9.
การตลาดลำไย
|
ลำไยถือได้ว่าเป็นไม้ผลเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย
เพราะผลผลิตลำไยเป็นที่นิยมของผู้บริโภคทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งนอกจากปริมาณผลผลิตจะพอเพียงต่อความต้องการบริโภคภายในประเทศแล้ว
ยังสามารถส่งออกไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศทำรายได้เข้าประเทศปีละหลายร้อยล้านบาท
และมีแนวโน้มว่าปริมาณและมูลค่าการส่งออกยังคงเพิ่มขึ้นทุกปี |
ลักษณะการซื้อขายลำไย |
การซื้อขายลำไยระหว่างเกษตรกรกับพ่อค้าโดยส่วนใหญ่แล้ว
พ่อค้ามักจะเป็นผู้กำหนดราคาในการซื้อขาย ซึ่งรูปแบบการขายของเกษตรกรจะมี
3 รูปแบบ คือ
|
1. |
การขายแบบเหมาสวน |
|
เป็นลักษณะการขายแบบเหมาสวนก่อนที่ผลผลิตจะออกสู่ตลาด
หรือเป็นการซื้อขายล่วงหน้าที่เรียกว่า ตกเขียว ซึ่งอาจจะขายเหมาเป็นบางส่วน
หรือขายเหมาทั้งหมดก็ได้ โดยพ่อค้าจะเข้าไปติดต่อตกลงราคาซื้อขายกับเกษตรกรเจ้าของสวนที่ต้องการจะเหมา
เมื่อตกลงราคาซื้อขายกันได้แล้ว พ่อค้าจะจ่ายเงินมัดจำไว้ ส่วนเงินที่เหลือจะทยอยจ่ายให้เมื่อเข้าไปเก็บเกี่ยวผลผลิตจนหมดสวนแล้ว
เกษตรกรที่ขายเหมาในช่วงลำไยติดผล และเริ่มมีการเก็บเกี่ยวเข้าสู่ตลาดแล้ว
จะขายได้ในราคาที่ใกล้เคียงกับราคาตลาด ส่วนเกษตรกรที่ขายไปในช่วงที่ลำไยออกดอกหรือติดผลในระยะเริ่มต้นจะขายได้ในราคาที่ต่ำ
เพราะในขณะที่ขายนั้นยังไม่ทราบภาวะตลาด และราคาที่แท้จริง |
2. |
เกษตรกรขายเองหรือขายอิสระ |
|
เป็นลักษณะที่เกษตรกรอาจขายลำไยเองที่สวน
หรือมีพ่อค้ามารับซื้อถึงสวนหรือนำไปวางขายที่ตลาด หรือนำไปขายที่จุดรับซื้อของพ่อค้าในระดับต่างๆ
โดยเกษตรกรอาจจะขายแยกตามเกรด หรือขายคละก็ได้ |
3. |
การรวมกลุ่มกันขาย |
|
เป็นการขายในลักษณะที่เกษตรกรรวมกลุ่มกันขายลำไยให้กับพ่อค้า
เพื่อที่จะได้มีอำนาจต่อรองทางด้านราคากับพ่อค้า แต่วิธีการแบบนี้ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก
จะเห็นได้จากการสำรวจของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร พบว่า ในปี 2538 เกษตรกรไม่ใช้วิธีการขายแบบนี้เลย |
วิถีการตลาดลำไย |
การซื้อขายลำไยจากเกษตรกรจนถึงผู้บริโภค
ได้ผ่านผู้ที่ทำหน้าที่ทางการตลาดพอสรุปเป็นภาพรวมได้ ดังนี้เกษตรกร จะจำหน่ายผลผลิตให้กับพ่อค้าท้องที่
พ่อค้าท้องถิ่น พ่อค้าขายปลีก พ่อค้าขายส่งต่างจังหวัด พ่อค้าขายส่งกรุงเทพฯ
โรงงานแปรรูป ผู้ส่งออกและขายให้กับผู้บริโภคภายในประเทศโดยตรงพ่อค้าท้องที่
