|
Modem
|
โมเด็ม
โมเด็ม
(Modem เป็นคำย่อมาจาก Modulator/Demodulator) คืออุปกรณ์สื่อสารที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณดิจิตอลเป็นอะนาล็อก
ในทางกลับกันโมเด็มเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้
คอมพิวเตอร์ (ใช้สัญญาณดิจิตอล) สามารถส่งข้อมูลผ่านระบบโทรศัพท์ท้องถิ่นธรรมดาได้
(ใช้สัญญาณในแบบอะนาล็อก) สัญญาณดิจิตอลที่สร้างจากคอมพิวเตอร์
เพือ่ส่งไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นนั้น จะถูกโมเด็มแปลงไปเป็นสัญญาณอะนาล็อก
แล้วป้อนสัญญาณนั้นเข้าสู่ระบบโทรศัพท์ท้องถิ่น
(ดังที่เรียกกันว่า Plain Old Telephone System หรือ POSTS)
ซึ่งฝั่งผู้รับก็จะมีโมเด็มอีกตัวหนึ่งทำหน้าที่รับสัญญาณอะนาล็อก
และแปลงกลับไปเป็นสัญญาณดิจิตอล เพื่อส่งให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ทีเป็นผู้รับต่อไป
CCITT
เป็นคำย่อในภาษาฝรั่งเศส ของคณะกรรมการที่ปรึกษาทางด้านโทรศัพท
์และโทรเลขสากล (International Telegraph and Telephone
Consultative Committee) ซึ่งเป็นผู้กำหนดมาตรฐานการสื่อสารข้อมูลไว้จำนวนหนึ่ง
หนึ่งในนั้นประกอบไปด้วยโปรโตคอลสำหรับโมเด็ม, ระบบเครือข่ายและการรับ/ส่งโทรสาร
ในปี 1993 ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ
(International Telecommunications Union) ดังเป็นที่รู้จักกันดีในนามของ
ITU ในปัจจุบัน ตารางถัดไปนี้แสดงให้เห็นส่วนหนึ่ง ของมาตรฐานของโปรโตคอล
สำหรับโมเด็ม ตารางนี้ไม่ได้แสดงรายละเอียดมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ได้แสดงมาตรฐานเฉพาะผู้ค้ารายใด
รายหนึ่ง คำว่า bps ย่อมาจาก bits per second หรือจำนวนบิตต่อวินาที
ตัวอักษรหนึ่งตัวประกอบไปด้วยสัญญาณขนาด 8 บิตรวมกับบิตเริ่มต้นและบิตปิดท้าย
หรืออาจกล่าวได้ว่าการรับ/ส่งข้อมูล 1 ตัวอักษรต้องใช้สัญญาณขนาด
10 บิตนั่นเอง
ขั้นตอนเริ่มต้นการสื่อสารด้วยโมเด็ม
(ช่วงที่ท่านจะได้ยินโมเด็มส่งเสียงเมื่อเริ่มเชื่อมต่อสัญญาณกัน
: ผู้แปล) ครั้งแรกสุดจะพยายามใช้โปรโตคอลที่มีความเร็วสูงที่สุดแล้วค่อยๆ
ลดระดับลงมาหากโมเด็มอีกฝั่งไม่สนับสนุนโปรโตคอลที่เลือกขึ้นมาได้
จากตัวอย่างในตารางที่ผ่านมาลำดับการเลือกโปรโตคอลจะเริ่มต้นจาก
V.34 หากไม่สำเร็จจะเลือกโปรโตคอลที่รองลงมา
คือ V.32 bis ถ้ายังคงใช้ไม่ได้อีกก็จะลดลงไปสู่ V.32 ตามลำดับ
เมื่อโมเด็มสามารถตกลงกันถึงโปรโตคอลที่จะใช้ได้แล้ว จากนั้นมันจะพยายามส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุด
ภายใต้ข้อกำหนดของดปรโตคอลนั้น และยังคงเลื่อนระดับความเร็ว
ลงมาได้อีก หากพบว่าสัญญาณการรบกวนก่อให้เกิดข้อผิดพลาดใน
การรับ/ส่งข้อมูลมากเกินไป จึงเป็นไปได้ว่าในบางกรณีโมเด็มขนาดความเร็ว
33.6 Kbps บางครั้งอาจรับ/ส่งกันด้วยความเร็วที่ลดลงไปเรื่อยๆ
