*คำเตือน* นิยายเรื่องนี้จัดได้ว่าเป็นนิยายเฉพาะกลุ่ม หากท่านรับไม่ได้ หรืออย่างไร ก็ขอให้ออกไปจากหน้านี้โดยด่วน และอย่าได้กล่าวว่าผู้แต่งหรือผู้จัดทำโดยเด็ดขาด อีกทั้งนิยายเรื่องนี้ได้ถูกแต่งขึ้นจากจินตนาการของผู้แต่ง มิได้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใดและได้รับอนุญาตให้นำมาลงในเว็ปนี้เท่านั้นห้ามมิให้ผู้ใดนำไปใช้ในด้านอื่นๆ ขอบคุณค่ะ

Close to you
By Feel To w-inds.

Chapter V

          “แอ๊ด…” เสียงประตูห้องน้ำเปิดออกพร้อมร่างบางที่เริ่มคุ้นชินตาเดินออกมาผมเผ้าเปียกปอนเหมือนกับเมื่อคืนที่ได้เห็น เพียงแต่ความรู้สึกที่มีมันต่างออกไปจากในตอนก่อนหน้านี้เท่านั้น “ริวจิจัง จะอาบน้ำเลยหรือเปล่า ชั้นเปิดน้ำใส่อ่างไว้ ถ้ายังจะได้ไปปิดให้” เคตะกล่าวเสียงใสพร้อมเอียงคอมองอีกฝ่ายอย่างเฝ้ารอคำตอบ “เอ่อ…อ…อาบเลยเดี๋ยวจะอาบเดี๋ยวนี้แหละ ขอบใจ…” เมื่อได้รับคำตอบเจ้าหน้าสวยก็ยิ้มรับให้เช่นเคยพร้อมลงนอนซุกตัวลงไปใต้โต๊ะแล้วเปิดทีวีดูรายการโปรดของตนเหมือนเมื่อคืนเช่นเดิมไม่ได้มีทีท่าวิตกกังวัลหรือระแวงอะไรให้เห็นแม้แต่น้อย นั่นดูจะทำให้บรรยากาศมัวๆ และอึมครึมภายในบ้านดูผ่อนคลายลงไปได้อีกเยอะ ดูทีตัวริวอิจิเองก็แอบลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเช่นเดียวกัน ที่อีกฝ่ายไม่ติดใจสงสัยถามหรือรื้อฟื้นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เมื่ออีกฝ่ายไม่ถามฝ่ายที่กำลังกลัวการถูกตั้งคำถามจึงรู้สึกปรอดโปร่งและเดินเข้าห้องน้ำไปได้อย่างสบายใจ ไม่ได้ติดใจฉุหคิดเลยแม้แต่น้อยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดและรู้สึกเช่นไรอยู่ในขณะนี้!!!
           “นายเชียร์ทีมไหนน่ะ” เสียงทุ้มกล่าวถามหลังจากอาบน้ำชำระล้างร่างกายเสร็จเรียบร้อยแล้วพร้อมลงนั่งบนเบาะใกล้ๆ กับอีกฝ่ายที่ไม่ได้มีทีท่าใดๆ แสดงออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย “ไม่ได้เชียร์นี่” ร่างบางตอบพร้อมเท้าคางดูการแข่งขันต่อไป “อ้าว ไม่เชียร์แล้วนายดูไปทำไมกันล่ะเนี่ย” ริวอิจิ ถามอย่างงงๆ คนอะไรดูแข่งกีฬาแต่ไม่เชียร์ทีมไหนไว้ในใจ โลกนี้มีคนแบบนี้อยู่ด้วยเหรอเนี่ย
           “อืม.. ไม่รู้สินะก็มันมีความรู้สึกว่าถ้าเกิดเราเชียร์ทึมใดทีมนึงอยู่ แล้วทีมนั้นเกิดแพ้ขึ้นมามันจะรู้สึกแย่ยังไงไม่รู้สิ แล้วอีกอย่าง แต่ละทีมที่ลงแข่งต่างคนต่างก็พยายามกันอย่างเต็มที่ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ถ้าชั้นเลือกที่จะเชียร์ทีมใดทีมนึง มันรู้สึกว่า… มัน.. ไม่ดีกับอีกทีมนึงเลยนะ นายว่างั้นมั้ย? ไม่หละชั้นไม่ถามความเห็นนายดีกว่า เดี๋ยวนาวก็ว่าชั้นอีก หาว่าชั้นพิลึก” เคตะพูดอธิบายทั้งหมดที่เคาคิด เค้ารู้สึก แต่สุดท้ายก็ไม่เปิดโอกาสให้ริวอิจิออกความเห็น คราวนี้ดูเหมือนเค้าจะคิดผิดไปถนัด ริวอิจิเองไม่ได้มองว่าเค้าแปลก หรือพิลึกตามที่เค้าคิดเลยแม้แต่น้อย แต่กลับคิดว่าเค้าอ่อนโยนไปและใจดีเอามากๆ ซะจริงๆ
