top


ออทิสซึม คือ
อะไร
จาก DSM IVThe American Psychiatric
Association's Diagnostic and Statistic Manual
of Mental Disorders-Fourth Edition (1994)
จัดออทิสติก เป็น "pervasive developmental
disorders"
ซึ่งก็คือมีความผิดปกติในด้านพัฒนาการ
อย่างรอบด้าน
แสดงอาการอย่างชัดเจนในวัยเด็ก
ก่อให้เกิดพัฒนาการทางด้านความสัมพันธ์ทางสังคม
และการสื่อสาร
ไม่เป็นไปตามปกติ ส่งผลให้มี
พฤติกรรมความสนใจ
และกิจกรรมที่ผิดปกติ
ลักษณะต่าง
ๆ ในบุคคลออทิสติก
1.เข้ากับคนอื่นได้ยาก
หรือไม่ได้เลย |
10.ชอบอยู่คนเดียว
|
2.ทำอะไรซ้ำ ๆ |
11.ไม่ชอบให้กอด |
3.หัวเราะอย่างไม่มีเหตุผล |
12.หมุนตัว
หรือสิ่งของ |
4.กลัวในสิ่งไม่สมควรกลัว |
13.กระตุ้นตัวเอง
|
5.ไม่สบตาคน |
14.หงุดหงิด งอแง
โดยไม่มีเหตุผล |
6.ไม่ตอบสนองต่อการสอนตามปกติ
|
15.เรียกไม่หัน |
7.มีท่าทางการเล่นแปลก
ๆ |
16.ติดวัตถุ
สิ่งของบางชิ้น |
8.อาจไว
หรือไม่ไวต่อความเจ็บปวด |
17.กล้ามเนื้อใหญ่และเล็ก
พัฒนาไม่ปกติ |
9.ส่งเสียงประหลาด
|
18.แสดงความต้องการไม่ได้
ใช้ท่าทาง
หรือจับมือผู้อยู่ใกล้ไปหยิบของที่ต้องการ
|
การสังเกตพฤติกรรมในบุคคลออทิสติก
บุคคลออทิสติก
จะมีพฤติกรรมที่ผิดปกติ 3
ด้านใหญ่ ๆ คือ
1.ความสัมพันธ์ทางสังคม
|
2.การสื่อสาร
|
3.ความสนใจและกิจกรรม
|
ลักษณะพิเศษของบุคคลออทิสติก
1.บกพร่องในด้านความสัมพันธ์ทางสังคม
2.บกพร่องในด้านการสื่อสาร
3.พฤติกรรม ความสนใจ
และกิจกรรมต่าง ๆ
เป็นไปอย่างจำกัด และซ้ำ ๆ
บุคคลออทิสติกแต่ละคน
มีความสามารถแตกต่างกันอย่างมาก
ออทิสติกแต่ละคน จะแตกต่างกัน
สภาพปัญหาต่างกัน
แนวทางการรักษาจึงย่อมแตกต่างกัน
สาเหตุการเกิดออทิสซึม
1.ทางพันธุกรรม
อยู่ในระหว่างการศึกษา ค้นคว้า
ยังไม่พบคำตอบที่ชัดเจน
แต่พบว่าฝาแฝดจาก
ไข่ใบเดียวกัน
ถ้าคนหนึ่งเป็นออทิสติก
อีกคนจะเป็นด้วย
2.โรคติดเชื้อ
ปัจจุบันยังไม่พบว่า
เชื้อโรคชนิดใด ที่ก่อให้เกิด
กลุ่มอาการออทิสซึม
3.ประสาทวิทยา จากการศึกษาของ
Magaret Bauman กุมารแพทย์ จากโรงพยาบาล
บอสตัน ซิติ
พบว่า ออทิสติก
จะมีความผิดปกติในสมอง 3 แห่ง คือ
limbic system, cerebellum และ
cerebellar circuits ปัจจุบัน พบว่า
ในพื้นที่ทั้ง 3 แห่ง
มีความผิดปกติ ดังนี้
1.Purkinje cells
เหลือน้อยมาก
2.ยังคงเหลือ "วงจร"
เซลประสาท
ซึ่งจะพบได้แต่ในตัวอ่อนเท่านั้น
"วงจร" เซลประสาทที่เหลือนี้
จะเชื่อมต่อกับ
ระบบประสาทส่วนกลางทั้งหมด
3.มีเซลประสาทเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในบริเวณ
limbic system, hippocampus, amygdala
จากการค้นพบนี้
Bauman สรุปว่า ออทิสซึม
มีความผิดปกติด้านพัฒนาการของสมอง
ตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อน ในระยะ
30 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์
ความผิดปกตินี้ ส่งผลให้ limbic system
ไม่มีการพัฒนา limbic system
เกี่ยวข้องกับ พฤติกรรม
การรับรู้ และความจำ
เมื่อบริเวณนี้ผิดปกติ
จึงมีผลให้
ความสัมพันธ์ทางสังคม ภาษา
และการเรียน ผิดปกติไปด้วย(Bauman, 1991) |
4.Neurochemical
Causes(สารประกอบทางเคมีในระบบประสาท)
พบว่ามี neurotransmitters
บางตัว สูงผิดปกติ ได้แก่ serotonin,
dopaminergic และ endogenous opioid systems
แต่เมื่อใช้ยาที่ต้านสารเหล่านี้
กลับไม่ทำให้อาการต่าง ๆ
ในออทิสซึมดีขึ้น
5.การบาดเจ็บ ก่อน ระหว่าง
และหลังการคลอด
แนวคิดและรูปแบบในการให้ความช่วยเหลือเด็กหรือบุคคลออทิสติกในระดับชุมชน
บุคคลออทิสติก
คือบุคคลที่แสดงออกซึ่งกลุ่มอาการออทิซึม
เด็กออทิสติกคือเด็กที่แสดงออกซึ่งกลุ่ม
อาการออทิซึ่ม
กลุ่มอาการออทิซึมเกิดจากความผิดปกติทางสมองและระบบประสามสัมผัสมาตั้งแต่ก่อนและหรือ
หลังคลอด จากหลายสาเหตุซึ่งกำลังอยู่ในระยะค้นคว้าศึกษาถึงปัจจัยของสาเหตุที่แน่นอน
ความผิดปกติ
