สำหรับผมแล้ว
คืนนี้ช่างเป็นคืนที่สบายใจจริง
ๆ ครับ
ภาระกิจการงานในช่วงภาคกลางวัน
ทำให้ผมรู้สึกเบื่อหน่าย
ชีวิตที่ต้องเร่งรีบ
การงานที่ต้องแข่งขันกับเวลาบางทีก็รู้สึกเซ็ง
ๆ
กับวิถีชีวิตตนเองอยู่บ้างเหมือนกัน
สำหรับค่ำคืนนี้
การที่ได้มีโอกาสเล่าเรื่องราวผี
ให้คุณผู้อ่านฟัง
จึงเป็นเรื่องที่ผมสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
อาจจะเกี่ยวกับอุดมคติส่วนตัว
ในการทำงานด้านหนังสือก็เป็นได้
อากาศกำลังสบาย ๆ
ความเงียบทำให้ผมอดที่จะนึกย้อนไปถึง
ชีวิตสมัยเด็ก เรื่องราวต่าง ๆ
พรั่งพรูออกมาจากมันสมองที่ผ่องใส
วันนี้เรื่องผีของผมคงจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเป็นแน่
ผมคิดทึกทักเอาเอง
ประสาคนช่างเพ้อช่างฝัน
แต่ไม่ค่อยจะมีกินสักเท่าไร
บางทีชีวิตความจนนี่ก็ช่วยทำให้จำต้องทำอะไรบ้าง
มองไปรอบ ๆ ตัว
ไม่มีเครื่องหมายเครื่องมืออะไรที่จะทำมาหากินได้เลย
มีก็แต่ความคิดความอ่าน
ผสมผสานกับความร่าเริงแห่งจิตใจ
มาครับ
มาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่า
พี่แก่ สาวบ้านใต้
ท้ายหมู่บ้านของผม
แกเป็นผู้หญิงที่ใคร ๆ
ก็รู้จักกันทั้งหมู่บ้าน
ด้วยความเป็นคนจริง ไม่กลัวใคร
ปัจจุบันแกเป็นสมาชิก อบต.อยู่ที่แถวบ้านผม
สมัยแกวัยรุ่นอยู่
แกเคยเล่าให้ผมฟังว่า
ไอ้โก๋เอ๋ย ชีวิตพี่นะ
เรื่องอะไรไม่เคยกลัวเลย
มาเจอกับตัวเกี่ยวกับเรื่องผีนี่
เข็ดจริง ๆ ไม่เอาอีกแล้ว
"เรื่องมันเป็นยังไงเล่าครับ
พี่แก่"
ผมถามด้วยใคร่อยากจะรู้
"สมัยพี่เป็นวัยรุ่น
มีอยู่วันหนึ่งพี่ไปทำธุระที่บ้านพ่อพี่ที่ปลายนาโน่น
กว่าจะเสร็จก็ดึกประมาณเที่ยงคืนได้
แกเอ๋ยพูดแล้วขนลุกขนชัน
พับผ่าซิ"
นั่นคือสิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของการสนทนา
พูดถึงเรื่องการทำนา
แถวบ้านผมทุกบ้านทำไร่ทำนากันทั้งนั้น
แม้กระทั่งครอบครัวของผม
แต่การทำนา
ก็ไม่สามารถทำให้เรารวยได้หลอกครับ
แค่ทำแล้วกินไป
ไม่ได้มั่งมีอะไร
ส่วนครอบครัวของพี่แก่
พ่อแกมีนามาก ลูก ๆ
ทุกคนช่วยกันขยันทำมาหากิน
ทำให้มีรายได้จากการขายข้าวได้มาก
จึงส่งลูกบางคนได้เรียนสูง ๆ
ปัจจุบันเป็นตำรวจ
เป็นพยาบาลถึงสองคน
คือว่าได้ดิบได้ดีไป
ส่วนพี่แก่ของเรา แกไม่ได้เรียน
เพราะเป็นพี่เขา
ก็เลยต้องเสียสละให้น้อง ๆ
ดึกคืนนั้น
หลังจากเสร็จงานจากการทำนา
ความมืดทำให้พี่แก่ต้องรีบเดินทางกลับบ้าน
หนทางก็ไกลโข ที่สำคัญ
พี่แก่จำเป็นต้องเดินทางกลับบ้านคนเดียว
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ
เพราะพี่แก่แกก็กลับบ้านคนเดียวบ่อย
ๆ อยู่แล้ว ในแถบชนบทบ้านนอก
