สาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพ        การตรวจวินิจฉัยโรคทางห้องแล็ป ตั้งแต่การได้รับตัวอย่าง เลือด/ ปัสสาวะ/ สารคัดหลั่งต่างๆ วิธีการทดสอบไปจนถึงการแปลผล
อาการและปัญหาของโรคภัยไข้เจ็บ       การดูแลป้องกันโรคติดต่อ        สรีระร่างกายของเรา       ชมรมเรารักสุขภาพมาช่วยกันดูแลสุขภาพกัน       สุขอนามัย

cdlogo.gif (7928 bytes)
Healthcare & Diagnostic

winshop.jpg (4697 bytes)
HealthShop l ช็อปปิ้งเพื่อสุขภาพ


สนใจรับข่าวสารสุขภาพใหม่ๆ 
พร้อมประโยชน์อื่นๆ เชิญสมัครฟรี !

Home ] Up ] Endocrine ] Muscle/Skeleton ] [ Cardio ] Skin/Dermal ] Digestive ] Kidney/Urinary ] Tumor/CA ] Infectious ] CBC ] Sexual ] Respiratory ] Brain ] Accident ] HIV ] TropicalParasite ] BabyDisease ] Mental ]
ban3.jpg (13652 bytes)

 

TOP               banner8.gif (26157 bytes)

ความดันโลหิต
Hypertension

ช็อก
SHOCK

ทาลัสซีเมีย
Thalassemia

โลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตกง่าย  Hemolytic Anemia โรคหัวใจขาดเลือด 
Myocardial Infarction
เยื่อบุหัวใจอักเสบ  
Bacterial endocarditis
โลหิตจาง จากขาดธาตุเหล็ก  Iron Deficiency anemia    

wpe3.jpg (6148 bytes)


 







ความดันโลหิต Hypertension
ลักษณะทั่วไป
ความดันโลหิต หมายถึง แรงดันของกระแสเลือดที่กระทบต่อผนังหลอดเลือด ซึ่งเกิดจากการสูบฉีดของหัวใจ (คล้ายแรง
ลมที่ดันผนังยางรถเวลาสูบลมเข้า) ซึ่งสามารถวัดโดยใช้ เครื่องวัดความดัน เครื่องวัดความดัน
(Sphygmomano
meter)
วัดที่แขน และมีค่าที่วัดได้ 2 ค่าคือ
1. ความดันช่วงบน หรือความดันซิสโตลี (Systolic blood pressure) หมายถึง แรงดันเลือดขณะ
ที่หัวใจบีบตัว ซึ่งอาจจะสูงตามอายุ ความดันช่วงบนในคน ๆ เดียวกันอาจมีค่าแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย ตามท่าของ
ร่างกาย การเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ และปริมาณของการออกกำลัง
2. ความดันช่วงล่าง หรือความดันไดแอสโตลี (Diastolic blood pressure ) หมายถึง แรงดันเลือด
ขณะที่หัวใจคลายตัว ในปัจจุบัน ได้มีการกำหนดค่าความดันโลหิต และระดับความรุนแรงของโรคความดันโลหิตสูง 
สำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป (โดยการวัดในท่านั่ง วัดอย่างน้อย 2 ครั้งขึ้นไป แล้วคิดเป็นค่าเฉลี่ย) ดังนี้

ความดันช่วงบน
- ปกติ มีค่าต่ำกว่า 130 มม.ปรอท (ทอรร์)
- ปกติแต่ค่อนข้างสูง มีค่าระหว่าง 130-139 มม.ปรอท
- ความดันสูงเล็กน้อย มีค่าระหว่าง 140-159 มม.ปรอท
- ความดันสูงปานกลาง มีค่าระหว่าง 160-179 มม.ปรอท
- ความดันสูงรุนแรง มีค่าระหว่าง 180-209 มม.ปรอท
- ความดันสูงรุนแรงมาก มีค่าตั้งแต่ 210 มม.ปรอทขึ้นไป

ความดันช่วงล่าง
- ปกติ มีค่าต่ำกว่า 85 มม.ปรอท
- ปกติแต่ค่อนข้างสูง มีค่าระหว่าง 85-89 มม.ปรอท
- ความดันสูงเล็กน้อย มีค่าระหว่าง 90-99 มม.ปรอท
- ความดันสูงปานกลาง มีค่าระหว่าง 100-109 มม.ปรอท
- ความดันสูงรุนแรง มีค่าระหว่าง 110-119 มม.ปรอท
- ความดันสูงรุนแรงมาก มีค่าตั้งแต่ 120 มม.ปรอทขึ้นไป
ความดันโลหิตสูง จึงหมายถึง ความดันช่วงบนมีค่าตั้งแต่ 140 มม.ปรอทขึ้นไป หรือความดันช่วงล่างมีค่าตั้งแต่
90 มม.ปรอทขึ้นไป โดยมากผู้ป่วยจะมีความดันช่วงล่างสูง (Diastolic hypertension) โดยความดัน
ช่วงบนจะสูงหรือไม่ก็ได้ บางคนอาจมีความดันช่วงบนสูงเพียงอย่างเดียว แต่ความดันช่วงล่างไม่สูง เรียกว่า ความดัน
ช่วงบนสูงเดี่ยว (Isolated systolic hypertension) ซึ่งมักจะพบในผู้สูงอายุ, โรคคอพอกเป็นพิษ, 
ภาวะหลอดเลือดแดงเอออร์ตาตีบตัน เราจะวินิจฉัยโรคนี้แน่นอน ต่อเมื่อวัดความดันแต่ละคราว อย่างน้อย 2 ครั้งขึ้นไป 
หาค่าเฉลี่ยของความดัน และนัดมาวัดซ้ำอีกอย่างน้อย 1-2 คราวภายใน 1 สัปดาห์ แล้วยังพบว่ามีค่าเฉลี่ยความดัน
สูงกว่าปกติ ในการวัดแต่ละคราว ควรให้ผู้ป่วยนั่งพักสัก 5-10 นาทีเสียก่อนโรคความดันโลหิตสูง พบได้ประมาณ 
5-10% ของคนทั่วไป ส่วนมากจะเริ่มเป็นในคนที่มีอายุมากกว่า 40 ปี ขึ้นไป โดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ส่วนน้อย
ที่อาจพบในคนอายุน้อย ซึ่งมักจะมีความผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย

สาเหตุ
1. ส่วนใหญ่ (กว่า90%) ไม่ทราบสาเหตุ คือ ตรวจไม่พบความผิดปกติของร่างกายที่เป็นต้นเหตุของความดันสูง 
เรียกว่า "ความดันสูงไม่ทราบสาเหตุ"
(Essential hypertension หรือ Primary hypertension) 
แต่อย่างไรก็ตามมักพบว่า ปัจจัยทางกรรมพันธุ์อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคกล่าวคือ ผู้ที่มีพ่อแม่พี่น้องในครอบครัว
เดียวกันเป็นโรคนี้ จะมีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูงมากกว่าผู้ที่ไม่มีประวัติดังกล่าวประมาณ 3 เท่า นอกจากนี้ อายุมาก 
ความอ้วน อารมณ์เครียดการกินอาหารเค็มจัด และการดื่มเหล้าจัด ก็อาจเป็นปัจจัยเสริมของโรคนี้ ผู้ป่วยพวกนี้ จะเริ่ม
เป็นเมื่ออายุประมาณ 25-55 ปี เริ่มพบมากในคนอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป และยิ่งอายุมากขึ้น ก็มีโอกาสพบได้
มากขึ้น
2. ส่วนน้อย (ต่ำกว่า 10% ) อาจตรวจพบสาเหตุ โดยเฉพาะถ้าพบในคนอายุต่ำกว่า 30 ปี หรือเริ่มมีความดันสูง 
เมื่ออายุมากกว่า 55 ปี เรียกว่า "ความดันสูงชนิดมีสาเหตุ"
(Secondary hypertension)สาเหตุที่อาจพบ
ได้มีหลายอย่าง เช่น
2.1 ได้รับยาบางประเภท เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด, ยาฮอร์โมนเพศหญิง (เอสโตรเจน), สเตอรอยด์ , ยาต้านอักเสบ
ที่ไม่ใช่สเตอรอยด์, ยาแก้คัดจมูก (decongestant) และยาแก้หวัดที่เข้ายาแก้คัดจมูก, ยาลดความอ้วน, 
อะดรีนาลิน , ทีโอฟิลลีน, ยาฮอร์โมนไทรอยด์, ยาแก้ซึมเศร้าชนิด ไตรไซคลิก เป็นต้น
2.2 ความดันสูงในหญิงตั้งครรภ์
2.3 โรคไต เช่น หน่วยไตอักเสบ , กรวยไตอักเสบเรื้อรัง , ไตวายเรื้อรัง, หลอดเลือดเลี้ยงไตตีบตัว
(Renal artery 
stenosis)
ซึ่งมักได้ยินเสียงฟู่ (bruit) ที่หน้าท้อง, วัณโรคของไต, เนื้องอกของไต เป็นต้น
2.4 หลอดเลือดแดงเอออร์ตาตีบตัว
(Coarctation of aorta) ลิ้นหัวใจเอออร์ติกรั่ว (Aortic
insufficiency)
ซึ่งมักจะทำให้ความดันช่วงบนสูงเพียงอย่างเดียว ส่วนความดันช่วงล่างเป็นปกติ
2.5 โรคของต่อมไร้ท่อ เช่น คอพอกเป็นพิษ   มักจะทำให้ความดันช่วงบนสูงเพียงอย่างเดียว, โรคคุชชิง , เนื้องอก
ของต่อมหมวกไตชนิดที่เรียกว่า ฟีโอโครโมไซโตมา
(Pheochromocytoma ซึ่งจะทำให้มีอาการปวดศีรษะ
 ใจสั่น เหงื่อออก หน้ามืด เป็นลม น้ำหนักลดร่วมด้วย) เป็นต้น
2.6 อื่น ๆ เช่น ภาวะความดันสูงในกะโหลกศีรษะ, ตะกั่วเป็นพิษ, ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง เป็นต้น
3. ในผู้สูงอายุ มักมีความดันช่วงบนสูงเพียงอย่างเดียว เนื่องจากมีภาวะผนังหลอดเลือดแดงแข็งตัว
(atherosclerosis) เรียกว่า "ความดันโลหิตสูงในผู้สูงอายุ"
4. ความดันโลหิตอาจสูงได้ชั่วคราว เมื่อมีภาวะที่ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น เช่น ไข้ ซีด ออกกำลังกายใหม่ ๆ 
อารมณ์เครียด (เช่น โกรธ ตื่นเต้น) เป็นต้น ไม่จำเป็นต้องรักษา จะหายไปได้เองเมื่อปัจจัยเหล่านี้หมดไป