ดังกล่าวทำให้การรับรู้ทางประสาทสัมผัสทั้ง
๕ คือ ผิวหนัง ตา หู จมูก ลิ้น
เบี่ยงเบนผิดแผกไปจากคน
ปกติ
ส่งผลให้การประมวลผลข้อมูลในสมองผิดปกติ
ซึ่งที่ตัวเนื้อสมองเองก็ผิดปกติอยู่แล้วยิ่งเมื่อได้
ข้อมูลที่เบี่ยงเบนผิดแผกแตกต่างไปจากของคนปกติ
ก็แน่นอนว่าการประมวลผลข้อมูลในสมองของ
เด็กหรือบุคคลออทิสติกย่อมจะต้องผิดแผกแตกต่างไปจากคนปกติเช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้การตอบสนองของเด็กหรือบุคคลออทิสติกก็จะต้องผิดปกติไปจากคนปกติ
การตอบสนอง
ผิดปกติก็คือ
การแสดงออกซึ่งพฤติกรรมที่ผิดปกติ
ดังนั้นกลุ่มอาการออทิซึ่ม
จึงเป็นกลุ่มอาการที่แสดง
ออกซึ่งพฤติกรรมที่ผิดปกติไปจากพฤติกรรมของคนปกติโดยพฤติกรรมที่ผิดปกตินี้จะสังเกตเห็นชัดเจน
เต็มที่ได้ที่อายุ ๓ ปีขึ้นไป
แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะรู้ถึงความผิดปกตินี้ได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงปีกว่าๆ
ปัจจุบัน
ยังไม่มีการตรวจทางการแพทย์ที่แน่นอนใดๆ
ที่จะบ่งชี้ได้ว่าเด็กคนไหนจะเป็นออทิสติกหรือไม่
ข้อที่จะ
บ่งชี้ได้แต่เพียงประการเดียวก็คือ
พฤติกรรมที่ผิดปกติ
ที่จะได้มาจากการสังเกตและการซักประวัติ
เท่านั้น จะไม่มองเห็นได้ด้วยตาหรือตรวจรู้ได้ทันทีเฉกเช่นความผิดปกติอื่นๆ
ที่เราคุ้นเคยกัน เป็นต้นว่า
ผู้พิการแขนขา หูหนวกตาบอด
ปัญญาอ่อนแบบกลุ่มอาการดาวน์
ฯลฯ
เพราะรูปลักษณ์ภายนอกทางสรีระร่างกายของเด็กกลุ่มนี้ไม่มีความแตกต่างไปจากเด็กปกติหากไม่มี
ความพิการอย่างอื่นซ้ำซ้อนร่วมด้วยนี่คือความแตกต่างไปจากผู้ด้อยโอกาสหรือผู้พิการกลุ่มอื่นๆ
ประการหนึ่งของเด็กกลุ่มออทิสติก
พฤติกรรมที่ผิดปกติในเด็กหรือบุคคลออทิสติกดังกล่าวจะแสดงออก
ใน ๓ ลักษณะใหญ่ๆดังนี้
1.กิจกรรมความสนใจที่ซ้ำๆ
ยากต่อการเปลี่ยนแปลง เช่น
ติดของบางอย่าง
กินอาหารแต่เพียงบางอย่าง
ซ้ำเล่นอะไรซ้ำๆ
กิริยาบางอย่างซ้ำๆซากๆ
เป็นต้นว่า การหมุนวนตัวเอง
การเล่นมือ การเอาวัตถุมาเคาะ
การเอามือเคาะตามพื้นผิวต่างๆ
การเดินเขย่งเท้า
การวิ่งพล่านไปมาไม่อยู่นิ่ง
ชอบดมสิ่งของต่างๆ ชอบ
แกะแคะเก็บกินสิ่งต่างๆ
ที่เด็กหรือคนปกติไม่ทำ
ชอบลงไปนอนคลุกกับพื้น
ชอบปีนป่าย สนใจแสงและ
วัตถุเคลื่อนไหว
หยีตามองแสงอาทิตย์ได้นานๆ
จ้องมองไฟนีออนได้นานๆ
ชอบปีนขึ้นไปนั่งบนโต๊ะ บน
หลังตู้สูงๆ จะเอาอะไรก็ไม่พูดไม่บอกใช้วิธีจูงมือผู้ใหญ่ไปหยิบให้
ฯลฯ
กิจกรรมความสนใจเหล่านี้
สะท้อนออกซึ่งความผิดปกติ เป็นอันดับแรกที่จะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยคือ
เขาไม่สนใจคน ความสนใจ
ของเด็กออทิสติกอยู่ที่สิ่งอื่นๆทั้งหมด แต่ไม่ใช่ที่คนด้วยกัน
ถ้าไม่ได้รับการฝึกฝนหรือกระตุ้นเขาจะไม่
สนใจคนไม่มองหน้าคนเด็กออทิสติกเมื่อตอนเล็กๆจึงไม่แปลกหน้าใครเลย
2.การสูญเสียทางด้านภาษาและการสื่อความหมาย
ทั้งภาษาพูดและภาษาท่าทาง
เป็นที่ทราบกันดีว่าเด็ก
ปกติเรียนรู้ภาษาและการสื่อความหมายจากการสังเกตุและเลียนแบบผู้คนรอบข้าง
แต่เด็กออทิสติกไม่
เป็นเช่นนั้นเนื่องจากกิจกรรมความสนใจที่หมกหมุ่นซ้ำซากดังกล่าวปิดกั้นและจำกัดพวกเขาจากการ
สังเกตุผู้คนรอบข้างเมื่อไม่สังเกตไม่สนใจก็ไม่เกิดการเลียนแบบ
เมื่อไม่เกิดการเลียนแบบการเรียนรู้
ทางด้านภาษาและการสื่อความหมายก็จึงเป็นไปไม่ได้
ฉะนั้นเด็กออทิสติกถ้าไม่ได้รับการฝึกฝน
จะไม่
เรียนรู้จากการสังเหตุหรือเลียนแบบใครหรืออะไรอย่างมีความหมายเลย
เด็กออทิสติกส่วนใหญ่จึงไม่พูด
หรือถ้าพูดได้ก็ไม่ชัด
ไม่เป็นคำกลายเป็นภาษาเฉพาะของตัวเขาเอง
หรือพูดได้ชัดเจนดีมากเป็นต่อยหอย
แต่ก็ไม่รู้ความหมายเป็นเหมือนการสะท้อนเสียงคนแบบนกแก้วเท่านั้น
3.การสูญเสียทางด้านสังคม
เมื่อไม่รู้ภาษาก็จึงสื่อความหมายไม่ได้
สื่อความหมายไม่ได้ก็ไม่เกิดการ
เรียนรู้ทางสังคม
เมื่อไม่ได้เรียนรู้ทางสังคมก็ไม่เข้าใจความสัมพันธ์ทางสังคมของบุคคลต่างๆ
