ห่างออกไปจากหมู่บ้านคูเมือง
หมู่บ้านย่านชนบท
สมัยก่อนนี้ชาวบ้านมักจะปลูกบ้านติดกัน
รวมกันหลาย ๆ บ้าน เรียกว่า
หมู่บ้าน
สำหรับหมู่บ้านที่ผมกำลังเอ่ยถึงนี้เป็นหมู่บ้านของผมเอง
บ้านร้างห่างไกลออกไปจากหมู่บ้าน
อยู่แถวชายทุ่งถูกสร้างให้ยืนอยู่โดดเดี่ยว
ไร้ผู้คนดูแล
สภาพบ้านเก่าเต็มไปด้วยเถาวัลย์เกาะพันจนแทบมองไม่เห็นตัวบ้าน
เดิมทีบ้านหลังนี้เป็นของสองสามีภรรยา
ซึ่งมีนามว่าลุงจิตกับป้าเช้า
ทั้งสองปลูกบ้านห่างออกไป
มีอาชีพทำนาเหมือนกันกับชาวบ้านทั่ว
ๆ ไป
หลังจากเกิดเหตุการณ์โจรบุกปล้นบ้าน
และได้ฆ่าสองสามีภรรยา
จนเป็นข่าวคึกโครม
เมื่อสามปีก่อน
เนื่องจากลุงจิตกับป้าเช้า
แกไม่มีลูกการเสียชีวิตของทั้งคู่จึงได้บรรดาชาวบ้านช่วยกันทำศพให้แล้วก็ฝังไว้ที่บ้านร้างนั่นเอง
เป็นที่ทราบกันดีว่า
ที่บ้านร้างแห่งนี้ผีดุมาก ๆ
ไม่ให้ดุไม่ให้เหี้ยนได้ยังไง
ก็ตายโหงทั้งบ้าน
แถมเป็นศพไม่มีญาติ ฟังแล้วก็อดสงสาร
และอดสูในชีวิตไม่ได้
เวรกรรมแท้ ๆ
คงจะเป็นเรื่องยากอยู่เหมือนกัน
เมื่อเส้นทางผ่านตัดไปยังหมู่บ้านอื่น
ก็มีเหตุจำเป็นจะต้องผ่านบ้านร้างนี้เสียด้วย
บางคืนมีชาวบ้านไปทำธุระที่หมู่บ้านอื่นแล้วเกิดกลับมืดค่ำ
คิดเอาเองก็แล้วกันว่า
จะเสียวสันหลังขนาดไหน
เมื่อยามเดินผ่านบ้านร้างแห่งนี้
ตามประสาเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับผม
ไอ้รวยนับว่าเป็นเพื่อนที่ผมสนิทมากอีกคนหนึ่ง
ส่วนถ้าบ้านติดกัน ก็มีไอ้จา
เพื่อนซี้ย่ำปึ๊กอีกคน จะว่าไป
เราสามคนรวมตัวกันได้เมื่อไรเป็นได้เรื่องโกยกันทุกที
อย่างงวดนี้ก็เช่นกัน
บ่ายคล้อย ๆ
ของวันหยุดโรงเรียน
"เฮ้ย
ไอ้รวย
วันนี้ไปงมหอยกาบที่นาใต้กันไหมวะ"
ผมขว้างหินถามทาง
เชิงเสนอแนวคิดอันมีคุณค่าต่อการดำรงชีพ
ตามประสาลูกชาวนา
"นาใต้มึง
ก็ดีเหมือนกัน ไปเล่นน้ำเย็น ๆ
สบาย" ไอ้รวยรับปาก
แถมมีข้อเสนอแนะเพิ่ม
"มึงไม่กลัวบ้างร้างหรือไง
อยู่กันใกล้กันด้วย"
ไอ้จาเพื่อนจอมรอบคอบ พูดขึ้นมา
ทำให้ผมกับไอ้รวยรู้สึกถึงเกียรติศักดิ์
อันลือลั่นของผีบ้านร้าง
"เฮ้ย
นี่มันกลางวันแสก ๆ นะมึง
ผีเผลอที่ไหนวะจะมี"
ผมให้เหตุผลอันเป็นที่รู้กันดีว่าอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้
แต่ความอยากออกไปเที่ยวตามประสาเด็กนั้นมันมากมายเหลือเกิน
ภาพเด็กสามคน