จะจำหน่ายผลผลิตต่อไปให้กับพ่อค้าท้องถิ่น พ่อค้าขายส่งต่างจังหวัด พ่อค้าขายส่งกรุงเทพฯ
พ่อค้าขายปลีก ผู้ส่งออก และโรงงานแปรรูปพ่อค้าท้องถิ่น จะจำหน่ายผลผลิตต่อไปให้กับพ่อค้าขายส่งกรุงเทพฯ
โรงงานแปรรูปและผู้ส่งออกโรงงานแปรรูป จะรับซื้อผลผลิตแล้วมาทำการแปรรูปเป็นลำไยอบแห้ง
ลำไยกระป๋อง และลำไยแช่แข็ง จำหน่ายภายในประเทศ และส่งออกไปต่างประเทศพ่อค้าขายส่งกรุงเทพฯ
จะจำหน่ายผลผลิตให้กับพ่อค้าขายปลีก พ่อค้าต่างจังหวัดและผู้บริโภคภายในประเทศพ่อค้าขายส่งต่างจังหวัด
จะจำหน่ายผลผลิตให้แก่พ่อค้าขายปลีก และผู้บริโภคภายในประเทศพ่อค้าขายปลีก
จำหน่ายผลผลิตให้กับผู้บริโภคภายในประเทศ |
การจัดชั้นคุณภาพหรือการจัดเกรดของลำไยแบ่งออกได้ดังนี้ |
1. |
เกรดใหญ่พิเศษ มีจำนวนผลไม่เกิน
70 ผลต่อกิโลกรัม |
2. |
เกรด
A มีจำนวนผลตั้งแต่ 71 - 80 ผลต่อกิโลกรัม |
3.
|
เกรด
B มีจำนวนผลตั้งแต่ 81 - 90 ผลต่อกิโลกรัม |
4.
|
เกรด
C มีจำนวนผลตั้งแต่ 91 ผลต่อกิโลกรัมขึ้นไป |
ส่วนลำไยร่วงไม่มีการจัดเกรดแต่อย่างใด
แต่อย่างไรก็ตาม การจัดชั้นคุณภาพของลำไย อาจแตกต่างกันออกไไปตามแต่ละพื้นที่
ซึ่งมีการจัดเกรดหลายๆ แบบ เช่น เกรด จัมโบ้, A, B, C หรือ เกรดจัมโบ้, A,
B, C, ร่วง เกรด A, B, C หรือ เกรด 1, 2, 3 เป็นต้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วในการกำหนดเกรดของลำไยจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของพ่อค้าที่มารับซื้อ |
การบรรจุหีบห่อลำไย |
การบรรจุหีบห่อเพื่อนำลำไยไปขายจะมี
2 ลักษณะ คือ การบรรจุเข่งและการบรรจุกล่อง ซึ่งจากการสำรวจของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
พบว่า เกษตรกรจะนิยมบรรจุลำไยแบบกล่องมากกว่าการบรรจุแบบเข่ง ทั้งนี้เนื่องจากการบรรจุแบบกล่องมีความสะดวกและมีความสวยงามมากกว่า
ซึ่งประเภทของกล่องที่ใช้บรรจุมีทั้งแบบเป็นกล่องกระดาษ และแบบกล่องพลาสติก |
การขนส่งลำไย |
การขนส่งแบ่งเป็น
2 ลักษณะ คือการขนส่งภายในประเทศ และการขนส่งไปต่างประเทศ |
1. |
การขนส่งภายในประเทศ
จะทำการขนส่งโดยรถยนต์และรถไฟ ซึ่งการขนส่งโดยรถยนต์ส่วนใหญ่จะใช้รถบรรทุก
6 ล้อ หรือ 4 ล้อ |
|
ส่วนการขนส่งโดยรถไฟ
จะมีทั้งขบวนรถด่วนและรถเร็ว ซึ่งอัตราค่าขนส่งโดยรถยนต์หรือรถไฟ ขึ้นอยู่กับปริมาณและระยะทางในการขนส่ง
กล่าวคือ ยิ่งระยะทางไกลเท่าใด อัตราค่าขนส่งยิ่งแพงขึ้นเท่านั้น |
2.