ตั้งแต่
พ่อแม่พี่น้องในครอบครัว ครู ตำรวจ ฯลฯ
ในชุมชน
ไปจนถึงบุคคลในสังคมระดับกว้าง
ก็จึงแน่นอนว่าพวกเขาจะต้องไม่สามารถมีปฏิกิริยาต่อสัมพันธภาพของบุคคลในสังคมได้อย่างถูกต้อง
เหมาะสมในทุกระดับ
เมื่อไม่สามาถปฎิสัมพันธ์กับคนอื่นได้ก็จึงแยกตัวอยู่คนเดียวในโลกส่วนตัวของเขา
เองความผิดปกติใหญ่ๆ
ในทั้งสามลักษณะนี้เกี่ยวเนื่องต่อโยงกันเป็นวงจรปิด
คือปิดให้เด็กหรือบุคคล
ออทิสติกแยกตัวอยู่คนเดียวในโลกส่วนตัวภายในหัวสมองของเขาเท่านั้น
เด็กออทิสติกจึงมักเล่นคนเดียวไม่เล่นกับเพื่อนวัยเดียวกัน
บุคคลออทิสติกก็ชอบอยู่คนเดียวไม่สุงสิงกับใคร
หัวใจของการช่วยเหลือเด็กหรือบุคคลออทิสติกนั้นกิจกรรมการเรียนการสอนการฝึกทักษะที่ทีมครูจัดให้
เด็กจะต้องมีแผนการสลายและดัดแปลงพฤติกรรมผิดปกติที่ไม่พึงประสงค์และสร้างเสริมพฤติกรรมแบบ
คนปกติที่พึงประสงค์รวมอยู่ด้วยเสมอ
จนกระทั่งไม่พบพฤติกรรมที่ผิดปกติและหรือเหลือเป็นพฤติกรรม
ที่ปกติเท่านั้นในที่สุด
จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ว่าออทิสติกเป็นปัญหาที่พฤติกรรม
โดยเฉพาะ
พฤติกรรม การเรียนรู้
ซึ่งส่งผลต่อเนื่องถึงพฤติกรรมทางสังคม
นี่คือข้อแตกต่างจากผู้พิการหรือผู้ด้อย
โอกาสกลุ่มอื่นๆ
ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง
ของเด็กกลุ่มออทิสติก
ด้วยข้อบ่งชึ้ทางการแพทย์ที่ว่าพฤติกรรม
ที่ผิดปกตินี้เกิดจากความผิดปกติของสมองและระบบประสาทสัมผัสทั้งห้าทำให้เด็กหรือบุคคลออทิสติก
มี ารรับรู้ทางประสาทสัมผัสและ การประมวลผลข้อมูลในสมองเบี่ยงเบนไปจากของคนปกติส่งผลให้การ
ตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมเบี่ยงเบนไปจาก ของคนปกติออทิสติกจึงไม่ใช่เรื่องของคนโรคจิต
จึงเป็น
ความผิดบาปอย่างมหันต์ที่จะปล่อยให้เด็กหรือบุคคลกลุ่มนี้
โดยเฉพาะกับเด็กเล็กๆอายุเพียงสองสาม
ขวบถูกปฎิบัติอย่างกับคนโรคจิตจากบุคลากร ทางการแพทย์ด้วยการให้ได้รับยากดประสาทที่ใช้กับ
คนโรคจิตประสาท
เข้าไปกดสมองและคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายให้นิ่งให้ซึม
ให้หลับและที่สำคัญ
ที่สุดยังไม่มีข้อพิสูจน์ใดๆ
ยืนยันว่ายารักษาคนโรคจิตจะทำให้เด็กหรือมนุษย์ฉลาดและรู้จักตอบสนอง
ต่อสิ่งแวดล้อมดีขึ้นในระยะยาว
เราควรจะต้องตระหนักกันว่าเด็กจะฉลาดและเรียนรู้ได้ดีก็ด้วยการอบรมบ่มเพาะ
จากผู้ใหญ่และสังคมเท่านั้น |
การผลักดันให้เด็กออทิสติกซึ่งมีปัญหาทางด้านการเรียนรู้และการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไม่ถูก
ต้องเข้าไปอยู่ในอุ้งมือบุคคลากรทางการแพทย์ที่ถนัดแต่จะใช้ยาในการรักษาโรคเท่านั้นในบางรายบาง
กรณีจึงค่อนข้างเป็นการเสี่ยงภัยอย่างยิ่ง
ดังนั้นจึงคงจะต้องชี้ให้ชัดกันไปเลยว่า
โดยหลักการบทบาทของแพทย์น่าจะเป็นเพียงผู้วินิจฉัยเท่านั้น
แพทย์ไม่ได้
ถูกอบรมบ่มเพาะมาให้ฝึกสอนเด็กโดยเฉพาะเด็กออทิสติก
เมื่อผ่านการวินิจฉัยแล้วจะต้อง
ส่งต่อให้เป็นเรื่องของนักพฤติกรรมบำบัดหรือนักจิตวิทยาคลีนิค
นักฝึกพูดบำบัด นักกายภาพบำบัด
นักกิจกรรมบำบัด อยู่ระยะหนึ่ง ซึ่งเป็น ระยะที่ไม่น่าจะนานนักจากนั้นจึงเป็นเรื่องของครูการศึกษา
พิเศษอยู่อีกระยะหนึ่ง
ต่อจากนั้นในระยะยาวก็จะต้องเป็น เรื่องของครูทั่วไปเป็นด้านหลักเฉกเช่นเด็ก
ปกติ
หากการกระตุ้นพัฒนาการกับนักบำบัดต่างๆและกับครูการศึกษา
พิเศษตามที่กล่าวมานี้ประสบ
ผลสำเร็จทว่าในสภาพความเป็นจริงนักบำบัดต่างๆ
รวมทั้งครูการศึกษาพิเศษที่ กล่าวถึงเหล่านี้มีอยู่
เพียงหยิบมือเดียวกระจุกตัวอยู่ในที่เจริญ
และส่วนมากที่สุดยังไม่ตื่นตัวพอที่จะมาทำเรื่อง
ออทิสติก
อย่างเป็นการเป็นงานหรือเป็นกิจลักษณะอย่างที่จังหวัดขอนแก่น
ก็มีอยู่แต่ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์
ครูการศึกษาพิเศษก็มีอยู่แต่ที่โรงเรียนการศึกษาพิเศษและศูนย์การศึกษาพิเศษเขต ๙ อยู่ไม่กี่คน
