บันทึกเรื่องผี โดย โก๋กรุงเก่า...

ตอน... ผีบ้านร้าง...

     ห่างออกไปจากหมู่บ้านคูเมือง หมู่บ้านย่านชนบท สมัยก่อนนี้ชาวบ้านมักจะปลูกบ้านติดกัน รวมกันหลาย ๆ บ้าน เรียกว่า หมู่บ้าน สำหรับหมู่บ้านที่ผมกำลังเอ่ยถึงนี้เป็นหมู่บ้านของผมเอง บ้านร้างห่างไกลออกไปจากหมู่บ้าน อยู่แถวชายทุ่งถูกสร้างให้ยืนอยู่โดดเดี่ยว ไร้ผู้คนดูแล สภาพบ้านเก่าเต็มไปด้วยเถาวัลย์เกาะพันจนแทบมองไม่เห็นตัวบ้าน

     เดิมทีบ้านหลังนี้เป็นของสองสามีภรรยา ซึ่งมีนามว่าลุงจิตกับป้าเช้า ทั้งสองปลูกบ้านห่างออกไป มีอาชีพทำนาเหมือนกันกับชาวบ้านทั่ว ๆ ไป หลังจากเกิดเหตุการณ์โจรบุกปล้นบ้าน และได้ฆ่าสองสามีภรรยา จนเป็นข่าวคึกโครม เมื่อสามปีก่อน เนื่องจากลุงจิตกับป้าเช้า แกไม่มีลูกการเสียชีวิตของทั้งคู่จึงได้บรรดาชาวบ้านช่วยกันทำศพให้แล้วก็ฝังไว้ที่บ้านร้างนั่นเอง

     เป็นที่ทราบกันดีว่า ที่บ้านร้างแห่งนี้ผีดุมาก ๆ ไม่ให้ดุไม่ให้เหี้ยนได้ยังไง ก็ตายโหงทั้งบ้าน แถมเป็นศพไม่มีญาติ ังแล้วก็อดสงสาร และอดสูในชีวิตไม่ได้ เวรกรรมแท้ ๆ คงจะเป็นเรื่องยากอยู่เหมือนกัน เมื่อเส้นทางผ่านตัดไปยังหมู่บ้านอื่น ก็มีเหตุจำเป็นจะต้องผ่านบ้านร้างนี้เสียด้วย บางคืนมีชาวบ้านไปทำธุระที่หมู่บ้านอื่นแล้วเกิดกลับมืดค่ำ คิดเอาเองก็แล้วกันว่า จะเสียวสันหลังขนาดไหน เมื่อยามเดินผ่านบ้านร้างแห่งนี้

     ตามประสาเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับผม ไอ้รวยนับว่าเป็นเพื่อนที่ผมสนิทมากอีกคนหนึ่ง ส่วนถ้าบ้านติดกัน ก็มีไอ้จา เพื่อนซี้ย่ำปึ๊กอีกคน จะว่าไป เราสามคนรวมตัวกันได้เมื่อไรเป็นได้เรื่องโกยกันทุกที อย่างงวดนี้ก็เช่นกัน

     บ่ายคล้อย ๆ ของวันหยุดโรงเรียน

     "เฮ้ย ไอ้รวย วันนี้ไปงมหอยกาบที่นาใต้กันไหมวะ" ผมขว้างหินถามทาง เชิงเสนอแนวคิดอันมีคุณค่าต่อการดำรงชีพ ตามประสาลูกชาวนา

     "นาใต้มึง ก็ดีเหมือนกัน ไปเล่นน้ำเย็น ๆ สบาย" ไอ้รวยรับปาก แถมมีข้อเสนอแนะเพิ่ม

     "มึงไม่กลัวบ้างร้างหรือไง อยู่กันใกล้กันด้วย" ไอ้จาเพื่อนจอมรอบคอบ พูดขึ้นมา ทำให้ผมกับไอ้รวยรู้สึกถึงเกียริศักดิ์ อันลือลั่นของผีบ้านร้าง

     "เฮ้ย นี่มันกลางวันแสก ๆ นะมึง ผีเผลอที่ไหนวะจะมี" ผมให้เหตุผลอันเป็นที่รู้กันดีว่าอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ แต่ความอยากออกไปเที่ยวตามประสาเด็กนั้นมันมากมายเหลือเกิน