อาการ
ส่วนใหญ่จะไม่มีอาการแต่อย่างใด ซึ่งมักจะตรวจพบโดยบังเอิญ ขณะไปให้แพทย์ตรวจรักษาด้วยปัญหาอื่น ส่วนน้อย
อาจมีอาการปวดมึนท้ายทอย ตึงที่ต้นคอ วิงเวียน มักจะเป็นเวลาตื่นนอนใหม่ ๆ พอตอนสายจะทุเลาไปเองบางคนอาจ
มีอาการปวดศีรษะตุบ ๆ แบบไมเกรน ได้ ในรายที่เป็นมานาน ๆ หรือความดันสูงมาก ๆ อาจมีอาการ อ่อนเพลีย 
เหนื่อยง่าย ใจสั่น นอนไม่หลับ มือเท้าชา ตามัว หรือมีเลือดกำเดาไหล เมื่อปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ โดยไม่ได้รับการรักษา ก็
อาจแสดงอาการของภาวะแทรกซ้อน เช่น เจ็บหน้าอก บวม หอบเหนื่อย แขนขาเป็นอัมพาต เป็นต้น

สิ่งตรวจพบ
จะตรวจพบความดันโลหิตช่วงบนมีค่าตั้งแต่ 140 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป หรือช่วงล่างมีค่าตั้งแต่ 90 มิลลิเมตรปรอท
 ขึ้นไป หรือสูงทั้งช่วงบนและช่วงล่างนอกจากนั้นมักไม่พบสิ่งผิดปกติอื่น ๆ ยกเว้นในบางรายที่เป็นความดันสูงชนิดมี
สาเหตุ อาจพบอาการของโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น พบน้ำตาลในปัสสาวะในผู้ป่วยเบาหวาน, ชีพจรที่ขาหนีบคลำไม่ได้
หรือคลำได้แผ่วเบา ในผู้ป่วยที่มีหลอดเลือดแดงใหญ่ตีบตัว, ใช้เครื่องฟังได้ยินเสียงฟู่ (bruit) ที่ตรงหน้าท้องตรง
บริเวณใต้ชายโครงขวาหรือซ้าย ในผู้ป่วยที่มีเลือดเลี้ยงไตตีบตัว, ได้ยินเสียงฟู่ (murmur) ตรงลิ้นหัวใจเอออร์ติก
ในผู้ป่วยที่มีลิ้นหัวใจเอออร์ติกรั่ว เป็นต้น

อาการแทรกซ้อน
ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาหรือปล่อยให้ความดันสูงอยู่นาน ๆ มักจะเกิดความผิดปกติของอวัยวะที่สำคัญ เช่น หัวใจ 
สมอง ไต ประสาทตา เป็นต้น เนื่องจากความดันโลหิตสูง จะทำให้หลอดเลือดแดงแทบทุกส่วนของร่างกายเสื่อม (เกิด
ภาวะผนังหลอดเลือดแดงแข็ง) หลอดเลือดตีบตัน เลือดไปเลี้ยงอวัยวะไม่ได้ ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ได้แก่
1. หัวใจ จะทำให้หัวใจห้องล่างซ้ายโต จนกระทั่งเกิดภาวะหัวใจวาย ซึ่งจะมีอาการบวม หอบเหนื่อยนอนราบไม่ได้ 
นอกจากนี้ยังอาจทำให้หลอดเลือดที่เลี้ยงหัวใจตีบตัน กลายเป็นโรคหัวใจขาดเลือด  มีอาการเจ็บหน้าอก ถ้ารุนแรง
ถึงกับเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย
2. สมอง อาจเกิดภาวะหลอดเลือดในสมองตีบตันหรือแตกกลายเป็นโรคอัมพาตครึ่งซีก   ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบ
ได้บ่อย ในรายที่มีเส้นโลหิตฝอยในสมองส่วนสำคัญแตก ก็อาจตายได้อย่างรวดเร็ว ถ้าเป็นเรื้อรัง บางคนอาจกลายเป็น
โรคความจำเสื่อม   สมาธิลดลง ในรายที่มีความดันสูงรุนแรง ที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันอาจทำให้เกิดอาการชัก หรือ
หมดสติได้
3. ไต อาจเกิดภาวะไตวายเรื้อรัง   เนื่องจากหลอดเลือดแดงเสื่อม เลือดไปเลี้ยงไตไม่พอ ไตที่วายจะยิ่งทำให้ความดัน
เลือดสูงขึ้น กลายเป็นวงจรที่เลวร้าย การ
ตรวจปัสสาวะจะพบสารไข่ขาว จะยิ่งทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น กลายเป็นวงจรที่
เลวร้าย
การ
ตรวจปัสสาวะจะพบสารไข่ขาว(albumin) ตั้งแต่ 2+ ขึ้นไป การเจาะเลือดทดสอบการทำงานของไต 
จะพบระดับของสารบียูเอ็น (BUN) และครีอะตินีน (creatinine) สูง
4. ตา จะเกิดภาวะเสื่อมของหลอดเลือดแดงภายในลูกตาอย่างช้า ๆ ในระยะแรกหลอดเลือดจะตีบตัน ต่อมาอาจแตกมี
เลือดออกที่จอตา (เรตินา) ทำให้ประสาทตาเสื่อม ตามัวลงเรื่อย ๆ จนตาบอดได้ ซึ่งสามารถใช้เครื่องส่องตา 
(ophthalmoscope) ตรวจดูความผิดปกติภายในลูกตา ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ จะเกิดขึ้นรุนแรงหรือรวดเร็ว
เพียงใดขึ้นกับความรุนแรงและระยะของโรคถ้าความดันมีขนาดสูงมาก ๆ อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้รวดเร็ว และ
ผู้ป่วยอาจตายได้ภายในเวลาไม่กี่ปี (ถ้ารุนแรงมากอาจตายภายใน 6-8 เดือน) ส่วนในรายที่เป็นเพียงเล็กน้อย หาก
ปล่อยไว้ ไม่รักษา อาจใช้เวลา
7-10 ปีในการเกิดภาวะแทรกซ้อนนอกจากนี้ ผู้ป่วยที่มีโรคอื่นร่วมด้วย (เช่น เบาหวาน 
ภาวะไขมันในเลือดสูง) หรือสูบบุหรี่ หรือดื่มเหล้าจัด ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนเร็วขึ้น จึงควรควบคุมโรคหรือพฤติกรรม
เหล่านี้