จนถึง
9600 bps เลยก็มี
โมเด็มมีการใช้โปรโตคอลในการตรวจจับข้อผิดพลาดและแก้ไขปัญหา
โปรโตคอลเหล่านี้สามารถตรวจจับความผิดพลาด และในบางกรณียังคำนวณหาข้อมูลที่ถูกต้องโดยไม่ต้องขอให้มีการส่งข้อมูลมาใหม่
ย้อนกลับไปเมื่อโมเด็มทำการตกลงกันเรื่องโปรโตคอลที่จะใช้ในการมอดูเลต
(Modulate) สัญญาณ โมเด็มจะตกลงกันถึงโปรโตคอลที่จะใช้ในการตรวจจับความผิดพลาด้วย
ตัวอย่างโปรโตคอลเหล่านี้เช่น
Microcom Networking Protocol (MNP) ระดับ 1, 2, 3, 4 และ
V.42 หรือที่รู้จักกันในชื่อ
Link Access Protocol for Modems (LAPM) ลำดับขั้นตอนของการเลือกใช้โปรโตคอลในชุดนี้จะเริ่มต้นจาก
V.42 ไปยัง MNP4, MNP3, MNP2 และMNP1 ตามลำดับ แม้ว่าจะใช้โปรโตคอลตรวจจับความผิดพลาดการรับ/ส่งของข้อมูลแล้วก็ตาม
แต่การตรวจจับในระดับที่สูงนั้นไปยังคงต้องมีอยู่ภายในโปรโตคอลที่ใช้ในการโอนย้ายไฟล์
เนื่องจากอาจจะเกิดปัญหา
Buffer Overrun (เกิดขึ้นเมื่อความเร็วที่ไม่สัมพันธ์กันระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับโมเด็ม)
อาจทำให้ข้อมูลเกิดการสูญหายไปซึ่งกรณีนี้จะไม่สามารถตรวจจับได้ด้วยโปรโตคอลตรวจจับและแก้ไขข้อผิดพลาดที่ตัว
โมเด็มเอง
โมเด็มความเร็ว 56-Kbps
พัฒนาการล่าสุดของโมเด็มคือสามารถทำความเร็ว
รับ/ส่งข้อมูลสูงสุดที่ 56 Kbps
(กิโลบิตต่อวินาที : Kilobits per second) ซึ่งจะทำการส่งข้อมูลผ่านระบบ
Public Switch telephone Network
(หรือ PSTN : คือ ระบบชุมสายโทรศัพท์พื้นฐานที่ใช้กันโดยทั่วไปในปัจจุบันมีระบบการทำงานเป็นแบบ
Switching)
ระบบ PSTN ในครั้งเริ่มต้นมีการเชื่อมต่อระหว่างจุดเป็นแบบอะนาล็อกจากนั้นจึงค่อยๆ
เปลี่ยนบางส่วนมาเป็น
ระบบดิจิตอล ตำแหน่งที่เปลี่ยนแปลงนั้นมีการแปลงสัญญาณอะนาล็อกไปเป็นดิจิตอลด้วยวิธีการเก็บตัวอย่างสัญญาณ
(Sampling Technique) สายที่เชื่อมต่อระหว่างชุมสายโทรศัพท์เป็นตำแหน่งแรกที่เปลี่ยนเป็นระบบดิจิตอล
ซึ่งในปัจจุบันการเชื่อมต่อระหว่างชุมสายในเขตกรุงเทพฯ และจังหวัดใหญ่ๆ
ของไทยเองก็เปลี่ยนมาใช้ระบบดิจิตอลกันมาก สังเกตง่ายๆ ได้จากผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตสามารถให้บริการที่ความเร็ว
56 kbps ได้นั่นเอง แต่ในส่วนที่เชื่อมโยงระหว่างชุมสายท้องถิ่นและผู้ใช้ยังคงเป็นสายทองแดงอยู่
โมเด็มจะสร้างสัญญาณอะนาล็อกซึ่งจะถูกแปลงเป็นสัญญาณดิจิตอลที่ชุมสาย
PSTN ด้วยวิธีการเก็บตัวอย่างสัญญาณ (โดยใช้อัตราความเร็วประมาณ
8000 ครั้งต่อวินาที) จากนั้นสัญญาณดิจิตอลจะส่งไปยังเครื่องเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตซึ่งมีรุปแบบการแปลงสัญญาณดังนี้
ดิจิตอลอะนาล็อก-ดิจิตอล จะเห็นได้ว่าเป็นรูปแบบของโมเด็มแบบ
56 Kbps ซึ่งตั้งอยู่บนข้อสมมุติฐานที่ว่าการเชื่อมต่อไปยังเซิรฟเวอร์
หรือ ISP นั้นเป็นไปในแบบดิจิตอล
|
|
|