           แม้ว่าการเชียร์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในฝ่ายที่เราชอบจะไม่เป็นการผิดก็จริง แต่ถ้ามาลองคิดๆ ดูแล้ว ผู้เล่นแต่ละทีมต่างก็พยายามด้วยกันทั้งนั้น ในเมื่อความพยายามก็ไม่ได้มีมากน้อยไปกว่ากัน แล้วถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าไม่มีคนเชียร์ ไม่มีคนดูพวกเค้าอยู่ เค้าจะรู้สึกอย่างไร นี่สินะเหตุผลที่เจ้าหมอนี่ตัดสินใจที่จะไม่เชียร์ฝ่ายใดเลย…
           “นายนี่คิดอะไรได้พิลึกชมัด” ริวอิจิยิ้มกลั้วหัวเราะ “นั่นปะไร ว่าชั้นจนได้ ถึงไม่อยากบอกไง” ร่างบางเมินหน้าขมวดมุ่ยของตนไปทางอื่นสร้างรอยยิ้มให้ริวอิจิได้อีกครั้ง “ฮะๆ ก็จริงไม่ใช่เหรอ มีใครที่ไหนเค้าคิดกันแบบนี้บ้างเล่าฟะ มีแต่คนเค้าคิดที่จะเชียร์ข้างที่ตัวเองชอบกันทั้งนั้นแหละ” “ติ๊ดๆๆ” เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นทำให้การสนทนาของคนทั้งคู่ชะงักลง เคตะรีบลุกออกจากที่กำลังนอนเล่นอยู่เดินตรงไปที่กระเป๋าใบเล็กของตนที่ติดตัวมาด้วย
          “มือถือนายเหรอ?” “เปล่าไม่ใช่…เพจน่ะ..” เด็กหนุ่มหยิบเพจเจอร์ของตนขึ้นมาดู ทันทีที่อ่านสีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เค้าเอ่ยอะไรออกมาแม้แต่น้อย “มีอะไรหรือเปล่า?” “เปล่า…ไม่มีอะไร… ไม่อะไร…”
           “งั้นเหรอ? … เฮ่อไงชั้นไปนอนก่อนแล้วกันนะ พรุ่งนี้ถ้าขืนไปสายอีกเสียชื่อแย่” หนุ่มแก้มกลมเดินหาวหวอดเข้าห้องตัวเองไป ปล่อยให้ร่างบางนั่งจ้องมองดูข้อความในเพจซ้ำแล้วซ้ำเล่าคล้ายกับว่าอยากจะให้ข้อความที่ปรากฏนั้นหายไป!?! เคตะนั่งกอดเข่าจับมือตัวเองเป็นวงกลมเล็กๆ โยกตัวไปมาอย่างใช้ความคิดพร้อมจ้องมองไปยังประตูห้องของริวอิจิ มองอยู่แบบนั้นจนในที่สุดถึงตัดสินใจลุกขึ้นคว้าหมอนและผ้าห่มที่ริวอิจิเตรียมวางไว้ให้ที่ฟูกนอนสำรอง จับลากมาที่หน้าห้องใหญ่ของตัวห้องพร้อมเคาะประตูถี่รัวตามนิสัยของตน
           “ปังๆๆๆ” “โว้ย อะไรของนายวะ ยังไม่ทันไรเลย นี่จะอยู่อย่างสงบสุขกับเค้าบ้างไม่ได้เลยหรือไงวะเนี่ยชั้น” เสียงบ่นโวยวายดังมาจากด้านในพร้อมกับเสียงฝีเท้าปึงปังที่ใกล้เข้ามาจนบานประตูถูกเปิดออกด้วยคนด้านในที่ขณะนี้หน้าตาไม่ต่างอะไรกับยักษ์ดีๆ นี่เอง!!!
