สัญญาณต่าง ๆ ถูกมอบหมายให้ทำหน้าที่ดังนี้

    Transmit Data ( TD ขาที่ 2 )
    เป็นสัญญาณที่ส่งออกจาก DTE ( หรือตัวไมโครคอมพิวเตอร์ ) ไปยังโมเด็มหรือต่อเข้าโดยตรงกับไมโครคอมพิวเตอร์อื่น หรือเครื่องพิมพ์ เมื่อไม่มีสัญญาณส่งออกสถานภาพของลอจิกที่ขานี้จะมีค่าเท่ากับ " 1 " หรือเทียบเท่ากับสต๊อปบิต

    Receive Data ( RD ขาที่ 3 )
    เป็นทางของสัญญาณเข้าไปยัง DTE ( หรือตัวไมโครคอมพิวเตอร์ ) เมื่อไม่มีสัญญาณรับเข้ามา ขานี้จะมีสถานภาพทางลอจิกเป็น " 1 "

    Request To Send ( RTS ขาที่ 4 )
    ใช้สำหรับส่งสัญญาณไปยังโมเด็มหรือเครื่องพิมพ์เป็นการเรียกร้องที่จะส่งสัญญาณมาทางขา 2 สัญญาณนี้ใช้คู่กับ CTS หรือ Clear to send อุปกรณ์รับหากได้รับสัญญาณ RTS จะตรวจสอบตัวเองว่าพร้อมจะรับสัญญาณได้หรือยัง หากพร้อมที่จะรับก็ส่งสัญญาณออกไปที่สาย CTS

    Clear To Send ( CTS ขาที่ 5 )
    ดังอธิบายไว้ใน RTS เมื่อสัญญาณนี้อยู่ในสถานะออฟ ( negative voltage หรือลอจิก " 1 " ) หมายความว่าอุปกรณ์รับกำลังบอกว่าพร้อมที่จะรับข้อมูลแล้ว

    Data Set Ready ( DSR ขาที่ 6 )
    เมื่อสัญญาณสายนี้อยู่ในสถานะออน ( หรือลอจิก 0 ) เป็นการบอกไมโครคอมพิวเตอร์หรือฝ่ายส่งว่า โมเด็มต่อเข้ากับสายโทรศัพท์เรียบร้อยแล้วและพร้อมที่จะส่งได้แล้ว โมเด็มที่มีการหมุนหมายเลขอัตโนมัติจะส่งสัญญาณสายนี้ไปบอกให้คอมพิวเตอร์รู้ว่าต่อโทรศัพท์ได้สำเร็จแล้ว

    Signal Ground ( SG ขาที่ 7 )
    SG ทำหน้าที่เป็นระดับแรงดันอ้างอิงสำหรับทุก ๆ สายของสัญญาณ จะมีแรงดันเป็น " 0 " เมื่อเทียบกับสัญญาณตัวอื่น

    Carrier Detect ( CD ขาที่ 8 )
    โมเด็มจะส่งสัญญาณที่อยู่ในสถานะออน ( ลอจิก " 0 " ) ไปบอกไมโครคอมพิวเตอร์ เมื่อได้รับสัญญาณจากโมเด็มของอีกฝ่ายหนึ่ง สัญญาณนี้จะนำไปจุด LED บอกว่าได้รับสัญญาณจากโมเด็มอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว ไฟ LED จะอยู่บนหน้าปัดของโมเด็มเอง

    Data Terminal Ready ( DTR ขาที่ 20 )
    คอมพิวเตอร์เปิดสัญญาณสายนี้ให้ออน ( ลอจิก " 0 " ) เมื่อพร้อมที่จะติดต่อกับโมเด็ม โมเด็มส่วนมากจะไม่รายงานสถานภาพของตัวเอง ( CD, USR และ CTS ) ให้คอมพิวเตอร์รู้ หากคอมพิวเตอร์ไม่เปิดสัญญาณ DTR

    Ring Indicator ( RI ขาที่ 22 )
    สัญญาณนี้ใช้ในโมเด็มที่เป็นระบบตอบได้อัตโนมัติ ( Auto answer ) สัญญาณนี้จะออนเมื่อมีสัญญาณกระดิ่งมา และออฟระหว่างเสียงดังของกระดิ่ง