แห่งหมู่บ้านคูเมือง
สะพายตะข้องเดินตามหลังกันไปคุยกันไป
ผ่านกอหญ้า กอพงเลียบหัวคันนา
สายลมแห่งท้องทุ่ง
สร้างความอภิรมย์ดีเหลือเกิน
ต้นอ้อที่กำลังล้อลม
ทิวไผ่โบกสะบัด
แถมมีเสียงเอียดอ๊าด ๆ
ให้ความรู้สึกสดชื่น
และกระปี้กระเป่าอย่างมาก
พูดถึงกอไผ่
กอไผ่ป่าแถวบ้านนอกให้ประโยชน์แก่ชาวบ้านมาก
ในฤดูฝนผมมักจะติดตามคุณยายออกไปหาหน่อไม้ไผ่ป่าอยู่เสมอ
การหาหน่อไม้ก็ต้องมีเทคนิคมากเหมือนกัน
ใช่ว่าจะหากันได้ง่าย ๆ
เพราะในกอไผ่มันไม่ใช่จะมีแต่หน่อไม้เท่านั้น
มันมีทั้งหนามไผ่
ถ้าลองเหยียบเข้าไปแล้วละก็
เป็นได้เป็นหนองให้ต้องบ่งกันอย่างเจ็บแสน
ยิ่งถ้าหนามหักคาข้างใน
เวลาเป็นหนองจะบวมเบ่งดูน่าหวาดเสียวที่เดียว
เวลาบ่งออกจะมีน้ำหนอง
ให้บีบทะลักออกมาเป็นที่น่าหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย
หน่อไม้ในกอไผ่ป่า
จะแทงกันขึ้นมาจากพื้นดิน
ต้องสังเกตให้ดี
ถ้าเห็นตรงไหนมีใบไผ่หนา ๆ
ถูกแทงขึ้นมาให้คิดไว้ก่อนเลยว่า
มีหน่อไม้แน่
ให้เอาเสียมลองทิ่ม ๆ ดู
เวลาจะแทงต้องให้ปลายเสียมแทงเอาไปในดินด้วย
จะดีมาก
เพราะจะหน่อไม้ที่อ่อนครบถ้วนสมบูรณ์
เมื่อได้มากพอแล้วก็กลับมาทำการล้างให้สะอาด
จะต้มทั้งหน่อ
หรือจะนำมาลอกเปลือกออกก่อนก็ได้แล้วจึงค่อยต้ม
การต้มให้สังเกตดูสีของหน่อไม้จะออกสีเหลืองสวยงามมองดูน่ารับประทาน
จิ้มน้ำพริก หรือปลาร้าก็ได้
หากมีมากก็เอาไปดอง
วิธีการดองก็ไม่ต้องต้ม
ให้เอาน้ำใส่ผสมเกลือหมักไว้จนได้ที่
นำมาแกงส้ม
หรือผัดเผ็ดกับปลาไหล อะไรมาก ๆ
อันนี้รับรองได้
ผ่านจากทุ่งนา
ก็ถึงป่าละเมาะ
ป่าแห่งนี้มีจอมปลวกใหญ่สลับกับก่อไผ่ป่า
มีลานเตียนโล่ง
มองเห็นพวกเศษกระเบื้องตกอยู่เกลื่อนกลาด
คาดว่าน่าจะเป็นเมืองโบราณสมัยเก่า
มีชาวบ้านเคยเห็นคนพูดจากันเซ็งแซ่
แต่พยายามดูก็ไม่มี
มีแต่เสียงต้นไผ่สีกันไปสีกันมา
เท่านั้น
จึงเป็นเรื่องน่าแปลกใจอยู่ไม่น้อย
ก่อนจะถึงคลองส่งน้ำ
ก็ต้องผ่านบ้านร้าง
พวกเราสามคนเริ่มเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
สำหรับผมเองแล้ว
แทบจะกลั้นใจเดินก็ว่าได้
ไม่มีเสียงพูดหลุดออกจากปากพวกเราอีกจนเดินผ่านบ้านร้าง
เข้าสู่คลองชลประทาน
ความจริงพ่อผมมีที่ดินอยู่ที่นี่ปัจจุบันก็ตกทอดมายังผม
ประมาณ 10 ไร่เศษ
เมื่อมาถึงที่หมาย