           “มีไร..” “ชั้นไม่อยากนอนข้างนอก ชั้นขอเข้าไปนอนกับนายก็แล้วกันนะ” พูดจบเจ้าตัวก็เดินสวนเข้าไปวางหมอนตัวเองลงข้างๆ หมอนเดิมที่มีอยู่แล้วในห้อง พร้อมทิ้งตัวตามลงไปในทันทีทำเอาเจ้าของห้องมองตามอ้าปากค้าง.. “อะ… อะไร ก…ก็กะจะนอนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไงเล่าแบบนี้น่ะ ทีหลังไม่ต้องก็ได้มั้ง เดินเข้ามานอนเองเลยก็หมดเรื่อง จะบอกทำไมวะเนี่ยแบบนี้” ถ้อยคำประชดประชันเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นพฤติกรรมของอีกฝ่ายที่เอ่ยคำ ‘ขออนุญาต’ ก่อนเดินถือวิสาสะเข้ามา ‘นอน’ ภายในห้อง ‘บนเตียง’
           “อื่ม.. ก็คิดว่าจะทำงั้นอยู่เหมือนกัน แต่นายชอบว่าชั้นอยู่เรื่อยเลยพูดบอกสักหน่อยดีกว่าไม่บอกนะนายว่างั้นมั้ย?” เจ้าตัวแสบนอนซุกอยู่ใต้ผ้านวมนุ่มหลับตาพริ้มบอกเล่าถึงความในใจของตนที่มำให้ริวอิจิยืนนิ่งไปเลย “เหอะๆ ตั้งใจจริงๆ เรอะ แกจะบ้ารึไง! มีอย่างที่ไหนเจ้าของห้องยังไม่ได้อนุญาตก็เดินเฉิบๆ เข้ามาแล้วอ่ะ ใครเค้าทำแบบนี้กัน!!”
           “ก็ชั้นไง… ยังไม่ชิดอีกเหรอริวอิจิจัง” กวนโมโห… ยั่วโทสะ หาเรื่องให้ด่าได้ตลอดเวลา มีเรื่องให้ต้องปวดหัวและคิดตาม เนี่ยแหละเค้าหละ อื่ม ความจริงแล้วไอ้อาการแบบนี้ของมัน เราน่าที่จะชินจริงๆ นั่นแหละไม่น่าเล้ย… มันผิดตั้งแต่ยอมให้มันเข้ามาในบ้านนี่แล้วหละ เฮ่อ…
           หลังจากคิดได้และปลงตกว่าจริงๆ ควมผิดทั้งหมดอาจเกิดจากตัวเองก็เป็นได้จึงต้องจำใจเดินออกไปปิดทีวีปิดไฟ และเข้าห้องนอนของตนลงนอนข้าง “ไอ้ตัวแสบ” ที่เก็บตกมาจากข้างทางอย่างไร้อารมณ์

+++++++++++++++++++++++++++++++

           แสงไฟสีเหลืองนวลจากไฟริมทางที่เรียงรายอยู่ตามถนนสาดแสงส่องสว่างสลัวๆผ่านกระจกใสที่มีผ้าม่านผืนบางกรองแสงจากภายนอกให้เหลือเพียงแสงสลัวนวลตาพอให้ภายในไม่มืดทึบอับแสงมากนัก เด็กหนุ่มทั้งสองต่างนอนเคียงกันบนฟูกนอนผืนใหญ่ในห้องเล็ก ต่างคนต่างก็คงสติลืมตาเบิกโพรงไม่ต่างกัน หนึ่งหนุ่มอาจเป็นเพราะไม่เคยคุ้นกับการต้องนอนเบียดกายข้างๆ คนอื่น แม้การจากบ้านมาเพื่อมาอยู่ตัวคนเดียว เกิดขึ้นเพียงไม่นานแต่ตั้งแต่เล็กจนโตก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะนอนอยู่ข้างกายคนอื่นเช่นคืนนี้ กับหนุ่มน้อยที่เหลือล่ะ เหตุผลของการนอนไม่หลับจะเป็นเพราะสาเกตุเดียวกันอย่างนั้นเหรอ?!
           “นาย… ยังไม่หลับใช่มั้ย…” จู่ๆ เคตะที่นอนหันหลังเงียบอยู่นานก็กลับเอ่ยเสียงหวานใสของตนออกมาเบาๆ ทำให้ริวอิจิเองที่นอนหันหลังให้อยู่เข่นกันสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบออกมาบ้าง “เออ…” “ชั้นก็นอนไม่หลับเหมือนกัน…” “งันเหรอ…” “…” “…” …..
