5.
การปลูกและการดูแลรักษา
|
การเตรียมพื้นที่ปลูก |
ก.
การเตรียมพื้นที่ปลูกลำไยในที่ลุ่ม |
พื้นที่ลุ่มส่วนมากเปลี่ยนจากพื้นที่นาเป็นสวนลำไย
ลักษณะพื้นที่นั้นมักมีน้ำท่วมขังในช่วงฤดูฝน สภาพดินเป็นดินเหนียว มีระดับน้ำใต้ดินสูง
จึงต้องขุดร่องแล้วนำดินที่ขุดขึ้นมาถมให้เป็นแปลงสูงพอให้พ้นน้ำท่วงขัง
แปลงปลูกควรมีความกว้างประมาณ 6-8 เมตร ร่องน้ำระหว่างแปลงกว้างประมาณ 1-2
เมตร ลึก 0.5-1.5 เมตร ถ้าต้องการดินขึ้นถมแปลงมากๆ ก็ขุดให้ลึก หลักจากขุดเสร็จควรปล่อยให้ดินยุบตัวสักระยะหนึ่งจึงทำการวางระยะปลูก |
ข.
การเตรียมพื้นที่ปลูกลำไยที่ดอน |
พื้นที่ดอนจะเป็นพื้นที่น้ำท่วมไม่ถึง
เช่น พื้นที่ป่าเปิดใหม่หรือพื้นที่ที่ใช้ปลูกพืชไร่การเตรียมพื้นที่ดอนเพื่อทำสวนลำไยต้องพิจารณาถึงปัจจัยเรื่องการให้น้ำแก่ต้นลำไย
ควรวางแผนและจัดเตรียมหาแหล่งน้ำไว้ให้พร้อมสำหรับอนาคต พร้อมทั้งปลูกพืชบังลม
เนื่องจากพื้นที่ดอนโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เชิงเขาลมมักจะพัดแรงจัด ถ้าไม่มีการป้องกันอาจทำให้ลำไยเกิดการโค่นล้มเสียหาย
นอกจากนี้ในช่วงหน้าแล้งควรทำแนวกันไฟไว้รอบๆ สวน |
ระยะปลูก
|
ระยะปลูกของลำไยมีข้อพิจารณาดังนี้คือ |
1.
ความอุดมสมบูรณ์ของดิน โดยปกติดินดีมีความอุดมสมบูรณ์สูง ต้นลำไยย่อมจะมีขนาดลำต้นและทรงต้น
ตลอดจนการแผ่กระจายของรากกว้างกว่าการปลูกในดินไม่สมบูรณ์ นอกจากนี้ถ้าเป็นที่ลุ่มระดับน้ำใต้ดินสูง
การระบายน้ำไม่ค่อยดีควรปลูกระยะชิด เพื่อให้ได้จำนวนต้นต่อพื้นที่สูง เนื่องจากลำไยที่ปลูกในสภาพเช่นนี้มักอายุไม่ยืน
อาจเก็บผลได้ 5-10 ปี |
2.
ขนาดของทรงพุ่ม ลำไยมีนิสัยการออกดอกตรงปลายกิ่ง เมื่อทรงพุ่มชนกัน บริเวณนั้นจะไม่ออกดอก
และจะเจริญในด้านความสูงเนื่องจากแก่งแย่งแสง ทำให้ต้นสูงไม่สะดวกต่อการเก็บเกี่ยวผลผลิต |
3.
การจัดการ ในกรณีที่ต้องการจะปลูกระยะชิดต้องมีการจัดการที่ดีเช่น การตัดแต่งกิ่งเพื่อควบคุมทรงต้น
หรือตัดต้นเว้นต้น เมื่อทรงพุ่มชนกัน |
ระยะปลูกที่เหมาะสมของลำไยปกติจะอยู่ระหว่าง
8-12 ´ 8-12 เมตร แต่ถ้าต้องการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ให้มากควรปลูกระยะชิด
ซึ่งจะได้จำนวนต้นต่อพื้นที่สูง อาจใช้ระยะ 4 ´ 4 เมตร 5 ´ 5 เมตร
หรือ 6 ´ 6 เมตร ลำไยจะเริ่มออกผลในปีที่ 2-3 การปลูกระยะชิดจะให้ผลผลิตต่อไร่สูงในระยะแรกและเมื่อทรงพุ่งชนกันต้องตัดต้นเว้นต้นจะได้ระยะปลูกเท่ากับ
8´ 8 เมตร 10 ´ 10 เมตร หรือ 12 ´ 12 เมตร ตามลำดับ |
การเตรียมหลุมปลูก
|
ควรดูสภาพความอุดมสมบูรณ์ของดินเป็นหลัก
ดินสมบูรณ์การเตรียมหลุ่มไม่ต้องลึก (หลุมเล็ก) ดินที่ไม่สมบูรณ์ควรเตรียมหลุมขนาดใหญ่
ถ้าพื้นที่เป็นที่ดอนควรขุดหลุมให้กว้างและลึก แต่ถ้าเป็นที่ลุ่มอาจเตรียมหลุมขนาดเล็กหรืออาจเอาดินจากที่อื่นมากองให้เป็นโคกให้มีฐานกว้าง
1.5 เมตร สูงพ้นระดับน้ำสูงสุดไปอีก 1 เมตร โดยทั่วไปขนาดของหลุม กว้าง ´
ยาว´ สูง เท่ากับ 0.3´ 0.3´ 0.3 เมตร ถึง 1.0´ 1.0´
1.0 เมตร เวลาขุดหลุมควรจะแยกดินชั้นบนและดินชั้นล่าง นำอินทรีย์วัตถุ เช่น
ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอกเก่าๆ ประมาณ 1 ปุ้งกี๋ ผสมบนดินขุดขึ้นมาและใส่ร๊อคฟอสเฟตหรือกระดูกป่นอีก
100 กรัม คลุกเคล้าดินกับปุ๋ยให้เข้ากันดี จากนั้นนำดินชั้นลนใส่ลงก้นหลุม
และดินชั้นล่างขึ้นไว้ข้างบน |