     ภาพเด็กสามคน แห่งหมู่บ้านคูเมือง สะพายตะข้องเดินตามหลังกันไปคุยกันไป ผ่านกอหญ้า กอพงเลียบหัวคันนา สายลมแห่งท้องทุ่ง สร้างความอภิรมย์ดีเหลือเกิน ต้นอ้อที่กำลังล้อลม ทิวไผ่โบกสะบัด แถมมีเสียงเอียดอ๊าด ๆ ให้ความรู้สึกสดชื่น และกระปี้กระเป่าอย่างมาก พูดถึงกอไผ่ กอไผ่ป่าแถวบ้านนอกให้ประโยชน์แก่ชาวบ้านมาก ในฤดูฝนผมมักจะติดตามคุณยายออกไปหาหน่อไม้ไผ่ป่าอยู่เสมอ การหาหน่อไม้ก็ต้องมีเทคนิคมากเหมือนกัน ใช่ว่าจะหากันได้ง่าย ๆ เพราะในกอไผ่มันไม่ใช่จะมีแต่หน่อไม้เท่านั้น มันมีทั้งหนามไผ่ ถ้าลองเหยียบเข้าไปแล้วละก็ เป็นได้เป็นหนองให้ต้องบ่งกันอย่างเจ็บแสน ยิ่งถ้าหนามหักคาข้างใน เวลาเป็นหนองจะบวมเบ่งดูน่าหวาดเสียวที่เดียว เวลาบ่งออกจะมีน้ำหนอง ให้บีบทะลักออกมาเป็นที่น่าหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย

     หน่อไม้ในกอไผ่ป่า จะแทงกันขึ้นมาจากพื้นดิน ต้องสังเกตให้ดี ถ้าเห็นตรงไหนมีใบไผ่หนา ๆ ถูกแทงขึ้นมาให้คิดไว้ก่อนเลยว่า มีหน่อไม้แน่ ให้เอาเสียมลองทิ่ม ๆ ดู เวลาจะแทงต้องให้ปลายเสียมแทงเอาไปในดินด้วย จะดีมาก เพราะจะหน่อไม้ที่อ่อนครบถ้วนสมบูรณ์ เมื่อได้มากพอแล้วก็กลับมาทำการล้างให้สะอาด จะต้มทั้งหน่อ หรือจะนำมาลอกเปลือกออกก่อนก็ได้แล้วจึงค่อยต้ม การต้มให้สังเกตดูสีของหน่อไม้จะออกสีเหลืองสวยงามมองดูน่ารับประทาน จิ้มน้ำพริก หรือปลาร้าก็ได้ หากมีมากก็เอาไปดอง วิธีการดองก็ไม่ต้องต้ม ให้เอาน้ำใส่ผสมเกลือหมักไว้จนได้ที่ นำมาแกงส้ม หรือผัดเผ็ดกับปลาไหล อะไรมาก ๆ อันนี้รับรองได้

     ผ่านจากทุ่งนา ก็ถึงป่าละเมาะ ป่าแห่งนี้มีจอมปลวกใหญ่สลับกับก่อไผ่ป่า มีลานเตียนโล่ง มองเห็นพวกเศษกระเบื้องตกอยู่เกลื่อนกลาด คาดว่าน่าจะเป็นเมืองโบราณสมัยเก่า มีชาวบ้านเคยเห็นคนพูดจากันเซ็งแซ่ แต่พยายามดูก็ไม่มี มีแต่เสียงต้นไผ่สีกันไปสีกันมา เท่านั้น จึงเป็นเรื่องน่าแปลกใจอยู่ไม่น้อย

     ก่อนจะถึงคลองส่งน้ำ ก็ต้องผ่านบ้านร้าง พวกเราสามคนเริ่มเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น สำหรับผมเองแล้ว แทบจะกลั้นใจเดินก็ว่าได้ ไม่มีเสียงพูดหลุดออกจากปากพวกเราอีกจนเดินผ่านบ้านร้าง เข้าสู่คลองชลประทาน ความจริงพ่อผมมีที่ดินอยู่ที่นี่ปัจจุบันก็ตกทอดมายังผม ประมาณ 10 ไร่เศษ เมื่อมาถึงที่หมาย เสียงไอ้จาเพื่อนจอมหวาดระแวง ปัจจุบันรับราชการอยู่ในคุกด้วยคดีลักทรพัย์ ส่งเสียงตะโกนเสียลั่นทุ่ง

     "เฮ้ย ถึงแล้วโว้ย พวกเราลุย"