การรักษา
1. สำหรับความดันโลหิตสูงเล็กน้อย (ความดันช่วงบน
130-159 มม.ปรอท หรือความดันช่วงล่าง 85-99 
มม.ปรอท) ให้นัดมาวัดซ้ำอีกอย่างน้อย
2 คราวใน 4 สัปดาห์ ถ้าความดันต่ำกว่า 130/85 มม.ปรอท ให้นัดมา
ตรวจทุก
6 เดือน เป็นเวลา 1 ปี ถ้าความดันช่วงบน 130-159 หรือช่วงล่าง 85-99 ให้แนะนำการปฏิบัติตัวใน
เรื่องการควบคุมน้ำหนัก, ลดกินอาหารเค็ม, งดบุหรี่และเหล้า,ออกกำลังกาย, ผ่อนคลายความเครียด ถ้าเป็นไปได้ 
ควรทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่นตรวจปัสสาวะ, ตรวจเลือด (หาระดับน้ำตาล, โคเลสเตอรอล, ไตรกลีเซอไรด์, 
กรดยูริก, ครีอะตินีน, โพแทสเซียม, ระดับความเข้มข้นของเลือด หรือฮีมาโตคริต) และคลื่นหัวใจ (ECG) เพื่อหา
สาเหตุที่ซ่อนเร้น และเป็นพื้นฐานสำหรับการติดตามผลในระยะยาวหลังจากติดตามวัดความดัน
2-3 คราวในช่วง 3 
เดือนต่อมา ถ้าหากวัดได้ค่าความดันในระดับต่าง ๆ ควรให้การดูแลรักษาดังนี้

(1) ความดันช่วงบน
130-139 หรือช่วงล่าง 85-89 ให้แนะนำการปฏิบัติตัว โดยยังไม่ต้องให้ยารักษาควรติดตาม
วัดความดันในอีก 3 เดือนต่อมา ถ้าพบว่าความดันช่วงบน
140-159 หรือช่วงล่าง 90-99 ควรเริ่มให้ยารักษา ถ้า
ได้ค่าต่ำกว่านี้ ยังไม่ต้องให้ยารักษา แต่ควรติดตามทุก
3-6 เดือน
(2) ความดันช่วงบน
140-159 หรือช่วงล่าง 90-99 แนะนำการปฏิบัติตัว จะเริ่มให้ยาเฉพาะในรายที่มีปัจจัย
เสี่ยงร่วมด้วย (เช่น เบาหวาน หัวใจห้องล่างซ้ายโต โรคหลอดเลือดในสมองตีบ เป็นต้น)ในรายที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงให้ติด
ตามวัดความดันในอีก 3 เดือนต่อมา ถ้าความดันยังอยู่ในช่วงดังกล่าวก็ควรเริ่มให้ยารักษา
(3) ความดันช่วงบน
160-209 หรือช่วงล่าง 100-119 ควรเริ่มให้ยารักษา

2. สำหรับผู้ป่วยที่วัดได้ความดันช่วงบน
160-209 มม.ปรอท หรือช่วงล่าง 100-119 มม.ปรอทตั้งแต่แรก ซึ่งถือ
ว่าเป็นความดันโลหิตสูงระดับปานกลางและรุนแรง ควรส่งตรวจเลือด ปัสสาวะคลื่นหัวใจ แนะนำการปฏิบัติตัว และให้
ยารักษา

3. การให้ยารักษาความดัน ควรเริ่มจากไฮโดรคลอโรไทอาไซด์  
12.5-25 มก. วันละครั้ง ตอนเช้าให้ความดันลด
ต่ำกว่า
140 (ช่วงบน) และ 90 (ช่วงล่าง) ถ้าไม่ได้ผล เพิ่มเป็นวันละ 50 มก. หรือเริ่มต้นด้วยกลุ่มยาปิดกั้นบีตา 
เช่น โพรพราโนลอล, อะทีโนลอล ถ้าไม่ได้ผล อาจหันไปใช้ยาต้านแคลเซียม หรือยาต้านเอซ  แทน ในกรณีที่ใช้ยาเดี่ยว
ไม่ได้ผล อาจให้ยา
2-3 ชนิดร่วมกัน ดังนี้
- ไฮโดรคลอโรไทอาไซด์ ร่วมกับ ยาปิดกั้นบีตา หรือรีเซอร์พีน   หรือ ยาต้านแคลเซียม หรือยาต้านเอซ
- ยาต้านแคลเซียม ร่วมกับยาต้านเอซ
- ไฮโดรคลอโรไทอาไซด์ ร่วมกับยาต้านแคลเซียม ร่วมกับยาปิดกั้นบีตา (หรือยาต้านเอซ)
- ไฮโดรคลอโรไทอาไซด์ ร่วมกับยาต้านเอซ ร่วมกับยาปิดกั้นบีตา
- ยาปิดกั้นบีตา ร่วมกับยาต้านแคลเซียม ร่วมกับยาต้านเอซ

4. สำหรับผู้สูงอายุที่มีความดันช่วงบนสูงเพียงอย่างเดียว (ความดันช่วงบนตั้งแต่
160 มม.ปรอทขึ้นไปและช่วงล่าง
ต่ำกว่า
90) ควรให้ไฮโดรคลอโรไทอาไซด์ หรือยาปิดกั้นบีตา (สำหรับไฮโดรคลอโรไทอาไซด์ ควรให้ขนาดไม่เกิน
วันละ
12.5 มก.)