การเลือกพันธุ์ปลูก
|
พันธุ์ที่นิยมปลูกกันมากที่สุดในปัจจุบันคือพันธุ์อีดอ
รองลงมาได้แก่พันธุ์สีชมพู แห้วและเบี้ยวเขียว การเลือกพันธุ์ที่จะนำไปปลูกนับว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก
จะต้องคัดเลือกกิ่งพันธุ์จากต้นที่ออกดอกติดผลสม่ำเสมอและปราศจากโรคโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคพุ่มไม้กวาด
ซึ่งโรคนี้สามารถถ่ายทอดเชื้อไปกับกิ่งพันธุ์ |
ฤดูปลูกลำไย
|
สามารถปลูกลำไยตลอดปีแต่ช่วงที่เหมาะสมคือ
ปลายฤดูฝน (กันยายนถึงตุลาคม) ซึ่งมีความชื้นในดินและอากาศเหมาะสม ลำไยจะเจริญเติบโตดีและไม่ค่อยมีโรคและแมลงรบกวนแต่จะต้องให้น้ำบ้าง
เกษตรกรจังหวัดเชียงใหม่และลำพูนมักนิยมปลูกในช่วงต้นฤดูฝนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป
เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลาในการรดน้ำ แต่ต้องระมัดระวังเรื่องน้ำขังบริเวณหลุมปลูกจึงต้องหมั่นคอยดูแลเมื่อมีน้ำขังเพื่อระบายน้ำออกจากหลุม |
วิธีการปลูก
|
ส่วนใหญ่ปลูกด้วยกิ่งตอนซึ่งจะชำในชะลอมไม้ไผ่สาน
ทางภาคเหนือ เรียกว่า เป๊าะ การปลูกจะขุดตรงกลางหลุมที่เตรียมไว้ลึกประมาณ
1 ช่วงจอบ ใส่ฟูราดานรองก้นหลุมประมาณครึ่งช้อนแกง กันปลวกและแมลงในดิน แล้ววางกิ่งพันธุ์ลงทั้ง
เป๊าะ กลบดินให้แน่นปักหลักกันลมโยก ในกรณีที่ชำกิ่งตอนลงถุงพลาสติกดำออกก่อน
แล้วจึงนำกิ่งพันธุ์ลงปลูก |
การดูแลรักษา |
ก.การดูแลรักษาต้นลำไยในระยะที่ยังไม่ให้ผล
|
1.
การทำร่ม ในแหล่งปลูกลำไยที่มีน้ำไม่เพียงพอ และมีลมพัดแรงตลอดเวลา ควรทำร่มเงาให้กับต้นลำไยที่ปลูกใหม่
โดยนำฟางข้าวหรือหญ้าคามาสานเป็นแผง แล้วนำไปบังร่มให้กับต้นลำไย หรือใช้ทางมะพร้าวพรางแสงก็ได้
เมื่อต้นตั้งตัวได้ดีค่อยนำเอาที่บังร่มออก |
2.
การให้น้ำ ลำไยต้นเล็กควรมีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ประมาณสัปดาห์ละครั้ง
ทั้งนี้จะต้องดูความชื้นของดินเป็นหลัก |
3.
การให้ปุ๋ย เมื่อต้นพันธุ์ตั้งตัวได้ สังเกตุจากการแตกยอดใหม่ ควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์
เช่น ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยคอกเก่าๆ และให้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ สูตร 15-15-15 อัตรา
100-1,000 กรัม/ตัน/ปี แบ่งใส่หลายๆ ครั้ง ในระยะที่ยังไม่ให้ผลผลิตนั้นจะต้องให้ปุ๋ยเมื่อไรก็ได้
อาจให้ปุ๋ยพร้อมกับการให้น้ำเกษตรกรชาวสวนลำไย
จังหวัดลำพูน ที่อยู่ในสภาพพื้นที่ลุ่มที่ปลูกลำไยแบบยกร่องจะปลูกลำไยตรงกลางแปลงและรอบๆ
แปลงจะทำการปลูกผักชนิดต่งๆ เช่น ผักกาด ผักคะน้า พริก เป็นต้น การปลูกพืชผักดังกล่าวจะต้องมีการให้น้ำและปุ๋ยอยู่ตลอดเวลา
ทำให้ลำไยได้รับน้ำและปุ๋ยตลอด ผลที่ตามมาคือลำไยมีอัตราการรอดตายสูงและมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
ปีหนึ่งแตกใบได้ 4-5 ครั้งและบางต้นสามารถให้ผลผลิตได้ในปีที่ 2 และส่วนใหญ่จะเริ่มให้ปีที่
3 |
4.
การคลุมดิน มีวัตถุประสงค์ เพื่อป้องกันการระเหยของน้ำจากดินและป้องกันวัชพืช
นอกจากนี้ยังมีผลต่ออุณหภูมิบริเวณรอบๆ โคนต้น คือทำให้อุณหภูมิไม่สูงเกินไปในเวลากลางวัน
และให้ความอบอุ่นในเวลากลางคืน วัสดุที่ใช้คลุมดิน ได้แก่ ฟางข้าว เศษหญ้า
เป็นต้น วัสดุดังกล่าวเมื่อย่อยสลายจะเป็นปุ๋ยให้กับต้นลำไย |
ข.การดูแลรักษาลำไยที่ให้ผลผลิตแล้ว
|
1.