           “ตอนที่นายมาอยู่ที่นี่คนเดียวนายรู้สึกยังไงมั่งอ่ะ” จู่ๆ คำถามสั้นๆ ง่ายๆ ก็หลุดออกมาเหมือนจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะถาม แต่เพราะไม่อยากปล่อยให้เงียบเสียมากกว่าถึงทำให้คำถามนี้หลุดออกมาได้ “ถามทำไม?” ร่างท้วมถามกลับพร้อมขยับกายเล็กน้อย “ไม่รู้สิ… คงเพราะอยากรู้หละมั้งถึงได้ถาม… เล่าให้ฟังได้มั้ยเรื่องที่นายขอมาอยู่คนเดียวเนี่ย ไหนๆ ก็นอนไม่หลับแล้ว ยังไงก็ดีกว่าอยู่เงียบๆ ไม่ใช่หรือไง…”
          อืม…มันก็จริงอย่างที่เค้าว่านั่นแหละอย่างน้อยการพูดคุยก็อาจทำให้เกิดการง่วงขึ้นมาและผ่อนคลายความเครียดที่มีในตอนนี้ลงได้บ้าง อาจจะทำให้หลับง่ายขึ้นก็เป็นได้
           “มันก็ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่ชั้นรู้สึกว่าอยากที่จะลองใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังดูบ้างมันก็เท่านั้น ก็เลยลองขอทางบ้านดู ตอนแรกบ้านแทบแตก ไม่มีใครยอมให้ชั้นออกมาอยู่ลำพังคนเดียวสักคน แต่สุดท้ายชั้นก็ทำจนสำเร็จ ครั้งแรกที่มาอยู่รู้สึกดีเป็นบ้า ทำอะไรด้วยตัวเอง มีชีวิตเป็นของตัวเอง อยากนอนก็นอน อยากกินก็กิน อยากจะดูทีวีหรือไปที่ไหนๆ ก็ได้ โดยที่ไม่ต้องมีคนคอยมาจ้ำจี้จ้ำไช คอยคุมเวลา อิสระสุดๆ ชั้นรู้สึกว่าชีวิตแบบนี้นี่แหละคือชีวิตในแบบของชั้น”
           “แต่นายก็กลับบ้านทุกเดือนไม่ใช่เหรอ?” “… นั่นน่ะเพิ่งไม่นานมานี่เอง ความจริงแล้วชั้นไม่ได้กลับบ้านเลยช่วงแรกๆ อยู่คนเดียวใช้ชีวิตคนเดียว ไม่เคยกลับไปบ้านสักครั้ง แต่แล้วจู่ๆ มันก็เกิดเหงาขึ้นมาหันไปทางซ้ายก็ฝาบ้าน ทางขวาก็ครัว มารู้ตัวอีกทีก็ อื่ม นี่เราอยู่คนเดียวงั้นเหรอเนี่ย? ตอนนั้นที่เริ่มถามตัวเองก็ถึงรู้ว่าจริงๆ แล้วการใช้ชีวิตอยู่อย่างลำพังเนี่ยมันเหงามากเลยนะ เพราะฉะนั้นกลับบ้านเดือนละครั้ง 2 ครั้งน่าจะเป็นการดีที่สุด เนี่ยแหละชั้นถึงได้กลับไปที่บ้านยังไงล่ะ แต่จะว่าไปช่วงนี้งานที่โรงเรียนเยอะมากนะ เยอะจนไม่มีเวลากลับไปที่บ้านเลย 2 เดือนได้แล้วมั้ง คิดถึงเหมือนกันนะเนี่ย… ว่าแต่นายเหอะ… นายเองก็อยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอ ไม่เหงาหรือไงฮึ” หลังจากเล่าเรื่องของตนเองจนจบ เค้าก็เริ่มถามคำถามเดียวกันนี้ย้อนกลับไปที่อีกฝ่ายบ้าง
           “ก็อาจจะเหงาหละมั้ง ชั้นไม่รู้หรอก เพราะว่าถึงชั้นจะบอกว่าเหงายังไง ชั้นก็ไม่สามารถที่จะกลับบ้านไปหาครอบครัวอย่างนายได้ทุกเดือนๆ หรอก การออกมาอยู่ตามลำพังเหมือนกันก็จริงแต่ทุกอย่างในแบบของชั้นมันดูเหมือนจะต่างกันโดยสิ้นเชิงกับแบบของนายเชียวหละ บริษัทจัดให้ชั้นเข้าพักที่บ้านของบริษัทที่จัดไว้ให้
           ทุกสิ่งทุกอย่างดูครบครัน มีทุกอย่างตามที่ต้องการ อยากได้อะไรก็มีคนคอยกามาให้ ฟังดูดีเนอะ นายว่ามั้ย? เช้ามามีคนมาปลุก คนทำอาหารมาให้ มีคนมาคอยรับคอยส่ง คอยบอกว่าเวลานั้นต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ กลางวันก็มีคนคอยกาของกินที่ชอบมาให้อีก ตกเย็นก็มีคนคอยขับรถรับส่งจนถึงบ้านมีคนคอยบอกตารางเวลาในวันต่อไป การอยู่คนเดียวของนายคืออิสรภาพ แต่การอยู่คนเดียวในแบบของชั้นก็คือ… คุกดีๆ นี่เอง…” จู่ๆ เสียงของเจ้าตัวเปี๊ยกจอมป่วนก็ขาดหายไปทำให้ริวอิจิต้องพลิกตัวลอบกลับมามองดู…