5. ควรส่งผู้ป่วยปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เมื่อรักษาไม่ได้ผล, หรือเมื่อมีความดันช่วงบนตั้งแต่
210 มม.ปรอทขึ้นไป 
หรือช่วงล่างตั้งแต่
120 มม.ปรอทขึ้นไป (ซึ่งเป็นความดันโลหิตสูงระดับรุนแรงมาก), หรือมีภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจ
 สมอง ไต หรือตาเกิดขึ้น, หรือพบความดันสูงในคนอายุต่ำกว่า
30 ปี อาจต้องตรวจพิเศษ เพื่อค้นหาสาเหตุ และภาวะ
แทรกซ้อน

ข้อแนะนำ
1. วิธีการวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูง รวมทั้งการติดตามผลการรักษา ที่แน่นอนคือการตรวจวัดความดันเลือด  
การตรวจวัดความดันเลือด
ความดันเลือด จะอาศัยแต่สังเกตดูอาการเพียงอย่างเดียวมักจะไม่แน่นอน เพราะโรคนี้
ส่วนมากจะไม่มีอาการแสดงแต่อย่างไร คนทั่วไปมักมีความเข้าใจผิดว่า ความดันสูงจะทำให้มีอาการปวดศีรษะ (ถ้าไม่
ปวดศรีษะ ก็นึกว่าความดันไม่สูง) ความจริงแล้ว ความดันสูงที่จะแสดงอาการปวดศรีษะนั้นนับว่ามีเพียงส่วนน้อย 
และอาการปวดศีรษะส่วนมากก็เกิดจากความเครียด , ไมเกรน และอื่น ๆ มากกว่าความดันสูง
2. ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงขนาดเล็กน้อยและปานกลาง ส่วนใหญ่จะสามารถควบคุมความดันให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ 
ด้วยการใช้ยาไฮโดรคลอโรไทอาไซด์,ยาปิดกั้นบีตา และรีเซอร์พีน มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ต้องใช้ยาลดความดันชนิด
อื่น ๆ ซึ่งมีราคาแพงมาก
3. โรคแทรกซ้อนจะเกิดขึ้นต่อเมื่อปล่อยให้ความดันสูงอยู่นานเป็นแรมปี หากได้รับการรักษาอย่างจริงจัง โอกาสที่จะ
เกิดโรคแทรกซ้อนก็จะลดน้อยลง และสามารถมีชีวิตยืนยาวเช่นคนปกติ ดังนั้นจึงควรแนะนำให้ผู้ป่วยติดต่อรักษากับหมอ
อย่าได้ขาด และหมั่นวัดความดันเป็นประจำ อาจเป็นเดือนละ 1-2 ครั้ง อาจวัดกันเองที่บ้าน หรือไหว้วานให้เจ้าหน้าที่
สาธารณสุขที่อยู่ใกล้บ้านช่วยวัดให้ก็ได้ ควรบันทึกลงสมุดบันทึกแล้วนำไปให้หมอดูในการตรวจครั้งต่อไป
4. ผู้ป่วยไม่ควรหยุดยาเอง ถึงแม้จะรู้สึกว่าสบายดีแล้วก็ตาม การลดยาหรือหยุดยา ควรให้หมอผู้รักษาเป็นผู้พิจารณา
โดยจะถือหลักว่า เมื่อให้ยาจนความดันลดเป็นปกติสักระยะหนึ่งแล้ว อาจลองลดหรือหยุดยาดู แล้วตรวจวัดความดัน
เป็นระยะ ๆ ถ้าความดันปกติ ก็ให้หยุดยาไปเลย แต่ต้องหมั่นตรวจวัดความดันต่อไปเรื่อย ๆ ถ้าขึ้นสูงใหม่ ก็ให้ยาใหม่
5. ในการให้ยารักษาความดัน ควรเริ่มให้ทีละน้อยก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มขนาดขึ้นไปเรื่อย ๆ ทั้งนี้เพื่อระวังไม่ให้ยาเกิน
ขนาด จะทำให้ความดันตกมากเกินไป ผู้ป่วยจะมีอาการหน้ามืดเป็นลมเวลาลุกนั่งหมั่นตรวจความดันโลหิต เป็นระยะๆ
6. การปฏิบัติตัวของผู้ป่วย ถือเป็นหัวใจของการรักษาโรคนี้ นอกเหนือไปจากยา ควรแนะนำผู้ป่วยดังนี้
6.1 ลดอาหารเค็มและเกลือโซเดียม อย่ากินอาหารเค็มจัด (เช่น ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ไข่เค็ม ฯลฯ) ควรกินอาหารที่มี
รสจืด ถ้าไม่ใส่เกลือและน้ำปลาได้ยิ่งดี รวมทั้งอย่ากินผงชูรส ยาธาตุน้ำแดง และยาโซดามินต์  เพราะมีเกลือโซเดียมสูง
 เกลือโซเดียม (เกลือทะเล) จะทำให้ความดันสูงและดื้อต่อการรักษา
6.2 ลดน้ำหนักถ้าอ้วน โดยการลดอาหารพวกไขมัน (เช่น อาหารมัน ของผัด ของทอด ของใส่กะทิ ขาหมู หมู
3 ชั้น)
และอาหารพวกแป้งและน้ำตาล (เช่น ข้าว ก๋วยเตี๋ยว เผือก มัน เครื่องดื่ม ของหวาน ผลไม้หวาน) ควรกินผักและผลไม้ 
(ที่ไม่หวาน) ให้มากขึ้น
6.3 งดเหล้า และบุหรี่ เพราะอาจทำให้การรักษาไม่ได้ผล และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากขึ้น
6.4 ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ เล่นกีฬา เป็นต้น ควรเริ่มแต่น้อยก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทีละน้อย อย่าออกกำลังที่ต้องมีการเบ่ง (เช่น ยกน้ำหนัก วิดพื้น)
6.5 ทำจิตใจให้สงบ หลีกเลี่ยงจากสิ่งที่ทำให้หงุดหงิด โมโห ตื่นเต้น หรือเครียด ควรทำสมาธิบริหารจิต หรือสวดมนต์
ภาวนาตามหลักศาสนาที่ตนนับถือ เพื่อคลายความวิตกทุกข์ร้อน และทำให้จิตสงบเยือกเย็น การออกกำลังกาย  ให้เกิด
ความเพลิน ก็เป็นการบริหารจิตแบบหนึ่ง
6.6 ในสตรีที่กินยาคุมกำเนิด ควรเลิกกินยานี้แล้วหันไปคุมโดยวิธีอื่น (เช่น ใส่ห่วง ทำหมัน) แทนการปฏิบัติตัวดัง
กล่าวอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่องมีส่วนช่วยในการควบคุมความดันเลือดให้ปกติและป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ 
สำหรับคนที่มีความดันสูงเล็กน้อย ถ้าปฏิบัติตัวได้ดี ความดันอาจลดโดยไม่ต้องใช้ยารักษาก็ได้
7. คนที่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจวัดความดันอย่างน้อยปีละครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ามีพ่อแม่พี่น้องประวัติ
โรคนี้