การให้น้ำ ช่วงระยะเวลาที่สำคัญที่ควรให้น้ำกับต้นลำไย ซึ่งลำไยต้องการน้ำมาก
มี 2 ช่วงด้วยกันคือ |
1)
ช่วงระยะเวลาการเจริญทางกิ่งใบ ส่วนใหญ่จะอยู่ในฤดูฝนโดยตลอด การให้น้ำจึงไม่ค่อยมีความจำเป็น
เพราะมีน้ำฝนจากธรรมชาติช่วย แต่ถ้าฝนทิ้งช่วงจะต้องมีการให้น้ำเพื่อไม่ให้การเจริญเติบโตหยุดชะงัก |
2)
ช่วงระยะการออกดอกติดผล ระยะนี้จะตรงกับหน้าแล้ง ทั้งความชื้นในดินและในอากาศจะต่ำการให้น้ำจะเริ่มเมื่อลำไยแทงช่อดอกออกมาประมาณ
3-4นิ้ว โดยให้น้ำครั้งแรกให้แต่เพียงแล็กน้อย ครั้งต่อไปจึงให้ในปริมาณมากขึ้น
และต้องทำติดต่อกันโดยตลอด ปริมาณน้ำที่ให้และช่วงระยะเวลาต้องเหมาะสมโดยสังเกตุว่าดินมีความชื้นอย่างสม่ำเสมอ
หยุดให้น้ำเมื่อมีฝนตก ถ้าฝนทิ้งช่วงถึงให้น้ำใหม่อีก ก่อนการเก็บเกี่ยวประมาณ
2 สัปดาห์ควรงดการให้น้ำเพื่อให้ลำไยมีคุณภาพของผลดี
|
ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคม
ควรงดให้น้ำ ทั้งนี้เพื่อให้ลำไยหยุดการเจริญเติบโตทางกิ่งใบ และสะสมอาหารไว้เพื่อการออกดอก |
2.
การให้ปุ๋ย ลำไยเป็นพืชที่ออกดอกติดผลถึงเก็บเกี่ยวผลผลิตใช้เวลานาน
6-8 เดือน ทำให้มีการใช้อาหารจากต้นเพื่อการเจริญเติบโตของดอกและผลมาก นอกจากนี้เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตธาตุอาหารก็ต้องสูญเสียไปด้วย |
ระยะแรกของการพัฒนาของผลลำไยมีแนวโน้มที่ต้องการธาตุไนโตรเจนและฟอสฟอรัสมากกว่าโพแทสเซียม
ส่วนระยะผลใกล้สุกลำไยต้องการธาตุโพแทสเซียมมากกว่าธาตุไนโตรเจนและฟอสฟอรัส
นอกจากนี้ยังพบว่าลำไยหนึ่งกิโลกรัมจะสูญเสียธาตุไนโตรเจน 2.23 กรัม ฟอสฟอรัส
0.32 กรัม และโพแทสเซียม 2.43 กรัม ดังนั้งการให้ปุ๋ยลำไยจังมีความจำเป็นอย่างยิ่งในรอบปีอาจมีการให้
4 ครั้ง ดังนี้ คือ |
ครั้งที่
1 ใส่หลังการเก็บเกี่ยว สูตร 20 -11- 11 หรือใช้ 15-15-15 อัตรา 1-2 กก./ต้น
ร่วมกับสูตร 46-0-0 พร้อมกับปุ๋ยอินทรีย์ 3-5 ปี๊บ เพื่อเร่งการแตกใบอ่อน |
ครั้งที่
2 ในระยะก่อนการออกดอก ปุ๋ยที่ใช้ควรเป็นสูตรที่มีตัวกลางและท้ายสูง ปุ๋ยทางดิน
เช่น 8-24-24 หรือ 12-24-12 อัตรา 1-2 กก./ต้น ใส่ประมาณกลางเดือนตุลาคม |
ครั้งที่
3 เมื่อลำไยแทงช่อดอกยาวประมาณ 5 ซม. ใส่สูตร 25-7-7 หรือสูตรใกล้เคียงอัตรา
1-2 กก./ต้น ร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ 3-5 ปี๊บ/ต้น |
คร้งที่
4 เมื่อเมล็ดเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล สูตรที่ใช้ควรหนักตัวท้ายคือ โพแทสเซียมธาตุน้ำจะช่วยให้การเคลื่อนย้ายอาหารจากใบไปยังผลได้ดี
สูตรที่ใช้เช่น 13-13-21 , 14-14-21 หรือสูตรใกล้เคียงอัตรา 1-2 กก./ต้น |
ปริมาณปุ๋ยที่ใช้ขึ้นอยู่กับขนาดของต้นผลผลิต
ถ้าออกดอกติดผลมากก็ใส่ปุ๋ยมากและจะต้องพิจารณาถึงความอุดมสมบูรณ์ของดิน
นอกจากนี้ควรมีการวิเคราะห์ธาตุอาหารในใบและในดินประกอบในการพิจารณา ในการเลือกชนิดของปุ๋ยและปริมาณที่ใส่
|
3.
การตัดแต่งกิ่ง |
ธรรมชาติของลำไยมักจะแตกกิ่งหลายๆ
กิ่ง ใกล้ๆ พื้น ทำให้ทรงต้นที่ได้ค่อนข้างทึบทำให้ต้องใช้ไม้ค้ำยันกิ่งมาก
บางครั้งมีลมพายุพัดก็มักจะหักโค่น การตัดแต่งกิ่งจะช่วยให้ต้นลำไยมีทรงพุ่งโปร่ง
แสงแดดส่องเข้าไปในทรงพุ่มได้ทั่วถึง อากาศถ่ายเทได้ดี ไม่ทำให้ต้านลมจะช่วยลดปัญหาการโค่นล้ม
การดูแลรักษาทำได้สะดวกและช่วยทำให้การออกดอกติดผลดีขึ้น การตัดแต่งกิ่งแบ่งออกเป็น
2 ระยะ คือ |
ก.
การตัดแต่งกิ่งเพื่อควบคุมทรงต้น จะทำในระยะแรกของการปลูกเป็นการตัดแต่งเพื่อรักษารูปทรง
โดยปล่อยให้ต้นลำไยลำต้นสูง 1 เมตร จากนั้นทำการตัดยอดเพื่อให้ต้นลำไยแตกกิ่งด้านข้าง
ซึ่งอาจจะแตกออกมา 3-5 กิ่ง เลือกกิ่งที่แข็งแรงไว้ 2-3 กิ่ง และต้องคำนึงถึงความสมดุลของทรงต้น
เมื่อลำไยแตกกิ่งอีกก็ให้เลือกกิ่งที่แข็งแรงละทำมุมกว้างอีก 2-3 กิ่ง
ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เมื่อลำไยมีอายุ 3-4 ปี จะได้ต้นลำไยที่มีทรงต้นที่แข็งแรงและมีความสมดุล
|
ข.