|
การขนส่งไปต่างประเทศ
สามารถขนส่งได้ 4 ทางคือ |
|
2.1 |
การขนส่งทางรถยนต์
ผู้ส่งออกมักใช้รถตู้คอนเทรนเนอร์ ปรับอากาศ โดยก่อนที่จะนำลำไยขึ้นจากรถ
จะมีการอบด้วยสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ |
|
|
เพื่อยืดอายุการเก็บรักษาลำไยให้นานขึ้น
จากนั้นจะขนส่งผ่านชายแดนภาคใต้ไปประเทศมาเลเซียและสิงค์โปร์ |
|
2.2 |
การขนส่งทางรถไฟ
ทางการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ให้บริการจัดส่งลำไยจากกรุงเทพฯ ไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์
ประเทศมาเลเซียเท่านั้น |
|
2.3 |
การขนส่งทางเรือ
เป็นวิธีการขนส่งที่พ่อค้านิยมกันอย่างมาก เพราะมีค่าระวางถูกกว่าการขนส่งทางเครื่องบิน
และสามารถบรรทุกได้คราวละมากๆ |
|
|
รวมทั้งปัจจุบันได้มีการอบก๊าซซัลเฟอร์ให้กับลำไย
เพื่อยืดอายุการเก็บรักษา ทำให้สามารถขนส่งลำไยทางเรือ ไปยังประเทศไกลๆ ได้โดยที่ลำไยไม่เน่าเสีย |
|
2.4 |
การขนส่งทางเครื่องบิน
ผู้ส่งออกสามารถข่นส่งลำไย โดยระวางบรรทุกเครื่องบินประจำ หรือเที่ยวบินเช่าเหมาลำ
เพื่อการขนส่งลำไยโดยเฉพาะก็ได้
|
|
|
ความต้องการใช้ลำไยปริมาณความต้องการใช้ลำไยจะมากน้อย
ขึ้นอยู่กับปริมาณผลผลิตในแต่ละปี ซึ่งความต้องการใช้ลำไย แบ่งออกได้ 3 ลักษณะ
คือ |
|
1.
|
บริโภคสดภายในประเทศ |
|
2.
|
แปรรูปเป็นลำไยกระป๋อง
และลำไยอบแห้ง |
|
3. |
ส่งออกเป็นลำไยสด
และแช่แข็งโดยปกติผลผลิตลำไยที่ได้ จะใช้บริโภคภายในประเทศคิดเป็นร้อยละ
20ส่งออกเป็นลำไยสดและแช่แข็งคิดเป็น
|
|
|
ร้อยละ
30 แปรรูปเป็นลำไยอบแห้งคิดเป็นร้อยละ
35 และลำไยกระป๋องคิดเป็นร้อยละ 15 โดยเฉพาะในปี 2539 ซึ่งมีผลผลิตออกมามาก
ทำให้มีมูลค่าการส่งออกเป็นลำไยสดคิดเป็นร้อยละ 30 แปรรูปเป็นลำไยกระป๋องและอบแห้งคิดเป็นร้อยละ
60 และบริโภคภายในประเทศเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น |
การกำหนดราคาซื้อขายลำไย
|
ในการกำหนดราคาซื้อขายลำไยของพ่อค้า
จะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง ที่สำคัญ ได้แก่ |
1.
ปริมาณผลผลิตที่ออกมาในแต่ละปี |
2.
พันธุ์ของลำไย ซึ่งลำไยที่ได้ราคาสูงสุดคือ พันธุ์สีชมพู รองลงมาได้แก่ พันธุ์เบี้ยวเขียว
แห้ว อีดอ |
3.
ขนาดและคุณภาพของลำไย |
4.
ปริมาณความต้องการของตลาดกรุงเทพฯ |
5.
ราคาและปริมาณการส่งออกไปต่างประเทศ |
6.
ราคาซื้อขายในวันที่ผ่านมา |
7.
จำนวนพ่อค้าขายส่งและขายปลีก |
ตลาดลำไยภายในประเทศ
|
1.