แผ่นหลังเล็กๆ บอบบางยังคงนิ่งไม่ไหวติง ไม่บอกอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่ไม่นานลมหายใจก็ถูกผ่อนออกมาเบาๆ พร้อมด้วยประโยคพูดต่อไป…
           “แม้อยากย้อนกลับก็ไม่สามารถจะทำได้ อยากจะหนีก็ไม่รู้ว่าจะหนีไปที่ไหน หนีไปเพื่ออะไร… เพราะสุดท้าย… ยังไงซะ ชั้นก็ยังคงต้องกลับไปอยู่ในคุกนั่นอยู่วันยันค่ำ…”
           “นายหนีมาสินะ…” “หือ?” “วันที่เจอกัน นายบอกว่าไม่มีที่ไป …เพราะว่านายหนีมาสินะเคตะ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นกลางปล้อง ทำเอาคนอีกฝ่ายนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยตอบออกมา “ฟู่… ใช่ ชั้นหนี ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชั้นหนีทำไม หนีจากอะไร เพราะยังไงซะบทสรุปสุดท้ายมันก็ต้องจบลงด้วยการกลับไปยืนที่จุดๆ เดิม จุดที่ชั้นพยายามจะหนีออกมา หรือหันหลังให้กับมัน ชั้นคงโง่มากเลยนะว่ามั้ย” เคตะพลิกตัวกันกลับมายิ้มหวานให้กับริวอิจิที่กำลังจ้องมองเค้าอยู่ แต่กลับไม่มีรอยยิ้มส่งให้อย่างที่คิด อีกฝ่ายกลับถอนหายใจมองจ้องกลับมาด้วยแววตาจริงจังต่างจากเช่นทุกทีที่เคยเป็น
           “ใช่โง่มาก ทุกอย่างที่เกิดคือสิ่งที่นายเลือกเอง นั่นน่ะคือความจริงที่ต้องรับผิดชอบ สิ่งที่นายเลือกคือการเป็นนักร้อง ซึ่งนายเองก็ย่อมต้องรู้ดีว่า หลังจากที่นายได้ตามที่หวังไว้ ตามที่นายได้เลือกไว้แล้วนั่น มันจะมีผลอะไรตามมา แล้วจู่ๆ ผลของการที่นายตัดสินใจเลือกก็กลับทำให้นายรับไม่ได้เสียเอง คิดที่จะหนี คิดที่จะทิ้งมันไปให้พ้นๆ แบบนี้นายจะเลือกมันไปเพื่ออะไรกันล่ะ… ถ้าอิสระคือสิ่งที่นายต้องการหละก็… นายก็ทำให้มันคืออิสระของตัวนายเองดูสิ …แม้ทุกอย่างจะมีตามกำหนด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการถูกกำหนดกฏเกณฑ์นั่นคือการลดทอนอิสรภาพของตัวเองไปไม่ใช่เหรอ? เพียงแค่ตัวนายลองคิดดูว่าทุกสิ่งทุกอย่างคือตัวนายเอง คือสิ่งที่นายรัก นายหวัง และนายได้เลือกเอาไว้แล้ว แค่นี้มันก็คืออิสระของตัวนายเองแล้วนี่ การที่เรารู้สึกสนุกกับสิ่งที่เราเลือกแค่นี้ก็คือ สิ่งที่เรียกว่า อิสระแล้วหละ อื่ม…ชั้นอาจจะพูดมากไปก็ได้ แต่ว่าเนี่ยคือความคิดของชั้น ถ้าชั้นเป็นนายชั้นก็จะคิดแบบนี้นี่แหละนะ” เมื่อพูดจบรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้ากลมๆ นี้ให้เห็น แม้จะยังคงอึ้งกับคำพูดของอีกฝ่าย แต่ก็เข้าใจถึงเจตนาดีที่หยิบยื่นมาให้ตรงนี้
           เพราะแบบนี้แหละนะ ชั้นถึงได้เลือกที่จะตามเค้ามา เพราะถึงแม้จะดูเป็นคนขวางๆ ขี้หงุดหงิด ขี้โมโห แต่ในยามที่ต้องการความช่วยเหลือ ต้องการที่ปรึกษาก็สามารถที่จะเป็นที่พึ่งให้ได้ในยามสับสนหรือวิตกกังวลเช่นในขณะนี้… แรกพบกันก็เหมือนมีเส้นใยที่มองไม่เห็นชักพาให้ดึงเข้าหา ยิ่งได้อยู่ใกล้ๆ ยิ่งได้รู้จักก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่โหยหามานาน แล้วตัวเค้าล่ะ? รู้สึกอย่างที่เราเป็นอยู่ตอนนี้บ้างหรือเปล่า?