บุคคลากรที่ มีอยู่เพียงหยิบมือเดียวเหล่านี้จึงไม่อาจเป็นที่พึ่งของประชากรออทิสติกที่อยู่ห่างไกล
อย่างอำเภอบ้านไผ่ได้
จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเป็นที่พึ่งของอำเภออื่นๆที่อยู่ห่างไกลกันดารออก
ไปอีก
แต่ทั้งนี้ก็ในสภาพความเป็นจริงอีกเช่นกัน
ที่ครูทั่วไปมีอยู่ทั่วไป
ทั้งในภาคเอกชนและภาครัฐ
ครูทั่วไปเหล่านี้มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหงของเมืองไทย
และมีอยู่อย่างลงลึกถึงระดับหมู่บ้าน
ทำอย่างไรจึงจะยกระดับครูทั่วไปเหล่านี้
ให้ขึ้นหรือเข้ามาทำงานกับเด็กออทิสติกได้
ทำอย่างไรจึงจะ
ให้ครูทั่วไป ที่มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหงเหล่านี้เปิดโลกเปิดใจตอบรับเด็กกลุ่มออทิสติก
นี่เป็นเรื่องที่
กระทรวงศึกษาฯจะต้องเร่งศึกษาและมีนโยบายตลอดจนแผนปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรมลงมา
เพราะพฤติกรรมที่ผิดปกติของเด็กออทิสติกจะหมดไปได้ในระยะยาวก็โดยการสอนให้เขา
รู้จักตอบสนอง ต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างถูกต้อง
นั่นคือการฝึกการสอนให้เขามี
พฤติกรรมที่ถูกต้องเหมาะสมในทุกๆด้าน
ไม่ใช่ด้วยการให้กินยา
และไม่ใช่
ด้วยการให้ความรักแบบอวิชาของพ่อแม่
ความรักจะไม่ช่วยอะไรเลย
ถ้าคุณไม่มีเวลาที่จะสอนและถ้าคุณไม่รู้จักวิธีที่จะสอน |
วิธีการฝึกวิธีการสอนสำหรับเด็กออทิสติก
ปัจจุบันเรามีอยู่แล้วอย่างเป็นระบบเป็นหลักสูตรแต่เราขาดครูขาด
หน่วยงานที่จะมาบริหาร
ขาดบุคลากรขาดทุนทรัพย์ที่จะถ่ายทอดจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย
ทุกหน่วยงาน
ส่วนใหญ่ ในชุมชนยังมองไม่เห็นแนวทางที่จะเดินไป
แต่ถ้าหากได้รับความร่วมมือจากครูทั่วไปและจากหน่วย
งานโดยเฉพาะโรงเรียนในชุมชนที่ครูทั่วไปสังกัด
เด็กออทิสติกรุ่นหลังๆจะเดินทางสู่ความเป็นคนเต็มคนอย่าง
เต็มศักยภาพได้ทุกเศษฐะฐานะ
เพราะความผิดปกติของเด็กออทิสติกดังกล่าวทำให้เด็กออทิสติกอยู่ในภาวะ
ที่ต้องสอนกันทุกอย่างๆ ต้องสอนกันอย่างรอบด้านทุกๆ
ด้าน พวกเขาจึงต้องการครู
และครูหลายคน เป็นทีม
พวกเขาก็จึงเช่นเดียวกับเด็กปกติต้องการโรงเรียน
ต้องการห้องเรียน
และต้องการเพื่อนในวัยเดียวกัน
เป็น
ความจำเป็นพื้นฐานที่เด็กกลุ่มนี้จะต้องได้รับสิ่งเหล่านี้
สังคมทุกส่วนจะต้องตระหนักและเห็นใจและเข้าใจว่า
ครอบครัวหรือเพียงแม่เท่านั้นไม่เพียงพอต่อการพัฒนาศักยภาพของเด็กกลุ่มนี้ให้ไปสู่จุดสูงสุดได้
อันดับแรกต้องทำให้เด็กออทิสติกให้ความสนใจคน
มองหน้าและสบตาคน
นั่นคือทักษะการให้ความตั้งใจ
จากนั้นการฟังคำสั่งของคนโดยตอบสนองต่อคำสั่งอย่างง่ายก่อน
เช่น ลุกขึ้น-นั่งลง
นั่งเรียบร้อย เป็นอันดับ
ต่อมา นั่นคือ
ทักษะการให้ความร่วมมือเนื่องจากเด็กออทิสติกมีความผิดปกติที่สมองซึ่งเป็นส่วนสั่งการการ
เคลื่อนไหวกล้ามเนื้อทั้งมัดเล็กมัดใหญ่ของร่างกายทั้งระบบด้วยคำสั่งว่า
ทำอย่างนี้
เราสามารถทำให้เด็ก
ออทิสติกเข้าใจ
มโนคติของการเลียนแบบการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อทั้งมัดเล็กมัดใหญ่
นั่นคือ
ทักษะการเลียนแบบ
ด้วยทักษะพื้นฐานทั้งสามนี้เราสามารถจะทำให้เด็กออทิสติกฝีกฝนทักษะที่สูงขึ้น
ไป เป็นลำดับขั้นได้นั่นคือ
ทักษะการรับรู้ทางภาษา
ทักษะการแสดงออกทางภาษา
ทักษะก่อนวัยเรียน ทักษะ
การช่วยเหลือตัวเอง
ทักษะทางวิชาการ
ทักษะการใช้และเข้าใจภาษานามธรรม
และทักษะทางสังคม ในที่
สุดเพราะ เด็กออทิสติกเป็นปัญหาที่พฤติกรรม
ฉะนั้นการสอนทักษะต่างๆ
ดังกล่าวนี้
จึงต้องใช้เทคนิคการ
สอนเชิงพฤติกรรมซึ่งอยู่บนพื้นฐานของหลักการของทฤษฎีการเรียนรู้ของศาสตร์ทางด้านวิชาพฤติกรรมที่ว่า
สิ่งเร้ากระตุ้นให้เกิดการตอบสนองและผลที่ติดตามมา
หากผลที่ติดตามมาเป็นที่