ไม่ต้อง
ไปขอหลอกแสงสว่าง
ไม่มีจริง ๆ อาศัยแสงเดือน
แสงดาวบนท้องฟ้า
ซึ่งพอจะเป็นทางบ้าง
แต่ก็ไม่แจ่มชัดนัก
หลังจากเดินมาได้ประมาณครึ่งทาง
แยกข้างหน้าแล้วซิ
ผ่านแยกนี้ไปก็จะถึงบ้านแล้ว
แยกนี้มีต้นมะเดื่ออายุหลายสิบปี
มีเถาวัลย์ขึ้นปกคลุมอยู่มากมาย
เคยมีคนเล่าว่าที่นี่ผีดุมาก ๆ
เคยมีชาวบ้านในแรวกเดียวกันโดนผีหลอกอยู่บ่อย
สำหรับตัวผู้เขียนสมัยเด็กไม่ต้องพูดถึง
ถ้าผ่านตรงนี้วิ่งอย่างเดียวครับ
ไม่สนแล้วโว้ยผีเผลอ
วิ่งอย่างเดียว
ผีมันก็คงจะงงเหมือนกัน
อะไรกันวะ ยังไม่ได้หลอกเลย
แม่งวิ่งสะอ้าวแล้ว ฮะๆๆๆๆ
ผมว่าผมแจวไปก่อนดีกว่าครับ
ดีกว่าอยู่ให้ผีหลอก
คุณผู้อ่านว่าจริงไหม
ผีมันคงไม่หลอกคนกำลังวิ่งหลอก
วิธีนี้ผมใช้ได้ผลมาแล้ว
ใครจะจำวิธีไปใช้บ้างก็ได้นะครับ
ไม่สงวนสิทธิ์แต่ประการใด
คือตรงไหนผีดุ เอาเลยครับ
วิ่งแจ้นไปเลย
รับรองได้ผีได้ยินเสียงเราวิ่งมันจะเผ่นกันบานตะทัยเลยแหละ
ไม่ทันได้หลอกเราหลอก เผลอ ๆ
งงกับเรา อะไรวะ
ยังไม่ทันหลอกเลยมันผ่าวิ่งโกยหน้าตั้งไปแล้ว
อะไรทำนองนี้แหละ
ความมืดทำให้ผีแก่รีบจ้ำเดิน
เอวันนี้ทำไมป่ามันเงียบวังเวงจังวะนี่
พี่แก่แกนึก
ในใจ ขณะนั้นเอง
หูของแกก็ได้ยินเสียงคนกำลังเดินสวนมาในเงามืด
บ๊ะ...ดึกขนาดนี้แล้วยังมีคนมาเดินอยู่อีกหรือนี่
แกมองผ่านไปในความมืดสลัวของยามค่ำคืน
แต่ก็ไม่เห็นเจ้าของเสียงฝีเท้าผ่านมาสักที
เอหรือว่าเราจะหูฝาดไป
แต่เสียงนั่นก็ยังคงได้ยินอยู่
ผ่านต้นมะเดื่อมาได้ระยะประมาณเกือบยี่สิบเมตร
ก็เป็นต้นมะม่วงเก่าอายุนับร้อยปี
ลำต้นสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาทำให้บริเวณสองข้างทางมืดสลัวหนักเข้าไปอีก
สมัยเด็กผมมักจะชวนเพื่อน
ๆ มาเก็บมะม่วงที่ต้นนี้ประจำ
แต่ต้องมากันหลายๆ คน
ถ้ามาเดี่ยว ๆ เห็นทีต้องขอตัว
ต้นมะม่วงต้นนี้มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับภูตผีปีศาจกันมากมีคนเจอกันบ่อย
อาจจะบ่อยกว่าต้นมะเดื่อเสียอีก
ต้นมะม่วงต้นนี้เป็นต้นมะม่วงพิมเสน
เปรี้ยวมาก ๆ
ต้องเก็บมาบ่มให้สุกเสียก่อนจึงกินได้
แต่ส่วนใหญ่นิยมมาทำปลาหวาน
ทานกัน เพราะรสชาติเปรี้ยวดี
หรือเอาไปใส่ต้นยำปลาช่อนใช้แทนมะนาวก็ได้
บางทีก็สับใส่น้ำพริกบ้าง
ปลาร้าสับบ้าง
ก็ให้รสชาติที่อร่อยมากยิ่งขึ้น
แถวบ้านผมมีต้นมะม่วงมาก
ที่สำคัญคือยังคงเป็นป่าอยู่
มะม่วงป่าจึงยังพอมี
ชาวบ้างไม่ค่อยตัดกันเพราะเป็นต้นไม้เก่าแก่มีอาถรรพ์
และเรื่องราวเล่าขานที่น่ากลัวจึงไม่มีใครกล้าตัดกัน
หลังจากพี่แก่มองหาเจ้าของเสียงฝีเท้าอยู่นั้น
ในความมืดแกได้เห็นเงาสลัว
ๆอยู่ในความมืด อ้อ...