           “ขอบใจ… นายเป็นคนใจดีมากเลยรู้ตัวหรือเปล่าริวอิจิ” “เหรอ? ไม่รู้สิ คิดอะไรมากไปรึเปล่า… ถ้าชั้นเป้นคนดีอย่างที่นายพูดจริง สวรรค์คงไม่ประทานนายมาให้ชั้นหรอกมั้ง” “ไม่เคยได้ยินเหรอ สวรรค์มักทดสอบคนดีๆ ด้วยการส่งอุปสรรคต่างๆ มาให้เสมอน่ะ ฮะๆ โอ้ย!…” จู่ๆ เคตะที่กำลังหัวเราะร่วนอยู่ก็ร้องโอยขึ้นมากระทันหัน ทำให้คนที่นอนอยู่ข้างๆ คว้ามือข้างที่เจ็บขึ้นมาดูอย่างเร่งรีบ “เป็นไรน่ะ เจ็บแผลใช่หรือเปล่า มือนายอุ่นๆ … บวมด้วยสิ คงจะอักเสบสินะเนี่ย ไงเดี๋ยวชั้นปรับฮีทเตอร์ให้อุ่นขึ้นกว่านี้อีกหน่อยมั้ย บางทีอาจจะทำให้ดีขึ้นบ้างนะ อากาศหนาวๆ แบบนี้แผลมันจะยิ่งเจ็บน่ะ” เค้าจับมือร่างบางพลิกไปมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปหารีโมทย์เพื่อเพิ่มอุณหภูมิภายในห้อง
           “ไม่ต้องหรอกแค่นี้เองสบายมาก อากาศแบบนี้กำลังสบาย ชั้นไม่อยากรบกวนนายมากนักหรอก ไม่ต้องแล้วหละ” จู่ๆ ร่างบางก็เอื้อมมือข้ามตัวอีกฝ่ายไปคว้ารีโมทไว้เพื่อไม่เป็นการรบกวนไปมากกว่านี้ เพราะแค่ที่เป็นอยู่ก็ดูเหมือนมันจะมากเกินพอสำหรับตัวเค้าแล้ว “แต่ว่า… “ เมื่อหันหน้ากลับมาอีกครั้งลมหายใจอุ่นๆ ก็ปะทะเข้าที่ตรงใบหน้า มันแนบชิดเสียจนต่างคนต่างชะงักไปด้วยกันทั้งคู่ ดวงตาที่จ้องมองกันและกันดูราวกับจะหยุดทุกสิ่งไว้เพียงยามนี้เท่านั้น ริวฝีปากอิ่มสวยสีแดงเรื่ออยู่ห่างออกไปไม่กี่เซ็นต์ เส้นผมอ่องบางเรียบลื่นตกลงมาเคลียแก้มใสจนได้กลิ่นหอมอ่อนบางโชยออกมาจางๆ
           ริวอิจิวางมือจากรีโมทตรงหัวนอนหมายจะโน้มตัวอีกฝ่ายให้เข้าชิด แต่ก็กลับต้องแปลกใจเมื่อปากอิ่มสวยตรงหน้ากลับเป็นฝ่ายโน้มต่ำลงมาประกบเรียวปากบางของตนอย่างแผ่วเบาเสียเอง!!! แต่แค่เพียงครู่เรียวปากนั่นก็พลันถอนออกแล้วจ้องมองดูเค้าอีกครั้ง “นี่สำหรับเมื่อตอนหัวค่ำ… ชั้นขอเอาคืน” รอยยิ้มหวานปรากฏให้เห็นอีกครั้งทำเอาใจของเจ้าหนุ่มแทบหยุดเต้น เพราะรอยยิ้มหวานๆ นี่หรือเปล่าที่ทำให้ใครต่อใครพากันหลงใหล และเพราะรอยยิ้มนี่หรือเปล่านะ ที่ทำให้ตัวเราพาตัวเองเข้ามาพัวพันกับตัวเค้าแบบนี้ รู้ทั้งรู้ว่าเป็นผู้ชายแต่ก็ยังถลำลงมาได้ขนาดนี้ แม้ผิดก็ยังทำนี่สินะที่เค้าว่าความผิดพลาดมันน่าหลงใหล หอมหวานและเกิดสิ่งยั่วยวนให้หลงผิดไปได้มากกว่าการทำในสิ่งที่ถูกต้อง!!!
