บันทึกเรื่องผี โดย โก๋กรุงเก่า...

ตอน... ผีเที่ยงคืน...

     สำหรับผมแล้ว คืนนี้ช่างเป็นคืนที่สบายใจจริง ๆ ครับ ภาระกิจการงานในช่วงภาคกลางวัน ทำให้ผมรู้สึกเบื่อหน่าย ชีวิตที่ต้องเร่งรีบ การงานที่ต้องแข่งขันกับเวลาบางทีก็รู้สึกเซ็ง ๆ กับวิถีชีวิตตนเองอยู่บ้างเหมือนกัน สำหรับค่ำคืนนี้ การที่ได้มีโอกาสเล่าเรื่องราวผี ให้คุณผู้อ่านฟัง จึงเป็นเรื่องที่ผมสบายใจอย่างบอกไม่ถูก อาจจะเกี่ยวกับอุดมคติส่วนตัว ในการทำงานด้านหนังสือก็เป็นได้

     อากาศกำลังสบาย ๆ ความเงียบทำให้ผมอดที่จะนึกย้อนไปถึง ชีวิตสมัยเด็ก เรื่องราวต่าง ๆ พรั่งพรูออกมาจากมันสมองที่ผ่องใส วันนี้เรื่องผีของผมคงจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเป็นแน่ ผมคิดทึกทักเอาเอง ประสาคนช่างเพ้อช่างฝัน แต่ไม่ค่อยจะมีกินสักเท่าไร บางทีชีวิตความจนนี่ก็ช่วยทำให้จำต้องทำอะไรบ้าง มองไปรอบ ๆ ตัว ไม่มีเครื่องหมายเครื่องมืออะไรที่จะทำมาหากินได้เลย มีก็แต่ความคิดความอ่าน ผสมผสานกับความร่าเริงแห่งจิตใจ มาครับ มาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่า

     พี่แก่ สาวบ้านใต้ ท้ายหมู่บ้านของผม แกเป็นผู้หญิงที่ใคร ๆ ก็รู้จักกันทั้งหมู่บ้าน ด้วยความเป็นคนจริง ไม่กลัวใคร ปัจจุบันแกเป็นสมาชิก อบต.อยู่ที่แถวบ้านผม สมัยแกวัยรุ่นอยู่ แกเคยเล่าให้ผมฟังว่า ไอ้โก๋เอ๋ย ชีวิตพี่นะ เรื่องอะไรไม่เคยกลัวเลย มาเจอกับตัวเกี่ยวกับเรื่องผีนี่ เข็ดจริง ๆ ไม่เอาอีกแล้ว

     "เรื่องมันเป็นยังไงเล่าครับ พี่แก่" ผมถามด้วยใคร่อยากจะรู้

     "สมัยพี่เป็นวัยรุ่น มีอยู่วันหนึ่งพี่ไปทำธุระที่บ้านพ่อพี่ที่ปลายนาโน่น กว่าจะเสร็จก็ดึกประมาณเที่ยงคืนได้ แกเอ๋ยพูดแล้วขนลุกขนชัน พับผ่าซิ"

     นั่นคือสิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของการสนทนา พูดถึงเรื่องการทำนา แถวบ้านผมทุกบ้านทำไร่ทำนากันทั้งนั้น แม้กระทั่งครอบครัวของผม แต่การทำนา ก็ไม่สามารถทำให้เรารวยได้หลอกครับ แค่ทำแล้วกินไป ไม่ได้มั่งมีอะไร ส่วนครอบครัวของพี่แก่ พ่อแกมีนามาก ลูก ๆ ทุกคนช่วยกันขยันทำมาหากิน ทำให้มีรายได้จากการขายข้าวได้มาก จึงส่งลูกบางคนได้เรียนสูง ๆ ปัจจุบันเป็นตำรวจ เป็นพยาบาลถึงสองคน คือว่าได้ดิบได้ดีไป ส่วนพี่แก่ของเรา แกไม่ได้เรียน เพราะเป็นพี่เขา ก็เลยต้องเสียสละให้น้อง ๆ

     ดึกคืนนั้น หลังจากเสร็จงานจากการทำนา ความมืดทำให้พี่แก่ต้องรีบเดินทางกลับบ้าน หนทางก็ไกลโข ที่สำคัญ พี่แก่จำเป็นต้องเดินทางกลับบ้านคนเดียว แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ เพราะพี่แก่แกก็กลับบ้านคนเดียวบ่อย ๆ อยู่แล้ว ในแถบชนบทบ้านนอก ไม่ต้อง