การตัดแต่งกิ่งต้นที่ให้ผลผลิต เป็นการตัดแต่งกิ่งประจำปี จะกระทำทุกปี
หลักการเก็บเกี่ยวโดยตัดแต่งกิ่งที่อยู่ในทรงพุ่ง (กิ่งกระโดง) กิ่งที่เป็นโรค
กิ่งแห้ง กิ่งที่ฉีกหัก โดยตัดให้ชิดโคนกิ่งแล้วทารอยแผลด้วยปูนขาว ปูนแดง
สีน้ำมัน หรือสารกันเชื้อราอย่างใดอย่างหนึ่ง |
4.
การกำจัดวัชพืช
|
วัชพืชหรือต้นหญ้าชนิดต่างๆ
ที่ขึ้นอยู่ภายในสวน เช่น หญ้าคม หญ้าขน แห้วหมู เป็นต้น วัชพืชเหล่านี้จะเจริญงอกงามในช่วงฤดูฝนและแก่งแย่งธาตุอาหารกับต้นลำไย
โดยเฉพาะลำไยต้นเล็กที่เริ่มปลูกใหม่ ทำให้ต้นลำไยเจริญเติบโตได้ไม่ดีเท่าที่ควร
นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งสะสมของโรคและแมลงอีกด้วย สำหรับลำไยต้นใหญ่ที่มีทรงพุ่งกว้าง
วัชพืชในบริเวณทรงพุ่มจะน้อยลง จะมีเพียงรอบๆ ทรงพุ่มเท่านั้น การป้องกันกำจัดกระทำ
2-3 ครั้งต่อปี คือช่วงต้นฤดูฝน และปลายฤดูฝน ทั้งนี้ชึ้นอยู่กับปริมาณของวัชพืช
การกำจัดโดยใช้จอบถาก หรือ ให้รถตัดหญ้าตัดรอบๆ ทรงพุ่มและบริเวณสวน ในกรณีที่มีวัชพืชที่มีระบบรากหยั่งลึกลงไปในดิน
เช่น หญ้าคา ควรขุดรากออกให้หมด หากมีวัชพืชมากอาจให้สารกำจัดวัชพืชชนิดดูดซึม
เช่น ไกลโฟเสท เป็นต้น |
5.
การป้องกันการโค่นล้มและการฉีกหัก
|
การปลูกลำไยของเกษตรกรโดยทั่วไปนิยมปลูกด้วยกิ่งตอน
ซึ่งมีระบบรากตื้นประกอบกับลำไยมีนิสัยในการแตกกิ่งก้านใกล้ๆ โคนต้น และมีทรงพุ่มทึบ
กิ่งและลำต้นเปราะ เมื่อถึงช่วงออกดอกติดผล หากมีลมพายุแรงทำให้ต้นโค่นล้ม
หรือบางครั้งกิ่งฉีกหักทำให้เกิดความเสียหาย แนวทางป้องกันคือ |
1)
การปลูกไม้บังลม
|
ไม้บังลมจะช่วยลดกระแสลมแรง
ป้องกันมิให้กิ่งฉีกหัก ทดแทนไม้ค้ำยันและช่วยลดการสูญเสียน้ำ ไม้บังลมที่นิยมปลูกได้แก่
สะเดาช้าง ไผ่ สน เป็นต้น โดยปลูกรอบๆ บริเวณสวนหรือด้านที่มีลมพัดแรง ปลูกให้ห่างจากต้นลำไยจากแถวแรกประมาณ
3-10 เมตร แล้วแต่สภาพภายในสวนระหว่างไม้บังลมกับไม้ผลควรชุดร่องลึกประมาณ
1 เมตร โดยให้ร่องหางจากแถวไม้บังลมประมาณ 1.5 เมตร เพื่อป้องกันรากของไม้บังลมไปรบกวนการแย่งธาตุอาหาร |
2)
การค้ำยัน
|
ต้นลำไยที่ยังเล็กอยู่ควรจะหาหลักปักยึดต้นลำไยหรือใช้เสาสี่เสาปัก
4 มุม ที่รั้วกั้นกันไว้เพื่อป้องกันการโค่นล้ม ถ้าเป็นต้นใหญ่ใช้ไม้ไผ่สอดเข้าไปในทรงพุ่มลำไยให้ไม้ไผ่สัมผัสกับกิ่ง
แล้วใช้ยางรถยนต์ตัดเป็นเส้นกว้าง 2.5 ซม. มัดให้แน่น หรืออาจบากไม้เป็นง่ามแล้วสอดเข้าไปในทรงพุ่มให้ค้ำกิ่งไว้ |
การใช้ลวดมัด
โดยให้ยางนอกเก่าของรถมอเตอร์ไซด์ผูกกิ่งลำไย แล้วใช้ลวดเบอร์ 8 มัดไว้
ผูกทุกกิ่งที่สำคัญของต้นแล้วดึงมารวมกันไว้ ณ จุดกึ่งกลางของพุ่มลำไย
ซึ่งจะใช้เฟืองท้ายเก่าของรถมอเตอร์ไซด์เป็นจุดศูนย์กลาง และยังสามารถดึงจากกิ่งลงสู่ตอม่อที่ฝังไว้รอบต้นลำไย
สามารถป้องกันการฉีกขาดและการโค่นล้มได้ดี
|
3)
การปลูกลำไยด้วยกิ่งเสียบ หรือการเสริมราก |
การปลูกด้วยกิ่งเสียบหรือกิ่งเสริมราก
จะได้ต้นลำไยทีมีระบบรากแก้วหยั่งลึกลงไปในดิน ช่วยลดการโค่นล้มได้มาก |
ศัตรูลำไย |
ก.
โรคลำไย |
1.