           ริวอิจิโน้มตัวเคตะลงมาประกบริมฝีปากอิ่มสวยนั้นอีกครั้ง เพียงแต่ความรู้สึกในครั้งนี้แตกต่างออกไปจากที่ผ่านมา เรียวลิ้นอุ่นชื้นแทรกเข้าสัมผัสปลายลิ้นของอีกฝ่าย ยิ่งหนีก็ยิ่งไล่ แต่พอไล่ก็กลับเป็นฝ่ายถูกเหนี่ยวรัดซะเอง ความหอมหวานของกันและกันกลับทำให้คนทั้งคู่ดึงดูดเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว ลมหายใจที่รินรดกันและกันมันกลับบีบเค้นให้อารมณ์เร้นภายในที่หลับใหลตื่นขึ้นจนห้ามปราบไม่อยู่ ริวอิจิผละจากปากอิ่มสวยมาสัมผัสความหวานของพวงแก้มเนียลนุ่มและระเรื่อยลงมาตามต้นคอระหงนั้น พร้อมพลิกร่างบอบบางของอีกฝ่ายให้กลับเป็นฝ่ายนอนแนบนิ่งอยู่บนผืนผ้าอ่อนนุ่มแทน
           มือหนึ่งเกลี่ยไร้เส้นผมที่เหมือนแพรไหมสีน้ำตาลอ่อนบางให้หลีกถอยไปจากปรางค์แก้มใสสีแดงระเรื่อนั่น อีกมือหนึ่งก็คว้าจับโอบรอบเอวคอดเล็กของอีกฝ่ายใต้เนื้อผ้าบางเบาที่บัดนี้หลุดลุ่ยจนเผยให้เห็นผิวขาวเนียนเรียบลื่นได้เด่นชัด เนินอกขาวที่แบนราบแม้ไม่อาจเทียบหญิงสาววัยแรกรุ่นได้ แต่กลับหอมหวานเย้ายวนใจให้หลงใหลไม่แพ้กัน กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่ที่เคยคุ้นกลับแตกต่างออกไปจากที่เคยได้กลิ่นเช่นทุกวันที่ผ่านมา ทั้งๆ ที่คือกลิ่นที่คุ้นชินอยู่ทุกเมื่อยามที่ตนต้องชำระร่างกายในทุกเช้าค่ำ แต่บัดนี้มันกลับอบอวลไปด้วยกลิ่นกอมรัญจวนใจพาให้เตลิดโลดแล่นไปกับห้วงอารมณ์ที่ไม่อาจห้ามปรามได้
           เสียงลมหายใจที่ขาดหายไปเป็นช่วงๆ พร้อมเสียงครวญหวานหูยามเมื่อถูกสัมผัสปลุกเร้าและรุกรานจากอีกฝ่าย สติสัมปชัญญะที่เคยมีพร้อมกลับจมหายไปพร้อมๆ กับความอบอุ่นที่ต่างฝ่ายต่างหยิบยื่นให้แก่กันและกัน ริมฝีปากบางยังคงวนเวียนควาญหาความหอมหวานจากร่างบางในอ้อมกอดของตนอีกครั้ง ก่อนจะประทับรอยจูบเน้นลงบนไหล่ขาวเนียนที่โอบรัดอยู่รอบคอตนด้วยอารมณืที่ไม่ต่างกัน…
           “ร.. ริว อา…ชั้น อุ๊บ” เพียงแค่จะเอ่ยปากพูด อีกฝ่ายก็กลับหยุดประโยคคำพูดนั้นไว้ด้วยริมฝีปากของตนเสียแล้วเสียงที่ต้องการจะเปล่งออกมาก็กลับถูกกลืนหายไปจนหมดสิ้น พร้อมกับความรู้สึกเจ็บแปลบที่จู่ๆ ก็แล่นผ่านและรุมเร้าเข้ามาจนทำเอาจุกเสียดแทบสิ้นสติ… มันจุกล้นแล่นอยู่ตรงท้องน้อยจนทำเอาไม่อาจยับยั้งตัวเองได้ แต่ในขณะเดียวกันความรู้สึกอบอุ่น ท่วมท้นที่อีกฝ่ายมอบให้ก็กลับกลบความรู้สึกเจ็บปวดที่มีจนมลายหายสิ้น การเกร็งขืนและโอนอ่อนรับถูกสับเปลี่ยนเวียนไปตามท่วงทำนองที่ก่อเกิด ดวงตาพล่ามัวเอ่อท้นไปด้วยหยาดน้ำใสๆ ที่เกาะพราวบนแพขนตางอนยาวสวยนั้น แม้จะเจ็บปวดบ้างในบางครั้งแต่ก็กลับผ่อนคลายลงได้ในเวลาต่อมาเมื่ออีกฝ่ายเฝ้าจูบพรมยามเมื่อเห็นสีหน้าเจ็บปวดของร่างเล็กในอ้อมกอดของตน