การป้องกัน
ระวังอย่าให้อ้วน, อย่ากินอาหารเค็มจัด, อย่าดื่มเหล้าจัด, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, หาวิธีผ่อนคลายความเครียด

รายละเอียด
หัวใจของการรักษาโรคความดันโลหิตสูง อยู่ที่การปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง และกินยาอย่างสม่ำเสมอ

wpe3.jpg (6148 bytes)








ช็อก SHOCK
ลักษณะทั่วไป
ช็อก ในทางการแพทย์ หมายถึง ภาวะที่เนื้อเยื่อต่าง ๆ ทั่วร่างกายได้รับเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพออันสืบเนื่องมาจากสาเหตุ
ต่าง ๆ ที่ทำให้ระบบไหลเวียนของโลหิตล้มเหลว ซึ่งจะทำให้อวัยวะสำคัญ ๆ ของร่างากย เช่น หัวใจ สมอง ไต มีอาการ
ขาดเลือด และทำหน้าที่ไม่ได้ ถือว่าเป็นภาวะที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อชีวิตมาก

สาเหตุ
1. ที่พบบ่อยที่สุด คือ ภาวะช็อกจากปริมาตรของเลือดลดลง (Hypovolemic shock) อาจมี สาเหตุจากการตกเลือด เช่น 
เลือดออกจากบาดแผล, ตกเลือดหลังคลอด, แท้งบุตร, อาเจียน หรือถ่ายเป็นเลือด ไข้เลือดออก การเสียน้ำ เช่น 
ท้องเดินรุนแรง, อหิวาต์ , อาเจียนรุนแรง, เบาหวาน, เบาจืด,   บาดแผลไฟไหม้ หรือน้ำร้อนลวก , ไข้เลือดออก  การสูญเสียภายใน เช่นเลือดตกใน, ครรภ์นอกมดลูก , กระดูกหัก, การสูญเสียน้ำในผู้ป่วยที่มีกระเพาะหรือลำไส้อุดตัน ,
ตับอักเสบเฉียบพลัน , หรือในผู้ป่วยท้องมาน ฯลฯ
2. ภาวะช็อกจากระบบประสาท (Neurogenic shock) เกิดโดยผ่านทางระบบประสาทอัตโนมัติและศูนย์ควบคุมหลอด
เลือด ทำให้หลอดเลือดทั่วร่างกายขยายตัว เป็นผลทำให้ความดันเลือดต่ำ เช่น ตกใจ เสียใจ เจ็บปวดรุนแรง  ไขสันหลัง
ได้รับบาดเจ็บ ได้ยานอนหลับหรือยาสลบ อาการเป็นลมธรรมดาก็ถือว่าเป็นภาวะช็อกชนิดนี้อย่างอ่อน ๆ
3. ภาวะช็อกจากโรคติดเชื้อ (Septic shock) ซึ่งเกิดจากพิษของแบคทีเรีย เช่น ภาวะโลหิตเป็นพิษ , กรวยไตอักเสบ, 
มดลูกอักเสบ   จากการทำแท้ง หรือหลังคลอด ฯลฯ
4. ภาวะช็อกที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ (Cardiogenic shock) เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตายจากโรคหัวใจขาดเลือด ,ลิ้นหัวใจตีบ, 
กล้ามเนื้อหัวใจเต้นผิดจังหวะ   ปอดทะลุ , ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดแดงปอด (pulmonary embolism) ฯลฯ
5. ภาวะช็อกจากการแพ้ (Hypersensitivity shock หรือ Anaphylactic shock) เช่น แพ้เพนิซิลลิน แพ้เซรุ่มต่าง ๆ 
แพ้พิษของผึ้งหรือแมลงอื่น ๆ ฯลฯ
6. ภาวะช็อกจากระบบต่อมไร้ท่อ (Endocrinic shock) เช่น ภาวะวิกฤตจากต่อมหมวกไตฝ่อ, จากการใช้ยาประเภท
สเตอรอยด์นาน ๆ หรือเกิดจากโรคแอดดิสัน