คนกำลังเดินมาอยู่โน่นไง
เอจะทักดีหรือเปล่าหว่า
ใช่คนรู้จักหรือเปล่าก็ไม่รู้
ความที่เป็นคนที่ขี้เกรงใจ
แกจึงไม่ได้ทักไป
ยังคงเดินต่อไปเรื่อย
ระยะทางความกว้างของทางเดินประมาณสองเมตรเห็นจะได้
ขณะที่กำลังจะเดินสวนทางกันอยู่นั้น
พี่แก่ก็เงยหน้าขึ้นเพื่อที่จะมองเพื่อนร่วมทางที่กำลังจะเดินสวนผ่านไป
หากรู้จักพอจะจำหน้าได้ก็คงได้ทักทายกันบ้าง
แหม
มาสะดึกเลยนะสงสัยจะยุ่งจนมืดค่ำจึงได้เดินทางกลับ
ขณะมองผ่านความมืดสลัวของยามราตรี
แต่แล้วสิ่งที่พี่แก่ได้เห็น
เกือบทำให้พี่แก่ถึงกับช็อกคุณพระช่วย
คนนะมันเป็นคนแน่
แต่สิ่งที่เห็นมันเป็นคน
แต่ดันไม่มีหัว
อ้าวแล้วหัวมันไปไหนกันละนี่
แล้วนี่จะทักทายกันยังไง
คนไม่มีหัว บ๊ะ มันก็ผีนะซีโว้ย....
ช่วยด้วย ๆๆๆๆ ผีหลอก ๆๆๆๆๆ
นั่นคือน้ำเสียงแรกของคนที่ไม่กลัวอะไรเลย
แต่กลับต้องมาพบกับความสยดสยองพองเกล้า
นี่แหละครับ
เล่นกะใครไม่เล่นมาเล่นกับผี
มันก็ต้องโกยอ้าว
ไปนอนจับไข้หัวโกร๋นอยู่ที่บ้าน
เรื่องราวของผีแก่ก็เป็นแบบนี้แหละครับ
หลังจากโดนผีหัวขาดหลอกจนต้องโกยอ้าวไปคราวนั้น
ความเป็นคนกล้าของพี่แก่ก็ลดลงไป
ถ้าแกไปทำนาขากลับไม่ต้องดึกหรอกครับ
แค่เย็นย่ำสนธยากำลังจะคืบคลานเข้ามาแกก็ต้องหาเพื่อนไปส่งแล้ว
ผีนี่มีอิทธิพลเหนือชีวิตชาวบ้านอย่างเรา
ๆ เหมือนกันนะจะบอกให้
ใครไม่เจอกับตัวบ้างก็แล้วไป
อย่ามาพูดดีกว่า
ถ้าเจอแล้วจะไม่โกยอ้าวหน้าตั้ง
อมพระมาพูดผมยังไม่เชื่อเลย
อย่ามาพูดดีกว่าว่าคุณเองก็ไม่กลัวผี
ฮะๆๆๆๆๆ
สวัสดี
โก๋กรุงเก่า |