โรคพุ่มไม้กวาด |
ลักษณะอาการ
|
อาการที่ปรากฎที่ส่วนยอดและส่วนที่เป็นตา
โดยเริ่มแรกใบยอดแตกใบออกเป็นฝอยมีลักษณะเหมือนพุ่มไม้กวาด ใบมีขนาดเล็กเรียวยาว
ใบแข็งกระด้างไม่คลี่ออก กลายเป็นกระจุกสั้นๆ ขึ้นของส่วนยอด หากยอดที่เป็นโรคเมื่อถึงคราวออกช่อดอก
ถ้าไม่รุนแรงก็จะออกช่อชนิดติดใบปนดอกและช่อสั้นๆ ซึ่งอาจติดผลได้ 4-5 ผล
ถ้าเป็นโรครุนแรง ดอกลำไยที่เกิดขึ้นจะแตกกิ่งเป็นฝอย มีใบชนิดไม่คลี่อยู่มาก
ลำไยที่เป็นโรครุนแรงต้นจะโทรม ออกดอกติดผลน้อยพันธุ์ลำไยที่อ่อนแอต่อโรคนี้
คือ พันธุ์เบี้ยวเขียวก้านอ่อน |
สาเหตุของโรคและการแพร่ระบาด |
สาเหตุเกิดจากเชื้อมายโคพลาสมา
(Mycoplasma) แพร่ระบาดได้ทางกรรมพันธุ์(ใช้กิ่งตอนจากต้นที่เป็นโรคไปปลูก)
โดยมีแมลงพวกเพลี้ยจั๊กจั่นสีน้ำตาลเป็นพาหะ นำโรคไปสู่ต้นอื่นๆ ได้อีกด้วย |
การป้องกันและกำจัด
|
1.
คัดเลือกพันธุ์จากต้นที่ไม่เป็นโรคไปปลูก |
2.
ป้องกันแมลงพาหะ พวกเพลี้ยจั๊กจั่นสีน้ำตาล โดยใช้สารเคมี เช่น พอสช์ อัตรา
50 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ มิพซิน อัตรา 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ ลอร์สแบน
อัตรา 80 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร |
3.
สำหรับต้นที่เป็นโรค ถ้าเป็นไม่มาก ควรตัดกิ่งที่เป็นโรคนำมาเผาทำลาย ซึ่งชาวสวนจะต้องพร้อมใจป้องกันและกำจัดทุกๆ
สวน เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแพร่ระบาด |
2.
โรคหงอย |
สักษณะอาการ
|
การเจริญเติบโตทางกิ่งใบน้อย
ใบเล็ก และคดงอมองไกลๆ คล้ายใบลิ้นจี่ลำต้นซีดลง เมื่อตัดกิ่งของลำไยที่เป็นโรคนี้มาตรวจจะพบว่าไส้กลางเป็นสีน้ำตาล
ชาวบ้านมักเรียกว่า โรคไส้ดำ โรคนี้มักเป็นกับต้นลำไยที่ออกดอกติดผลดี บางสวนเป็นกันทั้งสวน
เป็นต้นเล็กและต้นใหญ่ |
สาเหตุของโรค
|
ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด
แต่มีนักวิชาการได้สรุปความเห็นแตกต่างกันคือ คาดว่าน่าจะเกิดจากถูกหนอนเจาะทำลายในกิ่ง
หรือถูกเชื้อมายโคพลาสมาเข้าทำลาย ซึ่งเรื่องนี้กำลังอยู่ในขั้นดำเนินการวิจัยเพื่อพิสูจน์สาเหตุที่แท้จริงของโรคนี้ต่อไป |
การป้องกันและการกำจัด
|
ต้องบำรุงรักษาต้นลำไยให้แข็งแรง
มีการให้น้ำและปุ๋ยอย่าสม่ำเสมอ หากเป็นไม่มากให้ตัดกิ่งออกให้หมด แล้วปล่อยให้แตกกิ่งใหม่ทดแทน
ในกรณีที่เป็นมากควรโค่นทิ้งและปลูกต้นใหม่เสริม |
3.
โรคจุดสาหร่ายสนิม |
ลักษณะอาการ
|
โรคจุดสาหร่ายสนิมส่วนใหญ่แล้วจะเกิดที่ใบ
เกิดจุดค่อนข้างกลม มีขนาด 0.5-1 ซม. แรกๆ เป็นขุยสีเขียว ต่อมาในระยะเกิดสปอร์จะเป็นสีแดง
สีสนิมเหล็ก ผิวมีลักษณะเป็นขุยคล้ายกำมะหยี่ เป็นที่ใบไม่รุนแรงมากนัก แต่ความรุนแรงจะปรากฎที่กิ่งโดยเฉพาะถ้าเป็นมากจะทำให้ต้นทรุดโทรม
กิ่งที่ถูกแสงจะถูกทำลายโดยเกิดเป็นขุยเช่นเดียวกับที่ใบ จะเป็นจุดหรือเกิดต่อเนื่องเป็นขุยสีสนิมเหล็ก
ต่อมาขุยก็จะแห้ง จุดที่ถูกทำลายเปลือกจะแตกและแห้งทำให้ใบเหลืองร่วง แสดงอาการทรุดโทรม
ทั้งนี้เป็นเพราะรากเทียมของสาหร่ายเข้าไชชอน ในเนื้อเยื่อดูดกินน้ำเลี้ยงและเซลล์เน่าตาย
ทำให้ส่วนนั้นแห้งตายไป |
สาเหตุของโรคและการแพร่ระบาด
|
เกิดจากพืชชั้นต่ำพวกสาหร่าย
Cephaleuros Viresccens ทำลายพืชได้หลายชนิดระบาดในที่ๆ มีความชื้นสูงโดยเฉพาะฤดูฝน
แพร่ระบาดโดยสปอร์จะปลิวไปตามลม นอกจากนี้น้ำก็เป็นพาหะนำสปอร์ไปสู่ต้นอื่นได้เช่นเดียวกัน |
การป้องกันและการกำจัด
|
โดยการพ่นด้วยสารป้องกันกำจัดเชื้อราพวกสารประกอบของทองแดง
เช่น คอบเปอร์ออกซีคลอไรด 50 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร |
4.