อาการ
ผู้ป่วยมักจะมีอาการกระสับกระส่าย กระหายน้ำ ความรู้สึกตัวและความคิดอ่านลดลง ลุกนั่งจะมีอาการเป็นลม จนต้อง
ล้มตัวลงนอน ปัสสาวะน้อยลง มือเท้าแขนขาซีดและเย็น เหงื่อออก หายใจเร็ว เล็บเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ ในบางครั้ง
มือเท้าแขนขาของผู้ป่วยอาจเหมือนคนปกติที่รู้สึกอุ่นและ ไม่ชื้นก็ได้ ซึ่งอาจพบในระยะแรกของอาการช็อก ที่มีสาเหตุ
จากข้อ 2, 3 ดังกล่าว ในรายที่เป็นนาน ๆ หรือรุนแรง จะมีอาการซึม, สับสน, กระหายน้ำมาก, ผิวหนังซีด คล้ำ, 
ตัวเย็นจัด, หอบ, ปัสสาวะแทบไม่มีเลย ผู้ป่วยจะหมดสติ และตายในที่สุด

สิ่งตรวจพบ
ซึม กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพจรมากกว่านาทีละ 100 ครั้ง ความดันเลือดต่ำ และความดันช่วงบนกับช่วงล่าง 
ต่างกันน้อยกว่า 30 มม.ปรอท เช่น 90/70, 80/60 เป็นต้น

การรักษา
หากสงสัยควรรีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาล (ควรร่วมเดินทางไปกับผู้ป่วยด้วย) ระหว่างนั้นอาจให้การรักษาขั้นต้น ดังนี้
1. ให้ผู้ป่วยนอนราบ ควรยกขาผู้ป่วยขึ้นสูง (ยกเว้นในรายที่หายใจหอบ), ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายโดยการ ห่มผ้า, 
ให้ออกซิเจน
2. ถ้าผู้ป่วยมีสติอยู่ ควรพูดให้กำลังใจ อาจให้ดมยาดมด้วยก็ได้
3. อย่าให้คนมามุงล้อมผู้ป่วย
4. ถ้าผู้ป่วยหมดสติ ให้ทำการปฐมพยาบาลเช่นเดียวกับอาการหมดสติ
5. หมั่นบันทึกชีพจร ความดันเลือด การหายใจ จำนวนปัสสาวะที่ออก (ถ้าจำเป็นอาจต้องคาสายสวนปัสสาวะไว้)
6. ให้น้ำเกลือ เช่น นอร์มัลซาไลน์ (NSS), 5% เดกซ์โทรสในนอร์มัลซาไลน์ (5% D/NSS) โดยอาจลองให้เร็ว ๆ ประมาณ
 200-300 มล. (เด็ก 30-50 มล. ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. ) ใน 15 นาทีแรก โดยเฉพาะในภาวะช็อกจากปริมาตรของเลือด
ลดลง (แต่ต้องระมัดระวังในภาวะช็อกที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ) ถ้าดีขึ้น คือ รู้สึกตัวดีขึ้น ขีพจรแรงและช้าลง ความดันเลือด
สูงขึ้น เริ่มมีปัสสาวะออก 1-2 มล.ต่อน้ำหนักตัว 1 กก./ชม. ก็ให้น้ำเกลือนั้นต่อ โดยให้ช้าลง แต่ถ้ามีอาการหอบเหนื่อย
ฟังปอดได้ยินเสียงกรอบแกรบเหมือนภาวะหัวใจวาย (โดยเฉพาะในภาวะช็อกที่เกี่ยวข้องกับหัวใจ) ให้หรี่น้ำเกลือลงให้
ช้าที่สุดและฉีดยาขับปัสสาวะ เช่น ลาซิกซ์ 1-2 หลอด เข้าเส้นเลือดทันที
7. ในขณะเดียวกันก็พยายามหาสาเหตุของอาการช็อก และให้การรักษาเท่าที่จะทำได้ เช่น
- ถ้ามีเลือดออก รีบห้ามเลือดให้หยุด (ถ้าทำได้)
- ถ้ามีไข้สูง ให้เช็ดตัวด้วยน้ำเย็น
- ถ้ามีรอยฟกช้ำที่สงสัยกระดูกจะหัก ให้ตรึงส่วนนั้นไว้ไม่ให้เคลื่อนไหว
- ถ้าเกิดอาการแพ้ ให้ฉีดอะดรีนาลิน  0.5 มล. (เด็ก 0.2-0.3 มล.) เข้าเส้นเลือดหรือเข้ากล้ามทันที