เสียงไอ้จาเพื่อนจอมหวาดระแวง
ปัจจุบันรับราชการอยู่ในคุกด้วยคดีลักทรพัย์
ส่งเสียงตะโกนเสียลั่นทุ่ง
"เฮ้ย
ถึงแล้วโว้ย พวกเราลุย"
เสียงเด็กสามคนโดดน้ำดังตูม
ตูม ตูม นั่นคือความไร้เดียงสา
การเล่นน้ำงมหอยเป็นสิ่งที่เพลิดเพลินยิ่งนัก
พูดถึงการงม
คุณผู้อ่านคงจะนึกสงสัยว่า
หอยนี่เขางมกันอย่างไง
อันนี้ไม่ยากครับ
จะใช้เท้าหรือที่พวกผมเรียกกันว่า
ตีน นี่แหละ เขี่ยไปตามพื้นดิน
ถ้าสะดุดตัวหอย ก็ใช้ได้เลยครับ
เมื่อรู้ตำแหน่งทีนี้ก็ดำลงไปเอามือควานหาจับขึ้นมาใส่ตะข้องไว้
บางทีได้คราวละหลาย ๆ ตัว สบายไป
นอกจากหอยแล้ว
บางทีเราก็ได้ปลาด้วย เรียกว่า
งมปลา
ส่วนใหญ่จะเป็นพวกปลาสร้อย
ปลาชนิดนี้เขาจะนอนหลับอยู่ที่พื้นน้ำ
เวลาเราดำลงไปมือของเราต้องค่อย
ๆ คลำไปเรื่อย เจออะไรนิ่ม ๆ
จับไว้ก่อนเลย ใช่แล้ว งู
เอ๊ยไม่ใช่ ปลา
สำหรับเย็นวันนี้เราได้ทั้งหอยทั้งปลากันมากมายพอสมควร
"กลับกันดีกว่าวะไอ้โก๋"
เสียงไอ้รวยกล่าวชวนกลับบ้าน
"เออกลับดีกว่า
นี่ก็เย็นมากแล้ว
ได้เพียบเลยมึง"
ไอ้จาเพื่อนอีกคนออกเสียงสนับสนุน
"ไปพวกเรากลับดีกว่า
เดี๋ยวมืดจะซวย"
ผมพูดแบบเรื่อยเปื่อย
แต่ก็ทำให้เพื่อนทั้งสองของผม
มองหน้ากันเหมือนกัน
รู้นะว่าคิดอะไรอยู่
กลัวผีบ้านร้างแน่
เมื่อขึ้นจากน้ำได้พวกเราก็มุ่งหน้ากลับบ้านโดยใช้เส้นทางเดิม
เดินมาได้สักครู่
ไอ้จาเพื่อนจอมระแวงก็เอ่ยขึ้นว่า
"เฮ้ย
ถ้าเกิดเราเดินผ่านบ้านร้างแล้ว
เจอผี จะทำยังไงวะ"
อ้าวไอ้ปากพาวิ่ง เอาแล้วมั้ยละ
"มึงพูดทำไมวะ
ไอ้ห่ากูยิ่งกลัว ๆ อยู่"
ไอ้รวยเอ่ยแล้วทำสีหน้าบอกบุญไม่รับ
"ผีที่ไหนจะมาหลอกกันกลางวันวะ
มึงเชื่อกูเหอะ"
ผมตัดบทพร้อมมุ่งหน้าเดินต่อไป
แต่งวดนี้ผมออกหน้าใครพวก
ไม่ใช่อยากจะไปเจอผีให้เร็วขึ้นหรอก
แต่อยากให้ถึงบ้านก่อนใครมากกว่า
พูดอะไรไม่พูด ดันมาพูดมาได้ว่า
ถ้าถูกผีหลอกจะทำยังไง
จะทำยังไง
ก็เผ่นป่าราบนะซีถามได้
โค้งข้างหน้าคือ
สิ่งที่ผมและเพื่อนไม่อยากจะผ่านเข้าไปเลย
การเดินเข้าสู่เส้นทางผีนี่
มันช่างทำใจยากลำบากเหลือหลาย
ผมและเพื่อนทำใจดีสู้แกล้งทำเป็นเดินกันไปพูดกันไปกับเรื่องการงมหอย
แหมไอ้หอยตัวนั้นมาตัวใหญ่จริงหนอ
ไอ้ตัวนี้อ้วนจริงนะ
อะไรทำนองนี้
ด้วยความเพลิดเพลินอยู่นั้น
"งมหอย
ได้เยอะไหมจ๊ะ
ขอแบ่งสักหน่อยซีๆๆๆๆๆ" อะจ๊าก
เอาเข้าแล้วไง เสียงใครพูดว่า