    ท่านผู้อ่าน อาจจะสับสนระหว่างสถานภาพของลอจิกกับสถานภาพของสัญญาณ โดยปกติเราจะคุ้นเคยอยู่กับความรู้สึกว่า เมื่อแรงดันเป็นบวก หรือสัญญาณออนลอจิกน่าจะเป็น " 1 " สำหรับสัญญาณต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้จะมีลักษณะตรงกันข้าม ทำไมเขากำหนดกฎเกณฑ์ออกมาอย่างนี้ ก็เพราะว่าแต่เดิมนั้นการติดต่อกันทางโทรเลข การทำงานของสัญญาณจะต้องครบวงจรทั้งฝ่ายส่งและฝ่ายรับ เมื่อลอจิกเป็น " 0 " หรือขณะที่ไม่มีอะไรส่งควรจะมีสัญญาณทางไฟฟ้าครบวงจรอยู่ตลอดเวลา จะได้รู้ว่าวงจรไม่ขาดระหว่างทางตรงไหน ควรจะรู้ว่าวงจรครบอยู่ตลอดเวลาก็โดยการให้ค่าแรงดันที่ฝ่ายส่ง ดังนั้นจึงถือกันว่าสัญญาณไฟบวกใช้เป็นลอจิก " 0 "
     
     
    Driver output logic levels with  15 V > 0 h > 5V
    3K to 7K load - 5 V > 0 1 > - 15V
    Driver output voltage when open circuit V0 < 25 V
    Driver output impedance with Power off R 0 > 300 ohms
    Output short circuit current I 0 < 0.5 A
    Driver slew rate dv / dt < 30 V/s 
    Receiver input impedance 7K > R in > 3K
    Receiver input voltage + 15 compatible with driver
    Receiver output with open circuit input MARK
    Receiver output with +3V input SPACE
    Receiver output with -3V input MARK
    +15 LOGIC 0 = SPACE = CONTROL ON
    +5 Noise Margin
    +3 Transition Region
    -3 Noise Margin
    -5 LOGIC 1 = MARK = CIBTRIK OFF
    -15  

    คุณลักษณะโดยย่อของสัญญาณ RS 232C

    มาตรฐาน RS 232C กับ V.24
    ได้กล่าวถึงมาตรฐานตามสมาคมผู้ผลิตอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ของสหรัฐอเมริกา หรือ RS 232C ไปแล้วสหประชาชาติและกลุ่มของ CCITT ( Comite Consultatif International Telephoniqe ) ได้ออกมาตรฐานออกมาเหมือนกัน และก็หลายฉบับตั้งแต่การประชุมครั้งที่สองที่กรุงนิวเดลฮี ปี ค.ศ. 1960 ออกมาเป็นสมุดปกแดง ครั้งที่สามเมื่อปี ค.ศ. 1964 ที่กรุงเจนีวา ออกมาเป็นสมุดปกน้ำเงิน จนกระทั่งครั้งที่ 6 เมื่อ ปี ค.ศ. 1977 ที่กรุงเจนีวา อีกเหมือนกัน ออกมาเป็นสมุดปกสีส้ม ( คงจะไล่กันจนหมดสีที่จะทำปกนะแหละจึงเป็นมาตรฐานถาวร ) ได้เป็นมาตรฐานออกมา 3 รูปแบบคือ

    V.24 บรรยายถึงการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์รับส่งข้อมูล ( DTE ) กับอุปกรณ์รับส่งข้อมูลปลายทาง

    V.28 บรรยายลักษณะทางไฟฟ้าสำหรับการใช้ Unbalance Double Current Interchange Circuit

    จะเป็นการบังเอิญหรือโชคดีของผู้ใช้ก็แล้วแต่ V.24 และ RS 232C มีลักษณะคล้ายคลึงกันจนสามารถไปด้วยกันได้ ท่านสามารถจะหารายละเอียดเปรียบเทียบได้จากหนังสือชื่อ Technical Aspects of Data Communication โดย John E.mcNamara จัดพิมพ์โดยบริษัท DEC ปี ค.ศ. 1977 หมายเลขหนังสือ ISBN 0-932376-01-0 หรือจะเขียนจดหมายไปขอรายละเอียดจากสหประชาชาติหรือสมาคมผู้ผลิตอุตสาหกรรมของอเมริกา ก็ตามแต่ท่านจะสะดวก

