ฐานของระบบเลข (Base of Radix)
      จาก 2 หน้าที่แล้ว เราได้กล่าวถึงระบบตัวเลขทั้งแบบไม่มีหลัก และแบบมีหลักมาแล้ว ต่อไปจะได้ กล่าวถึงเฉพาะระบบเลขที่มีหลัก ซึ่งเป็นระบบที่สำคัญที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ระบบเลขมีหลักทุกระบบจะ ต้องมีฐานของระบบอยู่เสมอ
      ในวิชาคณิตศาสตร์ เราสามารถเขียนตัวเลขแทนจำนวนใดๆ ให้มีค่าเท่ากับผลบวกของเลขต่างๆ ในชุดอนุกรม เช่น
1,523
=
1,000 + 500 + 20 + 3
  =
      ระบบเลขที่ใช้ดังตัวอย่างข้างบน เรียกว่า "ระบบเลขฐานสิบ (Decimal Number System) " หรือ "ระบบเลขสิบตัว" ซึ่งเป็นเลขหลัก หน่วย สิบ ร้อย พัน ตามลำดับ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป ระบบเลขฐาน สิบ หมายถึง มี 10 เป็นฐาน (Radix) เลขมีเลขโดดสิบตัว คือ 0, 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8, 9 แล้วจึงนำเลขโดดเหล่านี้ไปประกอบเป็นตัวเลขอื่นๆ เพื่อแทนจำนวนที่ต้องการต่อไป
      ด้วยวิธีการในทำนองเดียวกันนี้ เราอาจเขียนตัวเลขดังกล่าวนี้ด้วยระบบเลขฐานอื่นที่ไม่ใช่เลขฐาน สิบได้ คือ
      ถ้าให้ B เป็นฐานของเลขหลัก หรือจำนวนเลขหลักทั้งหมด B ตัว ที่จะใช้ในระบบเลขฐานที่ต้องการ
      0 คือ เลขหลักที่น้อยที่สุด
      B - 1 คือ เลขหลักที่โตที่สุดที่จะใช้ได้ในระบบเลขฐาน B
      นั่นคือในระบบเลขฐาน B จะมีเลขโดดที่ใช้ทั้งหมด B ตัว คือ 0, 1, 2, ....., B - 1
      ด้วยเหตุนี้ เลขฐานสอง (Binary) จะมีเลขโดดใช้กัน 2 ตัว คือ 0 กับ 1
      เลขฐาน 8 (Octenary) จะมีเลขโดดที่ใช้ 8 ตัว คือ 0, 1, 2, 3, ....., 6, 7
      เลขฐาน 16 (Hexadenary) จะมีเลขโดด 16 ตัว คือ 0, 1, 2, 3, ....., 8, 9, A, B, C, D, E, F
      จะสังเกตเห็นว่าตั้งแต่ฐานสิบเอ็ดขึ้นไป เพื่อมิให้สับสนในเรื่องหลักของตัวเลข จึงกำหนดให้ใช้ A, B, C, D, E, F แทนตัวเลขซึ่งมีค้าเป็น 10, 11, 12, 13, 14 และ 15 ตามลำดับ
เพื่อให้เข้าใจในระบบได้ชัดเจนขึ้น พิจารณาจาก 1,523 เราจะวิเคราะห์ถึงลักษณะภายในจำนวนนี้ได้ดังตาราง
 
เลข 1,523
เลข 1
เลข 5
เลข 2
เลข 3
เป็นเลขหลัก
พัน
ร้อย
สิบ
หน่วย
ตำแหน่งหลัก
4
3
2
1
ค่าของหลัก
ค่าของเลขในหลัก
      จากตารางจะเห็นว่า ตัวเลขนั้นจะต้องเขียนไว้ในหลักต่างๆ ซึ่งแต่ละหลักจะให้ค่าของตัวเลข ณ ตำแหน่งนั้นๆ ได้ด้วยค่าฐานของเลขหลักในระบบที่ใช้อยู่ หลักแรกทางขวามือหน้าจุดทศนิยมจะมีค่าของหลักเท่ากับ
      หลักถัดมาทางซ้ายลำดับที่ 2 มีค่าของหลักเป็น
      หลักถัดมาทางซ้ายลำดับที่ 3 มีค่าของหลักเป็น
                                          .
                                          .
                                          .
      หลักถัดมาทางซ้ายลำดับที่ n มีค่าของหลักเป็น
      เราจะสังเกตเห็นว่า เลขชี้กำลังของฐานจะน้อยกว่าตำแหน่งหลักอยู่ 1 เสมอ ผลคูณตัวเลขที่กำหนดไว้ในตำแหน่งหลักต่างๆ กับค่าของหลักจะเท่ากับค่าของตัวเลขที่อยู่ในหลักนั้นๆ เสมอ และผลบวกของค่าของตัวเลขในหลักต่างๆ ทุกๆ หลัก จะมีผลเท่ากับค่าสำเร็จเป็นเลขที่ต้องการ นอกจากนี้ยังมีข้อควรทราบอีก คือ ในการบวกเลขระบบที่ไม่ใช่ฐานสิบนั้น ถ้าบวกหนึ่งเข้าไปแล้วจะต้องได้เลขที่มีค่าเกินตัวเลขสูงสุดที่ใช้ในระบบแล้วให้บวกได้ค่าศูนย์ และทด 1 เข้ากับเลขหลักถัดไปทางซ้ายได้เลย
 
ตัวอย่าง
ระบบเลขชุดหนึ่งใช้ตัวเลขเพียง 0, 1, 2, 3, 4, 5
      1. ฐาน B ของเลขระบบนี้เป็นเท่าไร
      2. ตัวเลขที่อยู่ถัดไปในระบบนี้ จาก 3,255 คือเลขใด
 
      วิธีทำ
      1. เนื่องจากระบบที่กำหนดให้มีเลขโดดที่ใช้ทั้งหมด 6 ตัว ดังนั้น B = 6
      2.
          