น่าพึงพอใจการตอบสนองนั้นก็มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นอีกได้เรื่อยๆหากไม่ก็มีแนวโน้มว่า
จะลดน้อยถอยลงหรือกระทั่งไม่มีการตอบสนองเลย |
เทคนิคการสอนเชิงพฤติกรรมประกอบด้วยเทคนิคการแตกงานหรือทักษะที่จะสอนออกเป็นส่วนย่อยหลายๆ
ส่วนหลายๆขั้นตอนให้ง่ายที่สุดจนกระทั่งเด็กสามารถทำได้แล้วเอาส่วนย่อยๆนั้นมาสอนให้เด็กทำได้ทีละส่วน
เทคนิคการแนะเพื่อประกันให้เด็กสามารถตอบสนองได้อย่างถูกต้องผู้สอนจะต้องใช้เทคนิคการแนะจาก
มากที่สุดตั้งแต่การจับมือให้ทำ
ชี้บอก บอก ฯลฯ
ไปจนกระทั่งไม่มีการแนะเลย
เทคนิคการให้รางวัลและลงโทษสำหรับการตอบสนองที่ถูกและผิดในการสอนทักษะแต่ละส่วน
เทคนิคนี้เป็น
หัวใจของเทคนิคตามหลักการของทฤษฏีของศาสตร์ทางด้านวิชาพฤติกรรมดังที่กล่าวแล้วข้างต้น
เทคนิคการสานต่อพฤติกรรมเอาทักษะแตกย่อยแต่ละส่วนที่เด็กทำได้จนคล่องแล้วมาสานต่อกันเป็นทักษะ
หนึ่งทั้งหมดเทคนิคการขยายผลพฤติกรรม
เอาทักษะหนึ่งทั้งหมดที่เด็กทำได้แล้วกับครูผู้สอนคนหนึ่งในสถานที่หนึ่งและเวลาหนึ่งให้ไปทำได้กับครูผู้
สอนหรือคนอื่นๆหลายๆคนในสถานที่อื่นๆที่หลากหลายหรือในช่วงเวลาต่างๆกันออกไป
เทคนิคการรักษาไว้ซึ่งทักษะที่ทำได้แล้วให้คงทำได้อยู่ตลอดไป
หมายถึงว่า ทักษะใดๆ ที่เด็กทำได้แล้วจะ
ต้องถูกทบทวนเป็นช่วงๆ
สลับกับทักษะใหม่ๆ
ที่เด็กได้รับการฝึกสอนเพิ่มเติมเข้ามาเรื่อยๆ
และที่จะลืมเสีย
ไม่ได้ เป็นอันขาดคือ
เทคนิคในการจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์
ที่จะจัดการกับพฤติกรรมที่ขัดขวาง
การเรียนรู้การเข้าสังคม
การรบกวนผู้อื่น
การทำร้ายผู้อื่น เช่น
การโมโหอาละวาด
การเอาวัตถุมาเคาะ การ
เล่นมือ ฯลฯ
เราจึงต้องเปิดโลกของเด็กออทิสติกเข้าสู่สังคมของเด็กและคนปกติ
การเปิดโลกของพวกเขาเข้าสู่สังคม
ของผู้ด้อยโอกาสอื่นๆด้วยกันอาจจะไม่ช่วยพัฒนาศักยภาพของพวกเขาให้เป็นปกติได้อย่างเต็มที่
เป็นต้นว่า
การเอาเด็กออทิสติกไปเรียนปนกับผู้พิการแขนขา
เขาจะเลียนแบบการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อมัดใหญ่ของ
แขนหรือขาได้อย่างไร?
การเอาเด็กออทิสติกไปเรียนร่วมกับผู้พิการทางหู
เขาจะเลียนแบบการพูดและการฟังได้อย่างไร?
การเอาเด็กออทิสติกไปเรียนร่วมกับผู้พิการทางตาเขาจะเลียนแบบการมองการกวาดสายตาได้อย่างไร?
หรือการเอาเด็กออทิสติกไปเรียนรวมกับผู้พิการทางสมองแบบกลุ่มอาการดาวน์ซึ่งก็มีปัญหาทางด้าน
พฤติกรรมที่ช้าที่ต้องการความช่วยเหลือในการกระตุ้นเช่นกันแล้วเด็กออทิสติกจะได้รับการกกระตุ้น
พัฒนาการอะไรจากกลุ่มเพื่อน?
สรุปแล้วเด็กออทิสติกเข้ากันได้ดีที่สุดกับกลุ่มเด็กปกติ
เนื่องเพราะเด็กออทิสติกหูก็ได้ยินเสียง
ตาก็มองเห็น แขนก็มี ขาก็มี
รับสัมผัสทางผิวหนังได้
ลิ้นก็รับรู้รสได้ เราจึงจะต้องกระตุ้นพัฒนาการของเด็กออทิสติก
โดยมีเด็กปกติในวัยเดียวกันเป็นมาตรวัด
ดังนั้นพวกเขาจะได้ประโยชน์สูงสุดกับการกระตุ้นพัฒนาการอย่างมีการวางแผนอยู่ในสิ่งแวดล้อมของเด็ก
หรือคนปกติมากกว่าจะอยู่ในกลุ่มคนอปกติด้วยกัน
เด็กออทิสติกแต่ละคนมีพัฒาการต่างระดับกันและมีลีลาการเรียนรู้ที่แตกต่างกันไปในออทิสติกแต่ละแบบ
ทั้งนี้จะเห็นว่าเด็กออทิสติกจะขาดครูพี่เลี้ยงไม่ได้อย่างเด็ดขาดเพราะเทคนิคการสอนเชิงพฤติกรรมในการ
สอนทักษะบางด้านต้องเป็นการสอนตัวต่อตัว
หรือเด็กหนึ่งครูสองด้วยซ้ำเพราะเด็กออทิสติกมีปัญหาด้าน
การเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อมัดต่างๆทั้งใหญ่และเล็ก
ทักษะบางอย่างจึงต้องแนะด้วยการจับมือให้ทำ
จับศรีษะ
ให้หันมามอง เป็นต้น
ในเบื้องต้นประมาณ
๒-๕ ปี
ครูพี่เลี้ยงมีความสำคัญต่อความเป็นไปได้ของการฝึกฝนทักษะที่จำเป็นต่างๆ
ให้แก่เด็กกลุ่มนี้ในสิ่งแวดล้อมของเด็กปกติ

กลุ่มอาการเด็กสมาธิสั้น
Attention Deficit Hyperactivity Disordes (ADHD)
โดย น.พ. จอม ชุ่มช่วย ร.พ.