    RS 422 และ RS 433
    จุดอ่อนของ EIA RS 232C พอสรุปได้ 3 ประการ
                1.  ใช้ระดับแรงดันไฟเลี้ยง - 15 โวลต์ นอกเหนือ - 5 โวลต์ ซึ่งใช้ในวงจรลอจิก
                2.  ค่าตัวเก็บประจุของอุปกรณ์รับสัญญาณ RS 232C รวมทั้งตัวเก็บประจุสเตย์ ( Stay Capacitance ) ในสายจะต้องไม่มากกว่า 2500 pf สายที่รวมกันหลาย ๆ สายส่วนมากจะมีตัวเก็บประจำสเตย์ประมาณ 40 - 50 pf ต่อ 1 ฟุต ดังนั้นสายนี้จะต่อได้ยาวสุด 50 ฟุต ก่อนที่ค่าตัวเก็บประจุสเตย์จะมากกว่า 2500 pf ถ้าหากตัวเก็บประจุสเตย์มากกว่าที่กำหนดนี้ ช่วงเวลาการเปลี่ยนแปลงระดับของสัญญาณจะมากกว่า 4 เปอร์เซ็นต์ ตามที่ยอมให้ได้ในมาตรฐาน RS 232C เมื่อเป็นเช่นนี้ จะทำให้ฝ่ายรับตีความสัญญาณผิดไปจากความเป็นจริง มาร์กบิต ( MARK bit ) จากยาวกว่าสเปซบิต ( SPACE bit ) หรือสเปซบิตยาวกว่ามาร์กบิต ขึ้นอยู่กับวงจรการตรวจสอบการผิดเพี้ยนแบบนี้เรียกว่า " Bias distrotion "
     

       

       
       


       
       
            ปัญหาที่ 3 เป็นปัญหาทางสัญญาณไฟฟ้าที่ EIA ไม่แก้เอาไว้ สำหรับวงจรที่ใช้ IC ก็คือปัญหาเรื่องกราวนด์ที่แตกต่างกันตามมาตรฐาน EIA สัญญาณที่ส่งออกเทียบกับกราวนด์ของเครื่องส่งเท่านั้น ถ้าหากเครื่องรับกับเครื่องส่งมีระดับแรงดันกราวนด์แตกต่างกัน สมมติว่า 2 โวลต์ กระแสที่ไหลในเส้นที่เป็นกราวนด์ ( ขา 7 ) ก็จะเกิดขึ้น สมมติความต้านทานของสายเป็น 0 ความต่างศักย์ที่เกิดจากกระแสกราวนด์ก็จะไม่มี ความต่างศักย์ของกราวนด์ระหว่างเครื่องรับและเครื่องส่งก็จะคงเท่าเดิม ระดับของสัญญาณที่ฝ่ายส่งและฝ่ายรับมองเห็นก็จะแตกต่างกัน ตัวอย่างสมมติว่าระดับของแรงดันกราวนด์ต่างกัน 2 โวลต์ ฝ่ายส่งใส่แรงดันเข้าไป 5 โวลต์ ฝ่ายรับจะมองเห็นแค่ 3 โวลต์เท่านั้น ในทางกลับกันถ้าฝ่ายส่งใส่แรงดัน - 5 โวลต์ ฝ่ายรับจะมองเห็นเป็น - 7 โวลต์
ความต่างศักย์ของกราวนด์จะคงที่ 2 โวลต์ ไม่ว่าฝ่ายส่งจะใส่แรงดันเข้าไปเท่าไหร่ก็ตาม ผลของกราวนด์ที่แตกต่างกันนี้อาจจะเกิดมาจากสถานีรับและสถานีส่ง มีระบบไฟฟ้าที่กราวนด์แตกต่างกันก็ได้

เนื่องจากตระหนังถึงปัญหาเหล่านี้ EIA ได้ออกมาตรฐานออกมาใหม่ 2 มาตรฐาน คือ RS 422 และRS 433 ใน RS 422 แก้ปัญหา RS 232 โดยการส่งสัญญาณแบบแรงดันบาลานซ์ ( Balance voltage ) โดยกฎเกณฑ์สรุปไว้ในรูปที่ 4.7
 


 

RS 423 เป็นการแก้ปัญหาอีกวิธีหนึ่งโดยการส่งสัญญาณแบบแรงดันไม่บาลานซ์ ( Unbalance voltage )กฎเกณฑ์สรุปเอาไว้ในรูปที่ 4.8
 


 

ในเครื่อง IBM PC หากใช้อะแดปเตอร์สื่อสารข้อมูลแบบอะซิงโครนัส มีหนทางให้เลือกในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น 2 แบบคือ แบบแรงดันตามกฎเกณฑ์ของ RS 232C ( แต่แรงดันแค่ 0 ถึง 5 โวลต์ ) และแบบกระแสวนรอบ เพื่อขยายระยะทางของสายให้มากขึ้น



หน้า 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
| home | menu | เทคโนโลยี |

1 : 08 : 2541