ลำไยสด ตลาดลำไยสดที่สำคัญ คือตลาดภายในกรุงเทพฯ ซึ่งได้แก่ ตลาดมหานาค ตลาดสี่มุมเมือง
ปากคลองตลาด และตลาดไท ซึ่งการบริโภคลำไยสดส่วนใหญ่เป็นลำไยเกรด A ที่เหลือจากการส่งออกและลำไยเกรด
B |
นอกจากนี้
ลำไยยังกระจายไปยังตลาดตามจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยพ่อค้าจะนำรถบรรทุกไปรับซื้อเองที่สวน
หรือจุดรับซื้อหรือพ่อค้าต่างจังหวัด อาจซื้อจากพ่อค้าขายส่งในกรุงเทพฯ แล้วนำไปจำหน่ายยังจังหวัดของตน
หรือจำหน่ายไปตามจังหวัดต่างๆ ของประเทศ ซึ่งตลาดรวบรวมที่สำคัญมักอยู่ในจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางการค้าในภูมิภาคนั้นๆ
เช่น หาดใหญ่ สงขลา นครศรีธรรมราช นครสวรรค์ นครราชสีมา ขอนแก่น เป็นต้น |
2.
ลำไยกระป๋อง ส่วนใหญ่ตลาดภายในประเทศของลำไยกระป๋อง มักจะกระจัดกระจายอยู่ตามร้านค้าทั่วๆ
ไปหรือตามศูนย์การค้าต่างๆ |
3.
ลำไยอบแห้ง ตลาดจะมีอยู่ทั่วๆไป ตามร้านค้าหรือศูนย์การค้าต่างๆ |
ตลาดลำไยต่างประเทศ
|
โดยภาพรวมแล้วมูลค่าการส่งออกในแต่ละผลิตภัณฑ์ของลำไย
คือ ลำไยสด ลำไยแช่แข็ง ลำไยอบแห้งและลำไยกระป๋อง มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นตลอดมาทุกปี
ซึ่งตลาดส่งออกที่สำคัญในแต่ละผลิตภัณฑ์ มีดังนี้ |
1.
ลำไยสด มีตลาดหลักที่สำคัญ คือ ฮ่องกง รองลงมาได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย
แคนาดา สิงคโปร์ จีน ตามลำดับ โดยการนำเข้าลำไยสดของฮ่องกงเป็นการส่งออกต่อไปยังจีน
ส่วนสวิตเซอร์แลนด์ ฟิลิปปินส์ อินเดีย และบรูไน มีการนำเข้าลำไยสดเพียงเล็กน้อย |
2.
ลำไยแช่แข็ง มีตลาดหลักที่สำคัญ คือ สหรัฐอเมริกา รองลงมาได้แก่ ฝรั่งเศส
ญี่ปุ่น และฮ่องกง ตามลำดับ แต่การส่งออกลำไยแช่แข็ง ยังถือว่ามีปริมาณการส่งออกที่น้อยเมื่อเทียบกับปริมาณการส่งออกผลิตภัณฑ์ลำไยประเภทอื่นๆ |
3.
ลำไยอบแห้ง มีตลาดหลักที่สำคัญ คือฮ่องกงและจีน รองลงมา ได้แก่ สิงคโปร์
เกาหลีใต้ สวิสเซอร์แลนด์ และมาเลเซีย ตามลำดับ ส่วนสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส
และแคนาดามีการนำเข้าลำไยอบแห้งเพียงเล็กน้อย |
4.
ลำไยกระป๋อง มีตลาดหลักที่สำคัญ คือ มาเลเซียและสิงคโปร์ รองลงมาได้แก่ ฮ่องกง
สหรัฐอเมริกา และอินโดนีเซีย ตามลำดับ ส่วนฝรั่งเศส จีน กัมพูชา ออสเตรเลีย
เวียดนาม และญี่ปุ่น มีการนำเข้าลำไยกระป๋องเพียงเล็กน้อย |
ประเภทคู่แข่งขัน
|
1.