ยุวประสาทไวทโยปถัมภ์
กลุ่มอาการสมาธิสั้น
เกิดจากความผิดปกติของสมอง
โดยที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอนว่า
อะไรที่ทำให้สมองมีความผิดปกติ
แต่จากวิทยาการและวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันมีผลพอ
พิสูจน์ได้ว่าน่าจะเป็นผลมาจากพันธุกรรม
แต่ว่าพันธุกรรมจะมีส่วนอย่างใดและมีการถ่าย
ทอดอย่างไร
ยังไมีมีรายละเอียดที่ชัดเจน
แต่มีผลต่อสมองทำให้การทำงานของสมองบาง
ส่วนเกิดการบกพร่อง
โดยเฉพาะสมองส่วนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสมาธิของคนเรา
ทำให้เกิด
การทำงานที่ไม่สัมพันธ์กันต่อระบบสั่งงานอื่นๆ
อาการนี้อาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์
ในอดีตมีชื่อเรียกเกี่ยวกับกลุ่มอาการเหล่านี้ได้ในหลายชื่อเช่น
Hyper Kinetic Disorders / Minimal Brain Abnormality / Minimal Brain Disfunction
แต่จากการศึกษาในปัจจุบันเรารวมเรียกกลุ่มอาการต่างรวมมาเป็น
Attention Defecit Hyperactivity Disorders (ADHD) หรือใน
บ้านเรานิยมเรียกว่า
โรคเด็กไฮเปอร์ |
จากการทำการวิจัยสำรวจเด็กไทยในเขตกรุงเทพมหานครพบว่ามีเด็กในกลุ่มสมาธิสั้นประมาณ
ร้อยละ 5-10
ของเด็กวัยเรียนหรือประมาณ 2-3
คนในห้องเรียนขนาด 50 คน
สำหรับในต่างประเทศพบได้ประมาณร้อยละ
3-15
ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศและระบบการศึกษา
อาการที่สำคัญของเด็กกลุ่มสมาธิสั้นแบ่งออกได้เป็น
3 กลุ่มใหญุ่ๆคือ
1. อาการซนมากกว่าปกติ (Hyper
Activity)
ลักษณะความซนจะมากกว่าเด็กทั่วๆไป
ซนแบบไม่อยู่นิ่ง
อยู่ไม่เป็นสุข ลุกลี่ลุกร้น
ตลอดเวลา
2. อาการสมาธิสั้น
สามารถสังเกตุได้โดยเด็กจะมีความวอกแวกง่าย
แม้แต่สิ่งเร้าเล็กๆน้อยก็สามารถ
ทำให้เด็กเสียสมาธิได้แล้ว
เข่น
ในขณะที่เด็กกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่
พอมีเสียงดังเบาๆเช่นเสียงของตก
พื้น หรือกิ่งไม้หล่นบนพื้น
กลุ่มเด็กพวกนี้จะหันไปหาแหล่งต้นเสียงทันที
หรือขณนั่งเรียนอยู่ในห้องเรียน
พอมีคนเดินผ่านก็จะหันไปดูโดยทันที
เป็นลักษณะเป็นความไวต่อสิ่งเร้าภายนอกโดยผ่านทาง
ตา / หู
นอกจากนั้นยังอาจเกิดจากสิ่งเร้าภายในตัวของเด็กเอง
ในกรณีนี้จะแสดงออกในลักษณะอาการเหม่อ
ลอย นั่งนิ่งๆ
เป็นนระยะเวลานานๆ เหม่อบ่อย
เป็นต้น
กลุ่มอาการสมาธิสั่นนี้ยังแสดงออกในรูปของการทำงานไม่ค่อยสำเร็จ
เพราะในขณะที่กำลังทำงาน
อย่างหนึ่งอยู่นั้น
ใจก็จะคิดวอกแวกไปคิดถึงเรื่องอื่นๆต่อไป
ทำให้งานกว่าจะเสร็จได้ต้องใช้เวลานาน
ต้องค่อยจ่ำจี้จ่ำไชงานถึงจะสำเร็จลุล่วงไปได้
3.
อาการหุนหันพลันแล่น (Impulsive)
เด็กมักจะแสดงออกในลักษณะที่รอคอยไม่เป็น
ยกตัวอย่างเช่น
ในขณะที่พ่อแม่หรือผู้ใหญ่กำลังคุยกันอยู่
เมื่ออยากจะพูดเด็กก็จะพูดแทรกขึ้นมาในทันทีโดยไม่คำนึง
ถึงความเหมาะสม
โดยเด็กจะไม่สามารถอดใจทนรอให้การสนทนานั้นเสร็จเสียก่อน
หรืออีกตัวอย่างเช่นผู้ปกครองเด็กบอกให้ช่วยหยิบน้ำให้แก้วหนึ่ง
ลุกจะรีบว่างไปหยิบเอาแต่แก้วมายื่น
ให้
เหมือนกับยังไม่ทันฟังคำร้องขอให้เสร็จก่อน
ก็รีบวิ่งไปก่อนเสียแล้วจะแสดงออกในลักษณะรีบเร่ง
หุนหันพลันแล่น รอคอยไม่เป็น
มักเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุต่อกับตัวเด็กได้ง่าย
ซึ่งลักษณะอาการสำคัญทั้ง 3
ของกลุ่มเด็กสมาธิสั้นข้างต้น
เด็กอาจมีลักษณะครบทั่ง 3
กลุ่มได้ หรือ
โดยอาจมีลักษณะใดลักษณะหนึ่งที่เด่นหรืออาจมีลักษณะเด่นร่วมกัน1-2
อาการเลยก็ได้
สรุปลักษณะที่สำคัญของเด็กสมาธิสั้นคือ
วอกแวกง่าย ทำงานไม่ค่อยเสร็จ
ซนไม่อยู่นิ่ง
หุนหันพลันแล่น
ดังนั้นการวินิจฉัยจึงมักต้องเปรียบเทียบกับเด็กธรรมดาทั่วๆไป
ที่สำคัญคือมักทำงานใดๆไม่ค่อยสำเร็จและชอบรบกวนเด็กอื่นๆมากกว่าปกติทั่วๆไป
แม้แต่การเล่นก็เล่นก็มักเล่นไม่จบ
เช่นการเล่นต่อตัวต่อเลโก้
โดยเด็กทั่วไปในวัย 7-8 ขวบ
น่าจะนั่งเล่นตัวต่อเลโก้จนได้เป็นรูปเป็นร่างได้