     ไปขอหลอกแสงสว่าง ไม่มีจริง ๆ อาศัยแสงเดือน แสงดาวบนท้องฟ้า ซึ่งพอจะเป็นทางบ้าง แต่ก็ไม่แจ่มชัดนัก หลังจากเดินมาได้ประมาณครึ่งทาง แยกข้างหน้าแล้วซิ ผ่านแยกนี้ไปก็จะถึงบ้านแล้ว

     แยกนี้มีต้นมะเดื่ออายุหลายสิบปี มีเถาวัลย์ขึ้นปกคลุมอยู่มากมาย เคยมีคนเล่าว่าที่นี่ผีดุมาก ๆ เคยมีชาวบ้านในแรวกเดียวกันโดนผีหลอกอยู่บ่อย สำหรับตัวผู้เขียนสมัยเด็กไม่ต้องพูดถึง ถ้าผ่านตรงนี้วิ่งอย่างเดียวครับ ไม่สนแล้วโว้ยผีเผลอ วิ่งอย่างเดียว ผีมันก็คงจะงงเหมือนกัน อะไรกันวะ ยังไม่ได้หลอกเลย แม่งวิ่งสะอ้าวแล้ว ฮะๆๆๆๆ ผมว่าผมแจวไปก่อนดีกว่าครับ ดีกว่าอยู่ให้ผีหลอก คุณผู้อ่านว่าจริงไหม ผีมันคงไม่หลอกคนกำลังวิ่งหลอก วิธีนี้ผมใช้ได้ผลมาแล้ว ใครจะจำวิธีไปใช้บ้างก็ได้นะครับ ไม่สงวนสิทธิ์แต่ประการใด คือตรงไหนผีดุ เอาเลยครับ วิ่งแจ้นไปเลย รับรองได้ผีได้ยินเสียงเราวิ่งมันจะเผ่นกันบานตะทัยเลยแหละ ไม่ทันได้หลอกเราหลอก เผลอ ๆ งงกับเรา อะไรวะ ยังไม่ทันหลอกเลยมันผ่าวิ่งโกยหน้าตั้งไปแล้ว อะไรทำนองนี้แหละ

     ความมืดทำให้ผีแก่รีบจ้ำเดิน เอวันนี้ทำไมป่ามันเงียบวังเวงจังวะนี่ พี่แก่แกนึก

     ในใจ ขณะนั้นเอง หูของแกก็ได้ยินเสียงคนกำลังเดินสวนมาในเงามืด บ๊ะ...ดึกขนาดนี้แล้วยังมีคนมาเดินอยู่อีกหรือนี่ แกมองผ่านไปในความมืดสลัวของยามค่ำคืน แต่ก็ไม่เห็นเจ้าของเสียงฝีเท้าผ่านมาสักที เอหรือว่าเราจะหูฝาดไป แต่เสียงนั่นก็ยังคงได้ยินอยู่ ผ่านต้นมะเดื่อมาได้ระยะประมาณเกือบยี่สิบเมตร ก็เป็นต้นมะม่วงเก่าอายุนับร้อยปี ลำต้นสูงใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาทำให้บริเวณสองข้างทางมืดสลัวหนักเข้าไปอีก

     สมัยเด็กผมมักจะชวนเพื่อน ๆ มาเก็บมะม่วงที่ต้นนี้ประจำ แต่ต้องมากันหลายๆ คน ถ้ามาเดี่ยว ๆ เห็นทีต้องขอตัว ต้นมะม่วงต้นนี้มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับภูตผีปีศาจกันมากมีคนเจอกันบ่อย อาจจะบ่อยกว่าต้นมะเดื่อเสียอีก ต้นมะม่วงต้นนี้เป็นต้นมะม่วงพิมเสน เปรี้ยวมาก ๆ ต้องเก็บมาบ่มให้สุกเสียก่อนจึงกินได้ แต่ส่วนใหญ่นิยมมาทำปลาหวาน ทานกัน เพราะรสชาติเปรี้ยวดี หรือเอาไปใส่ต้นยำปลาช่อนใช้แทนมะนาวก็ได้ บางทีก็สับใส่น้ำพริกบ้าง ปลาร้าสับบ้าง ก็ให้รสชาติที่อร่อยมากยิ่งขึ้น แถวบ้านผมมีต้นมะม่วงมาก ที่สำคัญคือยังคงเป็นป่าอยู่ มะม่วงป่าจึงยังพอมี ชาวบ้างไม่ค่อยตัดกันเพราะเป็นต้นไม้เก่าแก่มีอาถรรพ์ และเรื่องราวเล่าขานที่น่ากลัวจึงไม่มีใครกล้าตัดกัน