ผมและเพื่อน ๆ
มองหน้ากันเลิกลั่ก
บรรลัยแล้วมึง ไอ้จา
ค่อยเผยอลิมฝีปากแล้วพูดขึ้นว่า
"สะสะสะสะเสียงงงงง
คายยยยพูๆๆๆพูดวะๆๆๆ"
"สงสัยจะะะะๆๆๆๆ
ผะะะะๆๆๆผีๆๆๆวะ"
นั่นคือเสียงของไอ้รวย
สำหรับผมนั้นไม่มีเสียงพูด
มีแต่เสียงฝีเท้า กับๆๆๆๆๆๆ
นำหน้าบรรดาผองเพื่อนและมิตรสหาย
สำหรับเย็นวันนั้น
ถ้าใครสังเกตให้ดีจะเห็นอนาคตนักวิ่งทีมชาติไทยใส่เกียร์หมา
วิ่งจนตกหัวคันนา หัวทิ่มหัวตำ
นำบรรดาสมาชิกแก๊งค์อดยาก
วิ่งกลับเข้าหมู่
"พวกมึงวิ่งหนีอะไรกันมาวะ"
เสียงลุงอ่ายเอ่ยทักขึ้นก่อนใคร
"ลุงอ่าย
ผี ผีบ้านร้างหลอกพวกผม"
ผมรายงานทันที
"อ้าวพวกมึงไปเล่น
อะไรกันแถวนั้น ผีมันดุ
พวกมึงไม่รู้หรือไง"
"ไปงมหอยลุง
แต่ตอนนี้ตะข้องหอย
ก็ทิ้งหมดแล้วไม่เอาอีกแล้ว
เข็ดจริง ไปงมหอย แต่ได้ผี"
ไอ้รวยเพื่อนอีกคนตัดพ้อ
ด้วยความหอบเหนื่อย
เย็นนั้นหลังจากแยกย้ายกันกลับไปช่วงค่ำ
ๆ
ผมและเพื่อนทั้งสองก็มานั่งวิพากษ์วิจารณ์
กันถึงเรื่องผีบ้านร้าง
"ผีอะไรวะ
แม่งหลอกได้กระทั่งกลางวัน"
ผมเริ่มการสนทนา
ประสาเด็กบ้านนอก
"เออวะ
ทฤษฎีมึงใช้ไม่ได้แล้ว
เสียดายหอยวะ
เต็มตะข้องเลยนะมึง"
ไอ้รวยกล่าวเสริม
"เออวะ
งวดหน้ากูพาพวกมึงไปงมใหม่ดีกว่า"
ผมกล่าวต่อ
"ไอ้เวร
มึงไม่กลัวผีหรือไง"
ไอ้รวยพูดแบบเยาะเย้ย
"ผีนะกูกลัวอยู่แล้ว
แต่หอยก็ยากกิน" ผมพูดต่อ
"อ้าวแล้วมึงจะไปงมหอยให้ถูกผีหลอกอีกทำไม"
ไอ้จาอดไม่ได้ที่จะมีส่วนร่วม
"ใครบอกมึงละว่ากูจะพาพวกมึงไปงมหอยที่นาใต้"
"อ้าวแล้วมึงจะพาพวกกูไปงมหอยที่ไหนล่ะ"
"โน่นกูจะพามึงไปงมหอยที่นาเหนือ
งวดนี้ไม่มีผีบ้านร้าง
มีต้องหอยล้วน ๆ " ผมขยายความ
"ไอ้หอก
เมื่อกลางวันไม่เสือกชวนกูไปนาเหนือ
เสือกพาไปนาใต้ เลยโดนผีหลอก
วิ่งกันป่าราบเลย"
"เออ
งวดหน้ากูจะคิดให้รอบคอบก่อนพาพวกมึงไป"
เย็นนี้ไม่มีแกงหอยให้ผมและเพื่อน
ๆ กิน แต่สำหรับผม
หน่อไม้ไผ่ป่าจิ้มน้ำพริกกับข้าวร้อน
ก็ทำให้ผมอร่อยจนพุงกาง
ไม่พุงกางได้ยังไงเล่าครับคุณผู้อ่าน
ก็งมหอยทั้งวัน
แถมยังต้องวิ่งหนี ถูกผีหลอกอีก
โอ๊ย เสียพลังงานไปเยอะ งวดหน้า
ไปงมหอย
สงสัยต้องหาหลวงพ่อโกยไว้ห้อยคอบ้างแล้วล่ะ
จะได้ไม่วิ่งหน้าตั้งกลับบ้านให้อายลุงอ่าย
ชีวิตเด็กบ้านทุ่ง ตลุ้งตุ้งแฉ่
ก็ถึงตอนจบ อีกหนึ่งตอนแล้วละนะ
จะบอกให้
สวัสดี
โก๋กรุงเก่า |