โรคสีชมพู |
ลักษณะอาการ
|
อาการเกิดที่กิ่ง
โดยเฉพาะตรงง่ามของกิ่งหรือลำต้นที่เป็นโรค ใบจะปรากฎสีเหลืองซีดและเมื่อโรครุนแรงอาจทำให้ใบร่วงเหลือแต่กิ่ง
บริเวณกิ่งที่ถูกทำลายจะมีคราบของเชื้อราสีขาวอมชมพูแผ่ขยายปกคลุมคล้ายทาด้วยสีชมพู
เมื่อกิ่งแห้งจะเห็นคราบนี้ชัดขึ้นเป็นสีชมพูหรือสีปูนแห้ง เมื่อผ่าตรวจดูเปลือกจะผุ
เนื้อไม้ยุ่ยและกิ่งแห้งตายไปในที่สุด ทั้งนี้เป็นเพราะเกิดคล้ายรากเทียมที่ใต้ผิวแผ่นเชื้อราที่แนบติดกับผิวของกิ่งเข้าดูดกินน้ำเลี้ยงและทำลายเนื้อเยื่อบริเวณนั้น |
สาเหตุของโรคและการแพร่ระบาด
|
เกิดจากเชื้อรา
Corticium salmonicolor ระบาดในฤดูฝนสปอร์ของเชื้อราระบาดไปกับลมและน้ำฝน
โดยเฉพาะกิ่งล่างมักจะถูกเชื้อรานี้เข้าทำลายเกิดเป็นโรคอยู่ทั่วไป ทรงพุ่มที่หนาทึบ
ย่อมช่วยเพิ่มการแพร่ระบาดของโรคนี้ได้มากและเร็วขึ้น |
การป้องกันและกำจัด |
ควรตัดแต่งกิ่งเป็นโรคออกไปเผาไฟ
เพื่อลดปริมาณเชื้อโรคและให้มีการถ่ายเทอากาศดีขึ้น แล้วพ่นด้วยเคมีตรงส่วนที่เป็นโรคด้วยคอปเปอร์ออกซีไรด์
50 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร หรือเอดิเฟนฟอส 30 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร |
5.
โรคราดำ |
ลักษณะอาการ
|
สีดำของเชื้อราขึ้นปกคลุมใบ
กิ่ง ช่อดอก และผิวของผล ทำให้เป็นคราบสีดำคล้ายเขม่า บนใบที่ถูกเคลือบด้วยแผ่นคราบดำของเชื้อรานี้
เมื่อแห้งหลุดออกเป็นแผ่นได้ง่าย เชื้อราไม่ได้ทำลายพืชโดยตรงแต่ไปลดการปรุงอาหารของใบ
อาการที่ปรากฎที่ช่อดอกถ้าเป็นรุนแรงทำให้ดอกร่วงไปสามารถผสมเกสรได้ จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ดอกร่วงเพราะถูกเชื้อราดำเข้ามาเคลือบ |
สาเหตุของโรคและการแพร่ระบาด
|
สักษณะอาการเช่นนี้
เกิดจากผลของการทำลายของแมลงพวกปากดูด ที่ดูดกินส่วนอ่อนของลำไยแล้วถ่ายน้ำหวานมาปกคลุมส่วนต่างๆ
ของลำไย เชื้อราที่มีอยู่ในอากาศ โดยเฉพาะเชื้อรา Capnoclium ramosum , Meliola
euphoriae. จะปลิวมาขึ้นบนส่วนที่มีน้ำหวานที่แมลงขับถ่ายออกมา แล้วเจริญเป็นคราบสีดำ
แมลงปากดูดเท่าที่พบเช่น เพลี้ยแป้ง เพลี้ยหอย เพลี้ยจั๊กจั่น และเพลี้ยอ่อน
เป็นต้น |
6.
โรคผลเน่าหลักการเก็บเกี่ยว
|
ลักษณะอาการ |
เชื้อราในอากาศจะเข้าทำลายที่ขั้วหรือบริเวณแผลของผล
ทำให้เนื้อเยื้อภายในของผลเน่าและฉ่ำน้ำ ผิวของผลจะชื้นเป็นสีน้ำตาลคล้ำเหมือนเปียกน้ำ
แต่ส่วนของผิวเปลือกอาจยังไม่แสดงลักษณะอาการ แต่ภายในผลเกิดเน่าหมด บางครั้งจะมีของเหลวไหลออกมา
มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว เนื้อเยื่อภายใน นอกจากจะเน่าเละแล้วยังมีสีขาวขุ่นคล้ายฝ้า
แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วมากถ้าเก็บผลไว้ในที่อับชื้น โรคนี้จึงมีความสำคัญต่อผลผลิตหลังการเก็บเกี่ยวมาก |
สาเหตุของโรคและการแพร่ระบาด
|
เกิดจากเชื้อราหลายชนิด
เช่น Rhizpus nigricans , Aspergillus niger สปอร์จะปลิวระบาดไปทั่ว กลุ่มสปอร์จะสีดำ
ซึ่งลักษณะของเชื้อราชนิดแรกจะมีลักษณะหยาบๆแต่เชื้อราชนิดหลังนั้นมีลักษณะละเอียด |
การป้องกันและกำจัด |
หลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตต้องพ่นทันทีด้วยสารเคมี
เช่น เบโนมิล 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ มาแนบ 40 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือไลโซล
5 เปอร์เซ็นต์ แล้วผึ่งให้แห้ง เพื่อผลในการส่งออกต่อไป |
ข.
แมลงศัตรูลำไย
|
1.
มวนลำไย หรือที่ชาวบ้านทางภาคเหนือเรียก แมงแกง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า
Tessaratoma papilosa Drury. ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะทำความเสียหายให้กับลำไยโดยดูดกินน้ำเลี้ยงจากยอดอ่อน
ใบอ่อน ช่อดอก และผลอ่อน ทำให้ยอดอ่อนและใบอ่อนแห้งเหี่ยวช่อดอกเสียหาย ไม่ติดผลหรือทำให้ร่วงหล่นทั้งแต่ยังเล็ก
มีการระบาดอยู่ประจำในแหล่งปลูกลำไยในจังหวัดเชียงใหม่ และลำพูนโดยเฉพาะบริเวณที่ราบลุ่มติดกับแม่น้ำปิง |
ศัตรูธรรมชาติ |
ศัตรูธรรมชาติของมวนลำไยเท่าที่มีการสำรวจพบได้แก่
แตนเบียนไข่ Ooencyrtus sp. และ Anstatus sp. ซึ่งจะเป็นตัวทำลายไข่ของมวนลำไยในธรรมชาติ |
การป้องกันกำจัด |
1.