     หลังจากพี่แก่มองหาเจ้าของเสียงฝีเท้าอยู่นั้น ในความมืดแกได้เห็นเงาสลัว ๆอยู่ในความมืด อ้อ... คนกำลังเดินมาอยู่โน่นไง เอจะทักดีหรือเปล่าหว่า ใช่คนรู้จักหรือเปล่าก็ไม่รู้ ความที่เป็นคนที่ขี้เกรงใจ แกจึงไม่ได้ทักไป ยังคงเดินต่อไปเรื่อย

     ระยะทางความกว้างของทางเดินประมาณสองเมตรเห็นจะได้ ขณะที่กำลังจะเดินสวนทางกันอยู่นั้น พี่แก่ก็เงยหน้าขึ้นเพื่อที่จะมองเพื่อนร่วมทางที่กำลังจะเดินสวนผ่านไป หากรู้จักพอจะจำหน้าได้ก็คงได้ทักทายกันบ้าง แหม มาสะดึกเลยนะสงสัยจะยุ่งจนมืดค่ำจึงได้เดินทางกลับ ขณะมองผ่านความมืดสลัวของยามราตรี แต่แล้วสิ่งที่พี่แก่ได้เห็น เกือบทำให้พี่แก่ถึงกับช็อกคุณพระช่วย คนนะมันเป็นคนแน่ แต่สิ่งที่เห็นมันเป็นคน แต่ดันไม่มีหัว อ้าวแล้วหัวมันไปไหนกันละนี่ แล้วนี่จะทักทายกันยังไง คนไม่มีหัว บ๊ะ มันก็ผีนะซีโว้ย.... ช่วยด้วย ๆๆๆๆ ผีหลอก ๆๆๆๆๆ นั่นคือน้ำเสียงแรกของคนที่ไม่กลัวอะไรเลย แต่กลับต้องมาพบกับความสยดสยองพองเกล้า

     นี่แหละครับ เล่นกะใครไม่เล่นมาเล่นกับผี มันก็ต้องโกยอ้าว ไปนอนจับไข้หัวโกร๋นอยู่ที่บ้าน เรื่องราวของผีแก่ก็เป็นแบบนี้แหละครับ

     หลังจากโดนผีหัวขาดหลอกจนต้องโกยอ้าวไปคราวนั้น ความเป็นคนกล้าของพี่แก่ก็ลดลงไป ถ้าแกไปทำนาขากลับไม่ต้องดึกหรอกครับ แค่เย็นย่ำสนธยากำลังจะคืบคลานเข้ามาแกก็ต้องหาเพื่อนไปส่งแล้ว ผีนี่มีอิทธิพลเหนือชีวิตชาวบ้านอย่างเรา ๆ เหมือนกันนะจะบอกให้ ใครไม่เจอกับตัวบ้างก็แล้วไป อย่ามาพูดดีกว่า ถ้าเจอแล้วจะไม่โกยอ้าวหน้าตั้ง อมพระมาพูดผมยังไม่เชื่อเลย อย่ามาพูดดีกว่าว่าคุณเองก็ไม่กลัวผี ฮะๆๆๆๆๆ

สวัสดี

โก๋กรุงเก่า

|| ผีต่างดาว || คืนนี้ผีดุ || ผีต้นมะม่วง || ผีต้นหว้า || ผีทะเล || ผีไร้ญาติ || ผีอีกา ||
|| วิญญาณเมืองโบราณ || วิญญาณเมืองลับแล || ผีโรงหนัง || ผีโรงแรม ||
|| ผีเที่ยงคืน || ผีเจ้าเล่ห์ || ผีบ้านผีเรือน || ผีคุ้งน้ำ || ผีบ้านร้าง || ผียาบ้า ||