ลำไยสด ลำไยของไทยแทบจะไม่มีปัญหาทางด้านคู่แข่งขัน เนื่องจากประเทศผู้ผลิตอื่นๆ
เช่น จีน ไต้หวัน เวียดนาม ออสเตรเลีย เป็นต้น ยังไม่สามารถแข่งขันกับประเทศไทยได้ทั้งในด้านปริมาณที่มีมากกว่า
ราคาที่เหมาะสม รวมทั้งคุณภาพและรสชาดลำไยของไทยที่ดีกว่า เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคทั่วๆ
ไป อย่างไรก็ตาม
คู่แข่งขันที่ไม่ควรมองข้าม คือ จีน เนื่องจากในปัจจุบันจีนเร่งเพิ่มพื้นที่การผลิตลำไยในประเทศอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะในมณฑลกวางสี ได้เร่งปลูกลำไยพันธุ์จูเลี่ยน ซึ่งจะให้ผลผลิตในอีก
2 ปี ข้างหน้า ซึ่งเมื่อจีนมีปริมาณลำไยในประเทศเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้มีการนำเข้าลำไยจากต่างประเทศลดลงตามไปด้วย |
2.
ลำไย กระป๋อง คู่แข่งขันของไทยมีเพียงประเทศไต้หวันเท่านั้น แต่ลำไยกระป๋องของไต้หวันมีต้นทุนการผลิตที่สูง
ทำให้มีราคาที่สูงกว่าของไทย ดังนั้นลำไยกระป๋องของไต้หวันจึงไม่มีผลกระทบกับการส่งออกลำไยกระป๋องของไทยมากนัก |
3.
ลำไยอบแห้ง คู่แข่งของไทย ได้แก่จีน ไต้หวันและเวียดนาม ถึงแม้ว่าคุณภาพลำไยอบแห้งของจีนและไต้หวันจะดีกว่าของไทย
แต่ก็มีราคาที่สูงกว่า ส่วนลำไยอบแห้งของเวียดนามนั้น มีคุณภาพและราคาที่ต่ำกว่าของไทย |
โดยสรุปแล้วการส่งออกลำไยสด
ลำไยแช่แข็งและลำไยกระป๋อง แทบจะไม่มีปัญหาทางด้านคู่แข่ง ส่วนลำไยอบแห้งยังถือได้ว่า
ไทยยังมีศักยภาพทางด้านการแข่งขันที่ดีกว่าคู่แข่งขัน |
ปัญหาทางด้านการตลาดลำไย
|
ปัญหาทางด้านการตลาดที่สำคัญ
ได้แก่ |
1.
เกษตรกรขาดข้อมูลข่าวสารทางการตลาดที่ทันสมัย |
2.
การที่รัฐบาลมีนโยบายการพัฒนาลำไย โดยการเพิ่มปริมาณผลผลิตให้มากขึ้นจะก่อให้เกิดปัญหาลำไยล้นตลาดซึ่งจะส่งผลให้ราคาลำไยตกต่ำได้ |
3.
ข้อมูลทั้งทางด้านการผลิตและการตลาดที่ได้จากการประมาณการบางปี คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
ทำให้ยากต่อการวางแผนการผลิตและการตลาด |
4.
ขาดระบบการตลาดที่ดี เนื่องจากเกษตรกรยังมีลักษณะที่ต่างคนต่างขาย ทำให้ขาดอำนาจการต่อรอง
รวมทั้งเกษตรกรยังมีความรู้ในเรื่องของตลาดกลางค่อนข้างน้อย |
5.
การใช้ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ยังไม่เป็นที่ยอมรับในตลาดต่างประเทศมากนัก |
6.
การจัดเกรดมาตรฐานลำไยที่ไม่แน่นอน ทำให้เกิดปัญหาในการกำหนดราคาซื้อขายที่ไม่เป็นธรรม |
7.
ราคาลำไยมีความแปรผันสูง ทำให้เกษตรกรไม่สามารถทราบราคาขายที่แน่นนอนได้ |
8.
ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทรนเนอร์และเที่ยวบินในการขนส่ง |
9.