     เสียงเด็กสามคนโดดน้ำดังตูม ตูม ตูม นั่นคือความไร้เดียงสา การเล่นน้ำงมหอยเป็นสิ่งที่เพลิดเพลินยิ่งนัก พูดถึงการงม คุณผู้อ่านคงจะนึกสงสัยว่า หอยนี่เขางมกันอย่างไง อันนี้ไม่ยากครับ จะใช้เท้าหรือที่พวกผมเรียกกันว่า ตีน นี่แหละ เขี่ยไปตามพื้นดิน ถ้าสะดุดตัวหอย ก็ใช้ได้เลยครับ เมื่อรู้ตำแหน่งทีนี้ก็ดำลงไปเอามือควานหาจับขึ้นมาใส่ตะข้องไว้ บางทีได้คราวละหลาย ๆ ตัว สบายไป

     นอกจากหอยแล้ว บางทีเราก็ได้ปลาด้วย เรียกว่า งมปลา ส่วนใหญ่จะเป็นพวกปลาสร้อย ปลาชนิดนี้เขาจะนอนหลับอยู่ที่พื้นน้ำ เวลาเราดำลงไปมือของเราต้องค่อย ๆ คลำไปเรื่อย เจออะไรนิ่ม ๆ จับไว้ก่อนเลย ใช่แล้ว งู เอ๊ยไม่ใช่ ปลา สำหรับเย็นวันนี้เราได้ทั้งหอยทั้งปลากันมากมายพอสมควร

     "กลับกันดีกว่าวะไอ้โก๋" เสียงไอ้รวยกล่าวชวนกลับบ้าน

     "เออกลับดีกว่า นี่ก็เย็นมากแล้ว ได้เพียบเลยมึง" ไอ้จาเพื่อนอีกคนออกเสียงสนับสนุน

     "ไปพวกเรากลับดีกว่า เดี๋ยวมืดจะซวย" ผมพูดแบบเรื่อยเปื่อย แต่ก็ทำให้เพื่อนทั้งสองของผม มองหน้ากันเหมือนกัน รู้นะว่าคิดอะไรอยู่ กลัวผีบ้านร้างแน่

     เมื่อขึ้นจากน้ำได้พวกเราก็มุ่งหน้ากลับบ้านโดยใช้เส้นทางเดิม เดินมาได้สักครู่ ไอ้จาเพื่อนจอมระแวงก็เอ่ยขึ้นว่า

     "เฮ้ย ถ้าเกิดเราเดินผ่านบ้านร้างแล้ว เจอผี จะทำยังไงวะ" อ้าวไอ้ปากพาวิ่ง เอาแล้วมั้ยละ

     "มึงพูดทำไมวะ ไอ้ห่ากูยิ่งกลัว ๆ อยู่" ไอ้รวยเอ่ยแล้วทำสีหน้าบอกบุญไม่รับ

     "ผีที่ไหนจะมาหลอกกันกลางวันวะ มึงเชื่อกูเหอะ" ผมตัดบทพร้อมมุ่งหน้าเดินต่อไป แต่งวดนี้ผมออกหน้าใครพวก ไม่ใช่อยากจะไปเจอผีให้เร็วขึ้นหรอก แต่อยากให้ถึงบ้านก่อนใครมากกว่า พูดอะไรไม่พูด ดันมาพูดมาได้ว่า ถ้าถูกผีหลอกจะทำยังไง จะทำยังไง ก็เผ่นป่าราบนะซีถามได้

     โค้งข้างหน้าคือ สิ่งที่ผมและเพื่อนไม่อยากจะผ่านเข้าไปเลย การเดินเข้าสู่เส้นทางผีนี่ มันช่างทำใจยากลำบากเหลือหลาย ผมและเพื่อนทำใจดีสู้แกล้งทำเป็นเดินกันไปพูดกันไปกับเรื่องการงมหอย แหมไอ้หอยตัวนั้นมาตัวใหญ่จริงหนอ ไอ้ตัวนี้อ้วนจริงนะ อะไรทำนองนี้ ด้วยความเพลิดเพลินอยู่นั้น

     "งมหอย ได้เยอะไหมจ๊ะ ขอแบ่งสักหน่อยซีๆๆๆๆๆ" อะจ๊าก เอาเข้าแล้วไง เสียงใครพูดว่า ผมและเพื่อน ๆ มองหน้ากันเลิกลั่ก บรรลัยแล้วมึง ไอ้จา ค่อยเผยอลิมฝีปากแล้วพูดขึ้นว่า

     "สะสะสะสะเสียงงงงง คายยยยพูๆๆๆพูดวะๆๆๆ"