แต่ในเด็กกลุ่มสมาธิสั้นอาจทำไม่สำเร็จ |
เรามักจะใช้เกณฑ์ของกลุ่มเด็กปกติทั่วไปเป็นเกณฑ์ในการช่วยเปรียบเทียบตัดสิน
เช่นเด็กวัยประมาณ
7
ขวบจะสามารถนั่งเล่นอยู่กับที่ได้นานประมาณ
15-30 นาที
แต่ถ้าเด็กที่นั่งเล่นอยู่กับที่ไม่ได้ก็ให้ฉุก
คิดไว้ก่อน เป็นต้น
เมื่อกลุ่มเด็กสมาธิสั้นนี้
ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่
รักษาอย่างถูกวิธีในวัยเด็ก
เมื่อเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่
ก็มีผลผลต่อเนื่องให้เป็นผู้ที่ทำอะไรไม่ค่อยสำเร็จ
ไม่ค่อยมีความมั่นใจในตนเอง
ณจุดนี้อาจแยกเป็น
2 กลุ่มได้คือ
-
กลุ่มหนึ่งจะแปรเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นเกเร
กร้าวร้าว ต่อต้านสังคม
-
อีกกลุ่มจะกลายเป็นคนที่ไม่กล้า
กลัว ซึมเศร้า หงอยเหงา
คนในกลุ่มนี้จะมองตัวเองไม่ดี
ไร้ค่า อาจถึง
-
อีกกลุ่มจะกลายเป็นคนที่ไม่กล้า
กลัว ซึมเศร้า หงอยเหงา
คนในกลุ่มนี้จะมองตัวเองไม่ดี
ไร้ค่า อาจถึง
ขั้นฆ่าตัวตายได้
ทั้งสองกลุ่มข้างต้นมักจะพบได้บ่อนในกลุ่มเด็กสมาธิสั้นที่เริ่มโตขึ้น
แต่ก็มีบ้างบางส่วนที่อาจจะไปใน
ทิศทางที่ดี
สาเหตุเนื่องจากมีพรสวรรค์ด้านอื่นเป็นพิเศษมาช่วยชดเชย
มาช่วยทำให้เด็กมีความภูมิใจ
หรือมีสภาพแวดล้อมและพ่อแม่มีความเข้าใจลูกเป็นอย่างดีคอยดูแล
ในวัยเรียนกลุ่มเด็กอาการสมาธิสั้นจะมีผลกระทบต่อการเรียน
เด็กกลุ่มนี้จะไม่คอยมีช่วงที่มีสมาธิ
สำหรับการตั้งใจเรียน
มีแนวโน้มที่จะล้มเหลวในการเรียนสูงถ้าไม่ได้รับการดูแลและเข้าใจเป็นอย่างดี
เช่นในการเรียนบทเรียนวันนี้ยังไม่ทันจะทำความเข้าใจดี
ในวันรุ่งขึ้นก็มีบทเรียนใหม่เข้ามาอีกแล้ว
ทำ
ให้การเรียนไม่ค่อยทันเพื่อน
แปรเปลี่ยนไปเป็นการเบื่อไม่อยากเรียนไป
อาจมีบ้างที่ให้ผลเป็นดีในทางกลับกันคือ
เด็กมีพรสวรรค์ทางด้านไอคิว
บวกกับอาการสมาธิสั้นทำให้
สามารถฟังการสอนแบบผ่านๆก็สามารถเข้าใจได้เป็นอย่างดี
ทั้งๆที่แสดงออกเหมือนไม่ได้ตั้งใจฟังที่
ครูสอนเลย
ลักษณะอย่างนี้บางครั้งก็กลับกลายไปเป็นผลเสียต่อเพื่อนเรียนข้าง
เพราะในช่วงไม่มีสมาธิ
ก็จะไปรบกวนสมาธิของเด็กข้างพลอยทำให้ไม่มีสมาธิในการเรียนไปด้วย
อาจดูเหมือนเป็นตัวปัญหา
ของชั้นเรียน
ทำให้ความสัมพันธืต่อคนอื่นไม่ดีไปด้วย
เมื่อเราสังเกตุลักษณะอาการของเด็กและสงสัยว่าน่าจะเป็นกลุ่มอาการสมาธิสั่นแล้ว
ผู้ปกครองควรจะ
พาไปพบจิตแพทย์เพื่อให้ผู้ชำนาญทำการทดสอบวินิจฉัยให้ชัดเจนแน่นอนก่อน
แล้วค่อยไปสู่การทำการ
รักษาต่อไป
ในการรักษานอกจากการใช้ยาร่วมด้วยแล้วทางด้านผู้ปกครองต้องมีส่วนช่วยในการรักษา
ในการตระเตรียมสภาพแวดล้อมโดยมีหัวข้อหลักๆ
3 ประการดังนี้
1.
ต้องมีการจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม
ไม่มีสิ่งรบกวนและสิ่งเร้าต่อเด็กมากเกินไป
พยายามจัดห้อง
หรือบ้านให้มีระเบียบเช่นไม่มีของเล่นวางเกลื่อนไปหมด
ไม่มีบรรยากาศวุ่นวายสับสน เสียงตะโกนโวก
เหวกเปิดเสียงเพลงดัง
จนเด็กไม่สามารถรวบรวมสมาธิได้เลย
แม้แต่การพาไปเที่ยวนอกสถานทีก็ไม่
ควรพาไปในที่อีกกระทึก
วุ่นวายเสียงดัง เป็นต้น
2.
การช่วยเสริมสร้างวินัยในตัวเด็ก
เพราะจะเป็นตัวนำไปสู่การรู้จักควบคุมตนเอง
เป็นการเสริมทาง
อ้อมให้รู้จักรวบรวมสมาธิได้แก่
-
การสร้างเสริมวินัยในกิจวัตรประจำวัน
โดยการจัดตารางงานให้ทำเป็นเวลา
สร้างระเบียบพื้นฐานใน
บ้านแบบกิจวัตรว่าใครจะช่วยจัดการอะไรบ้าง
ใครถูพื้น ใครกวาดบ้าน
ใครล้างจาน เป็นประจำ
- วินัยในการตรงต่อเวลา
ฝึกให้เด็กมีตารางเวลาในการทำงาน
ว่าควรทำอะไร
ในเวลาไหนทจะเสร็จ
เมื่อใด เป้นต้น
การสร้างระเบียบต่างๆข้างต้น
ควรเป็นไปในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป
ไม่มีทางสำเร็จถ้าจะให้ทำได้
ทุกอย่างในเวลาสั้นๆทันทีทันใด
และที่สำคัญผู้ปกครองต้องมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างในตอนเริ่มต้น
และค่อยๆลดตนเองลงที่ละน้อย
จนเด็กสามารถทำด้วยตนเองทั้งหมด
3.