การส่งออกลำไยสดที่ไม่แก่จัด หรือลำไยอบแห้งที่มีเชื้อรา ทำให้ต่างประเทศขาดความเชื่อถือเกิดผลเสียต่อผู้ส่งออกและประเทศชาติ |
10.
ตลาดลำไยส่วนใหญ่ยังอยู่ในประเทศแถบเอเชีย ตลาดในทวีปยุโรปยังถือว่าแคบ
|
11.
การเผยแพร่หรือการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับลำไยไทยในตลาดต่างประเทศยังมีน้อยเกินไป |
ข้อเสนอแนะ
|
1.
เกษตรกรควรมีการรวมกลุ่มกัน เพื่อร่วมกันในการวางแผนการผลิตให้ปริมาณผลผลิตที่ออกมาสอดคล้องกับความต้องการของตลาด |
2.
ภาครัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรพัฒนาตลาดรับซื้อลำไยที่สำคัญให้เป็นศูนย์กลางการซื้อขายในรูปแบบของตลาดกลางซื้อขายลำไย |
3.
ภาครัฐบาลควรส่งเสริมสนับสนุนให้ภาคเอกชน มีการแปรรูปลำไยอบแห้งที่มีคุณภาพ
ได้มาตรฐานเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ รวมทั้งจัดหาแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำให้เอกชนกู้ยืม
สำหรับการแปรรูปลำไยเพื่อการส่งออก |
4.
หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ควรเร่งหาวิธีการในการใช้ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์สำหรับการอบลำไย
ให้ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับของตลาดต่างประเทศ |
5.
ภาครัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรมีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการตลาดที่ทันสมัย
รวมทั้งวิธีการจัดมาตรฐานคุณภาพของลำไยที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย เพื่อให้เกิดการนำไปปฏิบัติได้จริงในตลาด
และผู้บริโภคเกิดความมั่นใจในคุณภาพของลำไย |
6.
ภาครัฐบาลควรส่งเสริมและจัดหาวิธีการขนส่งให้เพียงพอกับความต้องการ เช่น
ในช่วงที่มีผลผลิตลำไยออกสู่ตลาดมาก ควรสนับสนุนเที่ยวบินในการขนส่งลำไยให้มากขึ้น
เพื่อจะได้กระจายผลผลิตไปตลาดต่างประเทศได้เร็วขึ้น |
7.
ภาครัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งหาตลาดลำไยใหม่ เพื่อขยายตลาดต่างประเทศให้กว้างขวางขึ้น
โดยเฉพาะตลาดแถบประเทศยุโรป รวมทั้งควรมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ ชื่อเสียงของลำไย
เพื่อให้ผู้บริโภคชาวต่างประเทศได้รู้จักลำไยไทยและมีความต้องการบริโภคลำไยของไทยมากขึ้น
เช่น การเชิญพ่อค้าผู้นำเข้าผลไม้ มาพบปะผู้ส่งออกหรือผู้ผลิตลำไยไทย เพื่อจะได้มีการสั่งซื้อในอนาคตต่อไป |
8.
ควรมีการปรับปรุงกลยุทธ์ด้านการตลาดส่งออกลำไยของไทย ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยเฉพาะกลยุทธ์ที่นำมาใช้สำหรับการเพิ่มคุณภาพของลำไย และเพิ่มแรงจูงใจแก่ผู้บริโภคให้หันมาสนใจลำไยของไทยมากขึ้น |
สรุป
|
ลำไยยังเป็นผลไม้ที่ตลาดยังมีความต้องการอีกมาก
ทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศขายได้ในระดับราคาที่น่าพอใจ สามารถส่งออกได้ทั้งในลักษณะลำไยสด
ลำไยแช่แข็ง ลำไยกระป๋องและลำไยอบแห้ง มีโอกาศทางการตลาดที่สดใส ดังนั้นภาครัฐบาลและภาคเอกชนควรที่จะได้มีการร่วมมือกันอย่างจริงจัง
ในการพัฒนากระบวนการผลิตและการตลาดของลำไย เพื่อให้เป็นผลไม้ที่สำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไป |
|