ตัดแต่งกิ่งลำไยไม่ให้ต้นหนาจนเกินไปจนเป็นที่หลบซ่อนและพักอาศัยของตัวเต็มวัย |
2.
จับตัวเต็มวัย ตัวอ่อน และไข่ไปทำลาย |
3.
ถ้าพบระบาดมากใช้สารฆ่าแมลงพวก โมโนโรคโตฟอส ฉีดพ่นในอัตรา 20 ซีซี. ต่อน้ำ
20 ลิตร หรือสารฆ่าแมลงคาร์บาริล อัตรา 45 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร โดยฉีดพ่นในช่วงระหว่างเดือนมกราคมถึงเมษายน
ช่วงเวลาที่ลำไยกำลังเกิดช่อดอกและติดผล ซึ่งช่วงดังกล่าวจะพบทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัย
สำหรับสารฆ่าแมลงพวกคาร์บาริลจะใช้ได้ผลดีในระยะที่แมลงเป็นตัวอ่อนในวัย1-2
เท่านั้น ถ้าพ่นในวัยอื่นจะไม่ได้ผล |
2.
หนอนคืบกินใบ (แมลงบุ้งลำไย) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Oxyoders
scrobiculata Fabr. หนอนผีเสื้อชนิดนี้ระบาดอยู่ทั่วไปตามแหล่งปลูกลำไยและลิ้นจี่
พบมากในบางแห่งโดยเฉพาะระยะที่ลำไยแตกยอดอ่อน ระหว่างเดือนกรกฏาคมถึงตุลาคม
ทำลายโดยกัดกินใบอ่อนให้เสียหาย ทำให้ยอดชะงักการเจริญเติบโต |
การป้องกันและกำจัด |
1.
เขย่ากิ่งให้หนอนร่วงหล่นแล้วเก็บรวมไปทำลายหรือนำไปเป็นอาหารสัตว์เลี้ยง
เช่น เป็ด ไก่ |
2.
เก็บรวมดักแด้ไปทำลาย หรือเผาไฟ |
3.
เมื่อลำไยแตกยอดอ่อน ถ้าพบมีการระบาด พ่นสารฆ่าแมลงคาร์บาริลในอัตรา 30-45
กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร ถ้าหนอนระบาดทำความเสียหายอย่างรุนแรง พ่นด้วยสารฆ่าแมลงโมโนโครโตฟอส
ในอัตรา 15 ซีซี.ต่อน้ำ 20 ลิตร
|
3.
หนอนม้วนใบ มีซื่อวิทยาศาสตร์ว่า Archips micaceana Walker. หนอนจะกัดกินใบอ่อนและช่อดอก
ตัวหนอนจะห่อม้วนใบเข้าหากันหรือชักใยดึงเอาหลายๆ ใบหรือดึงเอาช่อดอกเข้ามารวมกันแล้วอาศัยอยู่ภายใน
ถ้าระบาดมากทำให้ยอดอ่อนและช่อดอกเสียหาย |
การป้องกันและการกำจัด |
1.
หมั่นตรวจตามยอดอ่อนและช่อดอก ถ้าพบให้เก็บทำลาย |
2.
ถ้าระบาดรุนแรงมากควรฉีดพ่นด้วยสารโมโนโครโตฟอส ในอัตรา 20 ซีซี. ต่อน้ำ
20 ลิตร หรือพ่นด้วยไพรีทรอยด์ อัตรา 10 ซีซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร
|
4.
แมลงค่อมทอง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Hypomecces squamsos Fabr.
จะกัดกินใบอ่อนและดอก ทำให้ใบ-ดอกเสียหายและชะงักการเจริญเติบโต มักพบมากในเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม
โดยอยู่เป็นคู่ๆ และจะลดน้อยลงไปเองตามธรรมชาติในเดือนเมษายน และพบน้อยมากระหว่างฤดูฝน |
การป้องก้นกำจัด
|
1.
เขย่าต้นให้แมลงหล่นลงมาแล้วนำไปทำลาย |
2.
ให้สารฆ่าแมลงพวกคาร์บาริล ในอัตรา 30-45 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ คาร์บาเมท(แลนเนท)
ในอัตรา 10-15 กรัม ต่อน้ำ 20 ลิตร |
3.
ถ้ามีการระบาดมากใช้สารโมโนโครโตฟอส ในอัตรา 15-20 ซีซี. ต่อน้ำ 20 ลิตร
|
5.
ผีเสื้อมวนหวาน ทางภาคเหนือเรียก กำเบ้อตาแดง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า
Othreisfullonica พบระบาดในระยะที่ผลลำไยเริ่มแก่และใกล้เก็บเกี่ยว
ทำลายผลโดยการใช้ส่วนของปาก (proboscis) เจาะแทงเข้าไปในผลไม้ที่ใกล้สุกหรือผลไม้สุก
ทำให้ผลเน่าและร่วงในที่สุด สำหรับลำไยเมื่อถูกผีเสื้อมวนหวานดูดกินแล้วจะร่วงภายใน
3-4 วัน ผลที่ร่วงเมื่อบีบดูดจะมีน้ำหวานไหลเยิ้มออกมาตามรูที่ถูกเจาะ และเมื่อแกะผลดูจะพบว่าเนื้อในของลำไยจะเน่าเสีย
แมลงชนิดนี้ออกหากินในเวลากลางคืน ช่วงเวลาที่พบผีเสื้อมากที่สุดคือ 20.00-24.00
น. |
ศัตรูธรรมชาติ
|
ขณะนี้มีการสำรวจพบได้แก่แตนเบียน
Euplectus sp. |
การป้องกันกำจัด
|
1.