การหากิจกรรมช่วยเสริมทักษะ
เช่นการเรียนดนตรี
การเรียนศิลปะ การอ่านหนังสือ
กีฬา หลีกเลี่ยง
เกมส์ กีฬา
หรือกิจกรรมที่มีความรุนแรงเพราะจะกลับกลายไปกระตุ้นอาการสมาธิสั้น
เป็นการทำให้
อาการแย่ลงไปอีก
พ่อแม่ต้องมีความเข้าใจ
อดทน มีความหนักแน่นในหลักการ
และที่สำคัญต้องไม่ใช้ความรุนแรงในการ
ลงโทษ
โดยเปลี่ยนเป็นการลงโทษโดยการตกลงกันไว้ก่อนแทน
เช่น งดเวลาการดูโทรทัศน์ลงแทน
เมื่อ
ทำไม่ตรงตามกติกา เป็นต้น
ผู้ปกครองสามารถพาเด็กไปพบแพทย์เพื่อการตรวจยืนยันและการรักษาได้ตามโรงพยาบาลใหญ่ของรัฐ
เช่น ร.พ. จุฬา / รามา / ศิริราช /
พระมงกุฏ / ภูมิพล / วชิระพยาบาล
เป็นต้น หรือโรงพยาบาลเฉพาะทาง
เช่น ร.พ. บ้านสมเด็จ /
ร.พ.ประสาทไวทโยปถัมภ์ /
ร.พ.ศรีธัญญา เป็นต้น

กลุ่มอาการดาวน์เป็นกลุ่มอาการที่มี
ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21
มีเพิ่มขึ้นมาอีก 1 โครโมโซม
เด็กจะมีหน้าตาลักษณะเฉพาะของโรค
มีภาวะปัญญาอ่อน
อาจมีความผิดปกติของโรคหัวใจ
พิการแต่
กำเนิด โรคทางเดินอาหาร
กล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียก
ไม่สบายบ่อยๆ
ลักษณะเฉพาะนี้
เราจะพบจากจอทีวี
คือลักษณะของคุณสายัณห์
ตลกคณะคุณเด๋อ ดอกสะเดา
ซึ่งเป็นลักษณะกลุ่มอาการดาวน์ ซึ่งถือว่าเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธ์ที่พบบ่อย
การตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดสามารถบอกการวินิจฉัยโรคทางพันธุกรรมได้เพื่อให้คู่สามีภรรยา
ได้รับข้อมูลแต่ต้นเพื่อประกอบการตัดสินใจหรือเตรียมตัวเตรียมใจแต่เนิ่นๆ
มีข้อบ่งชี้ในการต้องมารับการตรวจวินิจฉัยขณะที่ตั้งท้องอ่อนๆก็คือ
หญิงที่อายุมากกว่า
35 ปี ขณะตั้งครรภ์
เคยมีลูกที่มีความผิดปกติของโครโมโซมมาก่อน
เช่นเป็นกลุ่มอาการดาวน์
เป็นต้น
หรือมีความเสี่ยงสูงที่จะอาจได้ลูกเป็นโรคทางกรรมพันธ์
|
การตรวจ
ประกอบด้วยการตรวจ Ultrasound ตรวจเลือด
ที่เรียกว่า Blood Screening
รวมทั้งวิธีใหม่ก็คือ
ประกอบด้วยการตรวจ Ultrasound ตรวจเลือด
ที่เรียกว่า Blood Screening
รวมทั้งวิธีใหม่ก็คือ
การตรวจปัสสาวะ หรือ Urine
Screening เมื่อได้ข้อมูลแล้วคุณหมอก็จะพิจารณาการเจาะน้ำคร่ำ
เมื่อให้ได้การวินิจฉัยโรคของทารก
ตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดา
วิทยาการที่พัฒนาการไปก็เพื่อ
ความสะดวก ไม่เจ็บ
หลีกเลี่ยงอันตราย
และความแม่นยำในการวินิจฉัยโรค
สังคมไทยยังคงมีผู้ที่หวาดหวั่นกับข้อมูลที่ตรวจพบ
ไม่ตรวจดีกว่า
เกรงว่าจะทราบว่าเป็นโรคอะไร
แต่ในโลกของข้อมูลข่าวสารที่กว้างไกลมากในปัจจุบัน
การทราบข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำจะเป็นความกระจ่างชัดต่อการตัดสินใจ
เตรียมตัว
เตรียมการ
เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทุกๆฝ่ายครับ
โดย นพ.จักรพันธ์
สุศิวะ กุมารแพทย์
การตรวจปัสสาวะเพื่อหาอาการ
Down Syndromeในครรภ์ |
นักวิจัยจาก Yale
University ได้ทดลองนำปัสสาวะของหญิงมีครรภ์
มาตรวจหาอาการ Down
Syndromeที่อาจเกิดกับทารก
โดยนักวิจัย
กลุ่มนี้
หวังว่าจะสามารถหา Hyperglycosylated HCG
ได้จาก
ตัวอย่างของปัสสาวะโดยไม่ต้องอาศัยการเจาะเลือด
และถ้าสามารถ
หาได้ผลทดสอบอาจจะแม่นยำกว่าการทำ
Screening Test
สำหรับการทดสอบที่ทำกันอยู่ในปัจจุบันนั้น
จะต้องนำหญิงมีครรภ์มา Screen
หาความเป็นไปได้ในความผิดปกติจาก Down Syndrome
จากนั้นจะต้อง
ทดสอบในขึ้นที่สองด้วยการทำ
Amniocentesis คือ
การเจาะถุงน้ำคร่ำ
ขณะตั้งครรภ์ เพื่อความแม่นยำในการวินิจฉัยอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ อาการ
Down
Syndrome ที่เกิดกับเด็กทารกนั้น
สร้างความหนักใจให้กับครอบครัว
มากเป็นอันดับต้น ๆ
อีกทั้งปัญหาดังกล่าวยังเกิดขึ้นในอัตราที่ค่อนข้างมากคือ
เด็กทารกแรกเกิด ๗๐๐
คนจะมีอาการ Down Syndrom เสีย ๑ คน
โดยเด็กที่เป็น
Down
Syndrome นั้น จะมีโครโมโซมเกินมา ๑
โครโมโซม
การทดสอบครั้งล่าสุดนั้นให้ผลแม่นยำกว่าการตรวจเลือด
Dr. Maurice Mahoney และ Dr.
Ray Bahado-Singh แห่ง Yale บอกว่า
พวกเขาได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการ
ตรวจปัสสาวะเพื่อค้นหาความผิดปกติจาก Down
Syndrome โดยได้
ทดลองกับหญิง
ตั้งครรภ์จำนวน
๑๐,๐๐๐ คน โดยผู้ที่เข้าร่วมการทดลองนั้นจะต้องผ่านการตรวจ
Ultrasound ตรวจเลือด ที่เรียกว่า Blood
Screening
รวมทั้งวิธีใหม่ก็คือการตรวจ
ปัสสาวะ
หรือ Urine Screening เพื่อนำผลที่ได้จากการตรวจ
แต่ละอย่างมาเปรียบเทียบ
กัน
การทดลองโดยการตรวจปัสสาวะนั้น
ได้ทำที่ Yale ในขณะที่ Quest Diagnostics
แห่ง
มลรัฐ New Jersey เป็นผู้ติดตามผล และพบว่า
ผู้ที่เข้ารับการทดสอบจำนวนครึ่งหนึ่ง
ที่ทาง Quest Diagnostics ดูแลอยู่นั้น
ได้ทารกที่เป็นไปตามที่ Yale
ได้ให้ข้อมูลจาก
การทดสอบไว้แต่สำหรับในภาพรวมแล้ว
ได้ข้อมูลที่สรุปได้ว่า
การตรวจหาอาการ
Down
Syndrome จากปัสสาวะ ให้ผลถูกต้องร้อยละ ๘๐
ในขณะที่การทดสอบ
จากเลือดนั้น
มีความผิดพลาดประมาณร้อยละ ๔๐
Cover Story from CNN Health
http://www.cnn.com/1999/HEALTH/women/12/07/health.down/index.html


ThaiL@bOnline
Email : vichai-cd@usa.net
Phone : (02) 803-7310-11 , 803-7747 Fax : (02) 803-6705 ext 0
|