      วิธีคิด
หลักที่ 1
                    5 + 1 = 6:
 ครบฐาน 6
ใส่ 0 ทด 1
หลักที่ 2
                   1 (ตัวทด) + 5 = 6:
ครบฐาน 6
ใส่ 0 ทด 1
หลักที่ 3
1 (ตัวทด) + 2 = 3
ใส่3
 
หลักที่ 4
ชัก 3 ลงมา
 
                  จะได้ว่า
         จากความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เป็นไปอย่างรวดเร็วมาก เครื่องคอมพิวเตอร์หรือ เครื่องประมวลผลอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อช่วยในการคิดคำนวณ และช่วยอำนวยความสะดวกใน การประมวลผลข้อมูล ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างเหมาะสม ช่วยเหลืองานของมนุษย์ได้อย่างมากมาย ถ้าเรามา พิจารณาหลักในการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วจะเห็นว่า อาศัยหลักการไหลหรือการหยุดไหลของ สัญญาณในช่วงเวลาต่างๆ กัน เสมือนกับการเปิด - ปิดสวิตซ์ไฟฟ้านั่นเอง การทำงานของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ แต่ละส่วนจึงมีลักษณะ 2 จังหวะตลอดเวลา ดังนั้นค่าตัวเลขในระบบฐานสอง จึงมี ความเหมาะสมกับการทำงาน ของเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี เพราะมีค่า 0 กับ 1 จึงสอดคล้องกับ ลักษณะการเปิด - ปิดสวิตซ์ไฟฟ้า และ การคำนวณในระบบเลขฐานสองนั้นก็สามารถทำได้เช่นเดียวกับ ระบบเลขฐานสิบ
         ด้วยเหตุนี้การทำงานภายในเครื่องคอมพิวเตอร์แทบทุกชนิดจึงสร้างขึ้นในระบบตัวเลขในฐานสองทั้งสิ้น ซึ่ง ไม่มีระบบเลขใดที่เหมาะสมในการสร้างวงจร และแสดงคุณลักษณะทางฟิสิกส์ของอุปกรณ์ภายในเครื่องคอม พิวเตอร์ได้ดีเท่าระบบฐานสองได้
         นอกเหนือจากการใช้ระบบเลขฐานสองแล้ว ยังมีการใช้ระบบเลขฐานแปดและฐานสิบหก ซึ่งเป็นระบบเลข ที่สะดวกตอ่การนำไปใช้ในการตรวจสอบของเครื่องคอมพิวเตอร์ในแต่ละขั้นตอนเป็นอันมาก
         หน่วยที่เล็กที่สุดในหน่วยความจำของคอมพิวเตอร์ดรียกว่า บิท (Binary Digit) ซึ่งมีค่าเป็น 0 หรือ 1 บาง ครั้งอาจกล่าวว่าบิท 0 หรือบิท 1 ส่วนกลุ่มของบิทนั้นเรียกว่า ไบท์ (Byte) หรือคาร์แรคเตอร์ (Character) ซึ่ง โดยปกติแล้ว 1 ไบท์ ประกอบด้วย 8 บิท หน่วยความจำ 1 ไบท์จะบันทึกอักขระได้ 1 ตัว
 
ตัวอย่าง
ถ้าใช้เลขฐานสองแบบ 3 บิท คือใช้เลข 0 และ 1 จำนวน 3 ตัว จะสามารถสร้างอักขระได้ทั้งสิ้นกี่ตัว
ตอบ คือ 000, 001, 010, 011, 100, 101, 110, 111
         ในกรณีทั่วไปถ้าใช้ฐานสองแบบ n บิท คือ ใช้เลข 0 และ 1 จำนวน n ตัว จะสามารถสร้างอักขระได้ ตัว นั่นคือ ถ้าใช้ระบบเลขฐานสองที่มีจำนวนบิทมากก็สามารถนำไปใช้เป็นรหัสแทนอักขระต่างๆ ได้มากขึ้น คอมพิวเตอร์ก็จะสามารถทำงานได้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น
 
ตัวอย่าง
เปรียบเทียบความสามารถในการเข้ารหัสแทนอักขระเมื่อใช้ระบบเลขฐานสอง ในกรณี 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 บิท ตามลำดับ
ตอบ
จำนวนบิท
จำนวนแบบที่จัดเรียง
จำนวนการเข้ารหัสแทนอักขระ
2
4
3
8
4
16
5
32
6
64
7
128
8
256
Mikespaid4email