     "สงสัยจะะะะๆๆๆๆ ผะะะะๆๆๆผีๆๆๆวะ" นั่นคือเสียงของไอ้รวย สำหรับผมนั้นไม่มีเสียงพูด มีแต่เสียงฝีเท้า กับๆๆๆๆๆๆ นำหน้าบรรดาผองเพื่อนและมิตรสหาย สำหรับเย็นวันนั้น ถ้าใครสังเกตให้ดีจะเห็นอนาคตนักวิ่งทีมชาติไทยใส่เกียร์หมา วิ่งจนตกหัวคันนา หัวทิ่มหัวตำ นำบรรดาสมาชิกแก๊งค์อดยาก วิ่งกลับเข้าหมู่

     "พวกมึงวิ่งหนีอะไรกันมาวะ" เสียงลุงอ่ายเอ่ยทักขึ้นก่อนใคร

     "ลุงอ่าย ผี ผีบ้านร้างหลอกพวกผม" ผมรายงานทันที

     "อ้าวพวกมึงไปเล่น อะไรกันแถวนั้น ผีมันดุ พวกมึงไม่รู้หรือไง"

     "ไปงมหอยลุง แต่ตอนนี้ตะข้องหอย ก็ทิ้งหมดแล้วไม่เอาอีกแล้ว เข็ดจริง ไปงมหอย แต่ได้ผี" ไอ้รวยเพื่อนอีกคนตัดพ้อ ด้วยความหอบเหนื่อย

     เย็นนั้นหลังจากแยกย้ายกันกลับไปช่วงค่ำ ๆ ผมและเพื่อนทั้งสองก็มานั่งวิพากษ์วิจารณ์ กันถึงเรื่องผีบ้านร้าง

     "ผีอะไรวะ แม่งหลอกได้กระทั่งกลางวัน" ผมเริ่มการสนทนา ประสาเด็กบ้านนอก

     "เออวะ ทฤษฎีมึงใช้ไม่ได้แล้ว เสียดายหอยวะ เต็มตะข้องเลยนะมึง" ไอ้รวยกล่าวเสริม

     "เออวะ งวดหน้ากูพาพวกมึงไปงมใหม่ดีกว่า" ผมกล่าวต่อ

     "ไอ้เวร มึงไม่กลัวผีหรือไง" ไอ้รวยพูดแบบเยาะเย้ย

     "ผีนะกูกลัวอยู่แล้ว แต่หอยก็ยากกิน" ผมพูดต่อ

     "อ้าวแล้วมึงจะไปงมหอยให้ถูกผีหลอกอีกทำไม" ไอ้จาอดไม่ได้ที่จะมีส่วนร่วม

     "ใครบอกมึงละว่ากูจะพาพวกมึงไปงมหอยที่นาใต้"

     "อ้าวแล้วมึงจะพาพวกกูไปงมหอยที่ไหนล่ะ"

     "โน่นกูจะพามึงไปงมหอยที่นาเหนือ งวดนี้ไม่มีผีบ้านร้าง มีต้องหอยล้วน ๆ " ผมขยายความ

     "ไอ้หอก เมื่อกลางวันไม่เสือกชวนกูไปนาเหนือ เสือกพาไปนาใต้ เลยโดนผีหลอก วิ่งกันป่าราบเลย"

     "เออ งวดหน้ากูจะคิดให้รอบคอบก่อนพาพวกมึงไป"

     เย็นนี้ไม่มีแกงหอยให้ผมและเพื่อน ๆ กิน แต่สำหรับผม หน่อไม้ไผ่ป่าจิ้มน้ำพริกกับข้าวร้อน ก็ทำให้ผมอร่อยจนพุงกาง ไม่พุงกางได้ยังไงเล่าครับคุณผู้อ่าน ก็งมหอยทั้งวัน แถมยังต้องวิ่งหนี ถูกผีหลอกอีก โอ๊ย เสียพลังงานไปเยอะ งวดหน้า ไปงมหอย สงสัยต้องหาหลวงพ่อโกยไว้ห้อยคอบ้างแล้วล่ะ จะได้ไม่วิ่งหน้าตั้งกลับบ้านให้อายลุงอ่าย ชีวิตเด็กบ้านทุ่ง ตลุ้งตุ้งแฉ่ ก็ถึงตอนจบ อีกหนึ่งตอนแล้วละนะ จะบอกให้

สวัสดี

โก๋กรุงเก่า

|| ผีต่างดาว || คืนนี้ผีดุ || ผีต้นมะม่วง || ผีต้นหว้า || ผีทะเล || ผีไร้ญาติ || ผีอีกา ||
|| วิญญาณเมืองโบราณ || วิญญาณเมืองลับแล || ผีโรงหนัง || ผีโรงแรม ||
|| ผีเที่ยงคืน || ผีเจ้าเล่ห์ || ผีบ้านผีเรือน || ผีคุ้งน้ำ || ผีบ้านร้าง || ผียาบ้า ||