           บ่อยครั้งที่ทนความเจ็บแปลบที่ได้รับไม่ไหวจนเผลอกัดริมฝีปากของอีกฝ่ายลงไปอย่างไม่ทันได้ยับยั้ง แต่สิ่งที่ได้กลับคืนมา กลับเป็นรอยยิ้มและดวงตาอ่อนโยนที่มองกลับมาด้วยความห่วงหาอาทร มืออุ่นหนานุ่มคอยปลอบประโลมลูบไล้เรือนผมอยู่ตลอดเวลายามที่ร่างในอ้อมแขนแสดงสีหน้าเจ็บปวดให้เห็น
           “ทำไม..ถึงจูบชั้น…” คำถามที่จู่ๆ ก็หลุดออกมาเบาๆ เหมือนไม่ได้ตั้งใจจะถาม ทำให้ริวอิจิชะงักไปขณะหนึ่ง “เมื่อกี้นายพูดว่าอะไร ชั้นไม่ได้ยิน… เคตะ” “เปล่า…อึ๊…ไม่มีอะไร…” แล้วเรียวแขนเล็กบอบบางก็โอบรัดรอบคอของริวอิจิให้กระชับแน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิมพร้อมดึงโน้มลงมาจูบรัดปลายลิ้นอุ่นนั้นอีกหนโดยที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้แข็งขืนแต่อย่างใด กลับรับสัมผัสนั้นอย่างโดยดีเช่นเดียวกัน ลมหายใจที่รินรดไปทั่วร่างปลุกเร้าจนทุกส่วนตอบสนองสัมผัสของอ้อมแขนแกร่งในทุกครั้งที่เคลื่อนกายเข้าหา แม้เจ็บปวดก็ยังคงไม่ปริปาก ไม่แข็งขืน แต่ก็ดูเหมือนริวอิจิเองก็จะพอรู้ได้ด้วยสัญชาติญาณของตัวเอง เค้าคว้าจับมือคู่สวยไล้ไปมาอย่างทะนุถนอมและหยุดยั้งอารมณ์เร้นภายในกายตนที่กำลังบดขยี้และเผาไหม้ร่างเล็กอย่างรุนแรงให้ดับวูบลงไปเป็นระยะๆ เพื่อไม่ให้ร่างน้อยในอ้อมกอด แตกสลายลงไปยามที่เค้าไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้!
           แสงไฟสลัวๆ ที่สาดส่องเข้ามาในห้องเป็นระยะๆ ยามรถบนถนนแล่นผ่าน เผยให้เห็นผิวขาวนวลเนียนไร้ซึ่งร่องรอยตำหนิใดๆ บนร่างกายเปลือยเปล่านี้ หรือที่มีก็คงจะมีเพียงร่องรอยของห้วงอารมณ์เร้นจากกายอีกฝ่ายที่จูบพรมขบเม้มไปทั่วร่างสวยนี้เท่านั้น ความอบอุ่นจากเครื่องทำความร้อนภายในห้องยังคงทำงานตามปกติต่อไป แต่ใครเลยจะรู้ได้ว่ายังมีอีกความเร่าร้อนหนึ่งที่แฝงเร้นอยู่ภายในคนทั้งสองนี้ ไม่ช้านานร่างกายทุกส่วนก็ถูกปลุกเร้าให้เร่งร้อน ทั่วทั้งสรรพางค์สั่นสะท้านสู่สูงสุดและตกลงเพียงชั่ววูบ เสียงหอบหายใจของทั้งสองฝ่ายดังประสานไปพร้อมๆ กัน เคตะพลิกตัวขยับถอยให้อีกฝ่ายลงนอนล้มลงข้างกายเคียงข้างอีกครั้ง…
           ความเงียบงันยังคงเข้าปลกคลุมพื้นที่ภายในห้องอีกครั้งหนึ่ง เสียงรถที่วิ่งผ่านไปมาในยามค่ำคืน เสียงเพลงจากวิทยุที่ดังแว่วมาไกลๆ จากที่ไหนสักแห่งในตึกแห่งนี้ เสียงเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลายที่ยังคงไม่หลับใหลส่งเสียงเบาๆ ออกมา สติที่ขาดหายไปหวนคืนกลับมาสู่ร่างอีกครั้ง ความคิดผิดชอบชั่วดีทั้งหลายเริ่มตีแผ่ รุมเร้า ครอบงำอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งที่เกิดมันเหมือนกับคนขาดสติควบคุมอะไรไม่ได้ แล้วจะทำไงกันล่ะ ทำไปแล้วนี่… แล้วต่อไปจะต้องทำยังต่อล่ะ??

Blow to be continue...

contact to me
name:
email:
Subject:
Message

 

Close to you 1 / 2 / 3 / 4 / 5 / 6 / 7

©2002 by Feel To w-inds.All right reseved.