถึง และให้ได้รัก…
           เข้าใจแล้วว่าเพราะอะไรถึงร้องเพลงนั้นขึ้นมาให้ฟัง เข้าใจแล้วว่า เพราะอะไรถึงเฝ้าคอยถาม… ทำไมชั้นถึงโง่แบบนี้นะ ตอนที่ได้อยู่ใกล้ๆ กลับไม่เห็นความสำคัญ พอจากกันไปกลับโหยหาและต้องการพบ… แต่สิ่งที่คิดก็กลับเป็นเพียงแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ ที่ไม่อาจเป็นไปได้ หากเพียงเราคิดให้มากกว่านี้ ในตอนที่ถูกถาม คงไม่ปล่อยให้เจ้าของสร้อยเส้นนี้จากไปทั้งอย่างนั้นแน่… เมื่อได้เห็นความเป็นไปของคนๆ นั้นที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในทีวีจอสี่เหลี่ยม จับต้องหรือสัมผัสไม่ได้อีกต่อไปก็ยิ่งรู้สึกว่า ความเป็นไปได้ที่ควรคู่มันไม่มีวันหวนกลับคืนมาอีกครั้ง ไม่อาจเข้าใกล้คนๆ นั้นได้อีกต่อไปแล้ว…
           เราเองก็ต้องขอบคุณเหมือนกัน… ที่ทำให้ได้รู้ซึ้งถึงคำต่างๆ ที่ไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นเรื่องราวขึ้นมาได้ ถ้าไม่เจอเค้า…เราก็คงจะยังเป็นคนที่มีความคิดขวางๆ อยู่ต่อไป ต่อแต่นี้… ชั้นจะรู้จักเก็บรักษาและถนอมสิ่งที่มีค่าในชีวิตเอาไว้ จะไม่ปล่อยให้มันเป็นความฝันเหมือนอย่างเรื่องของนายอีกต่อไป จะยังคงเก็บรักษาไว้ให้ได้รัก ให้ได้คิดถึง จะไม่ปล่อยให้มันลบเลือนหายไปกับกระแสของกาลเวลาตลอดไป…..

เทพธิดาของชั้น
Ogata Ryuichi

++ never ending Story ++

From mrs.tachibana

          ฟู่…. กว่าจะพิมพ์เสร็จเล่นเอาแย่เลยอ่ะ หาเวลาพิมพ์ไม่ค่อยจะได้เลยแฮะ แต่ในที่สุดก็พิมพ์เสร็จจนได้ เรียวเฮ โผล่มานิดหน่อยคงไม่ว่ากันนะคะ บอกตรงๆ ว่าจริงๆ แล้ว ไม่ได้ตั้งใจให้ตาคนนี้โผล่มาในฟิคเรื่องนี้เลย เพียงแต่เพื่อนรักเค้าโวยมาว่าเหตุไฉนลิ่งลิ้งของเค้าจึงไม่มีบท ^^'' เอ้าเจ๊จ๋า ใส่บทให้ลิ่งลิ๊งของเธอแล้วนะคะ ^^ มะมีอะไรจะพูดแฮะ งั้น… ขอพูดแค่ว่า…
          “จงคิดว่าสิ่งที่ตนทำ และสิ่งที่ตนเลือก คืออิสระในชีวิตของตนเอง” แล้วกันนะคะ ^^

contact to me
name:
email:
Subject:
Message

 

Close to you 1 / 2 / 3 / 4 / 5 / 6 / 7

©2002 by Feel To w-inds.All right reseved.