ตรวจจับในเวลากลางคืนด้วยไฟฉายส่องไปตามต้นถ้ามีแมลงจะเห็นตาสีแดงใช้สวิงจับ |
2.
ทำลายพืชอาศัยต่างๆ เช่น เถาย่านาง เถาชิงช้าชาลี เถาบอระเพ็ด |
3.
ทำลายตัวหนอนโดยตรงเมื่อพบตัวหนอน |
4.
ใช้เหยื่อพิษโดยใช้สับปะรดผ่าเป็นชิ้นๆ ให้มีความหนาประมาณ 1 นิ้ว และนำไปแช่ในน้ำที่ผสมสารฆ่าแมลงพวกคาร์บาริล
โดยใช้สารฆ่าแมลง 20 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร แซ่นานประมาณ 5 นาที เสร็จแล้วนำไปแขวนไว้บริเวณต้นลำไย
|
6.
หนอนกินดอกลำไย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Eublemma versicolora ตัวหนอนจะกัดกินดอกลำไยโดยใช้ขี้หนอนและใยทำเป็นทางสีน้ำตาลไปตามกิ่งหรือช่อดอก
ตัวหนอนกินไปถึงไหนจะมีทางไปถึงนั้น ซึ่งใช้เป็นที่สังเกตุได้ง่าย หนอนจะทำลายดอกจนหมด |
การป้องกันกำจัด
|
1.
จับทำลายตัวหนอนที่พบตามช่อดอก |
2.
ถ้าระบาดมากควรใช้สารฆ่าแมลงโมโนโคโตรฟอส ในอัตรา 15-20 ซีซี. ต่อน้ำ 20
ลิตร ฉีดพ่นในระยะที่ดอกยังไม่บาน
|
7.
เพลี้ยหอย และเพลี้ยแป้ง ทำความเสียหายให้กับลำไยโดยดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบยอดอ่อน
ช่อดอก และผล ถ้าระบาดรุนแรงจะทำให้บริเวณที่ถูกทำลายเหี่ยวแห้งไปในที่สุดนอกจากนี้ทั้งเพลี้ยหอย
และเพลี้ยแป้ง ยังขับของเหลวชนิดหนึ่งออกมา ซึ่งจะเป็นอาหารของมดและเป็นแหล่งอาหารของราดำ
ราดำเกิดขึ้นที่ผลจะทำให้ผลดูสกปรก ราคาผลผลิตจะตกต่ำ |
การป้องกันกำจัด
|
1.
ตัดส่วนของพืชที่มีเพลี้ยหอยและเพลี้ยแป้งอาศัยอยู่ใปเผาไฟ |
2.
เมื่อพบเพลี้ยหอยและเพลี้ยแป้งเริ่มระบาด ควรพ่นด้วยมาลาไธออน หรือสารไพรีทรอยด์
อัตราส่วนตามสลาก พ่นให้ทั่ว 2-3 ครั้ง ห่างกัน 10 วัน
|
8.
หนอนเจาะกิ่งและลำต้น มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Zeuzeracoffeae เกิดจากผีเสื้อที่วางไข่ตามเปลือกของกิ่งแล้วฟักออกมาเป็นตัวหนอนเข้าเจาะกินกิ่งหรือลำต้น
จะทำให้กิ่งหรือลำต้นแห้งตาย |
การป้องกันกำจัด
|
1.
ตัดกิ่งที่ถูกทำลาย และมีตัวหนอนนำไปเผาไฟ และจับตัวแก่ที่มาเล่นไฟกลางคืนไปทำลาย |
2.
ให้สารดีดีวีพี (Dedevap) ในอัตรา 1 ส่วน ต่อน้ำ 5 ส่วน ฉีดเข้าไปตามรูที่มีหนอนแล้วใช้ดินเหนียวอุดไว้
|
9.
ไร ทำลายพืชโดยใช้อวัยวะส่วนปากที่แหลม (stylets) แทงเข้าไปในเนื้อเยื่อของพืช
และดูดกินน้ำเลี้ยงบนใบ ผล หรือกิ่งอ่อน ทำให้ส่วนต่างๆ ที่ถูกทำลายนั้นผิดปกติโดยใบจะมีขนาดเล็กเรียวกว่าปกติ
และใบม้วนงอลง ถ้าเป็นกับยอดใหม่จะมีใบเป็นกระจุกคล้ายกับโรคพุ่มไม้กวาด |
การป้องกันกำจัด
|
1.
ตัดส่วนที่ถูกทำลายเผาไฟ |
ถ้าระบาดมากและไม่สามารถตัดแต่งกิ่งถูกทำลายได้หมด
ให้ใช้สาร propargite เช่น โอไมท์ หรือ amitraz เช่น ไมแทค ฉีดพ่นหลักจากเก็บเกี่ยวและตกแต่งทรงพุ่มฉีดพ่นน้ำซ้ำอีกเมื่อลำไยแทงช่อ
ไม่ควรพ่นสารฆ่าไร เมื่อมีแดดจัดนอกจากโรคและแมลงแล้วยังมีศัตรูที่สำคัญได้แก่
พวกค้างคาว กระรอก กระแต และหนู เป็นต้น
|
|
การใช้สารโปรแตสฯเพื่อให้ออกดอก
การแปรูปลำไย
พฤษกศาสตร์และนิเวศน์วิทยา
มาตรฐานลำไยของประเทศไทย
การผลิตทางการเกษตรที่ถูกต้องและเหมาะสม
การตลาดลำไย ราคาและต้นทุนการผลิตลำไย
กลยุทธ์การพัฒนาลำไย ประโยชน์ของลำไย
สถานการณ์ผลิตลำไยจังหวัดเชียงใหม่
เอกสารอ้างอิง
พันธุ์ลำไย
|
ประวัติและถิ่นกำเนินของลำไย
การกำหนดเขตเกษตรเศรษฐกิจสำหรับลำไย |
|
กลับไปหน้าสารบัญลำไย |
|