รายละเอียด
รักษาภาวะช็อกจากปริมาตรของเลือดลดลง ด้วยการให้น้ำเกลือเร็ว ๆ

wpe3.jpg (6148 bytes)











ลักษณะทั่วไป
เป็นโรคเลือดชนิดหนึ่งที่มีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงที่มี
ลักษณะผิดปกติ จึงมีการแตกสลายเร็วกว่าที่ควร ทำให้มีอาการซีดเหลืองเรื้อรัง
ผู้ที่มีอาการแสดงของโรคนี้ จะต้องรับกรรมพันธุ์ที่ผิดปกติมาจากทั้งฝ่ายพ่อและแม่ (ซึ่งอาจ
ไม่มีอาการแสดง) ถ้ารับจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว จะไม่มีอาการแสดง แต่จะมีกรรม
พันธุ์ที่ผิดปกติอยู่ในตัวและสามารถถ่ายทอดไปยังลูกหลานต่อไป (ดูแผนภูมิอธิบายเพิ่มเติม)
ในบ้านเราพบว่ามีกรรมพันธุ์ที่ผิดปกติของโรคนี้ โดยไม่แสดงอาการเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในคนอีสาน อาจมีถึง 40% ของประชากรทั่วไปที่มีกรรมพันธุ์ของโรคนี้ ส่วนผู้ที่มีอาการ
ของโรคนี้อย่างชัด ๆ มีประมาณ 1 ใน 100 คน โรคนี้อาจแบ่งออกเป็นหลายชนิด ซึ่งมีความรุนแรง
มากน้อยแตกต่างกันไป

สาเหตุ
เกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์

อาการ
ผู้ป่วยจะมีอาการซีดเหลืองและตับม้ามโตมาตั้งแต่เด็ก ร่างกายเติบโตช้า ตัวเตี้ย และน้ำหนักน้อย
ไม่สมอายุในรายที่เป็นทาลัสซีเมียชนิดอ่อนที่เรียกว่า โรคฮีโมโกลบินเอช (Hemoglobin H disease)
ตามปกติจะไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างไร แต่จะมีอาการซีดเหลืองเป็นครั้งคราวขณะที่เป็นหวัด
เจ็บคอ หรือเป็นโรคติดเชื้ออื่น ๆ แบบเดียวกับโรคโลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก

สิ่งตรวจพบ
ผู้ป่วยจะมีอาการซีดเหลือง หน้าแปลก โดยมีสันจมูกแบะ (จมูกแบน) หน้าผากโหนกชัน กระดูกแก้ม
และขากรรไกรกว้างใหญ่ ฟันยื่นเขยิน ลูกตาอยู่ห่างกันมากกว่าคนปกติ ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า หน้า
มงโกลอยด์ หรือ หน้าทาลัสซีเมีย ผู้ป่วยมักจะมีม้ามโตมาก บางรายอาจโตถึงสะดือ (คลำได้ก้อนแข็ง
ที่ใต้ชายโครงซ้าย) อาการม้ามโต ชาวบ้านอาจเรียกว่า ป้าง หรือ อุปถัมภ์ม้ามย้อย (จุกกระผามม้าม
ย้อย)

อาการแทรกซ้อน
ถ้าซีดมาก อาจทำให้มีอาการหอบเหนื่อย บวม และตับโต เนื่องจากหัวใจวาย บางคนอาจเป็นไข้
เจ็บคอบ่อย จนกลายเป็นโรคหัวใจรูมาติก หรือหน่วยไตอักเสบ ผู้ป่วยอาจมีนิ่วในถุงน้ำดี ได้บ่อยก
ว่าคนทั่วไป เนื่องจากมีสารบิลิรูบินจากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติ ในรายที่มีชีวิต
อยู่ได้นาน จะมีเหล็ก (ที่ได้จากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดง) สะสมในอวัยวะต่าง ๆ เช่น ที่ผิวหนัง
ทำให้ผิวออกเป็นสีเทาอมเขียว ที่ตับทำให้ตับเข็ง ที่หัวใจทำให้หัวใจโตและเหนื่อยง่าย เป็นต้น

การรักษา
ถ้าซีดมาก อาจทำให้มีอาการหอบเหนื่อย บวม และตับโต เนื่องจากหัวใจวาย บางคนอาจเป็นไข้
เจ็บคอบ่อย จนกลายเป็นโรคหัวใจรูมาติก หรือหน่วยไตอักเสบ ผู้ป่วยอาจมีนิ่วในถุงน้ำดี   ได้บ่อย
กว่าคนทั่วไป เนื่องจากมีสารบิลิรูบินจากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติ ในรายที่มี
ชีวิตอยู่ได้นาน จะมีเหล็ก (ที่ได้จากการสลายตัวของเม็ดเลือดแดง) สะสมในอวัยวะต่าง ๆ เช่น
ที่ผิวหนังทำให้ผิวออกเป็นสีเทาอมเขียว ที่ตับทำให้ตับเข็ง ที่หัวใจทำให้หัวใจโตและเหนื่อยง่าย
เป็นต้น

ข้อแนะนำ
1. ควรให้ผู้ป่วยกินอาหารพวกโปรตีน และอาหารที่มีกรดโฟลิกสูง (เช่น ผักใบเขียว เนื้อสัตว์) มาก ๆ
เพื่อใช้ในการสร้างเม็ดเลือดแดง
2. อธิบายให้ผู้ป่วยและญาติทราบว่า โรคนี้เป็นโรคกรรมพันธุ์ติดตัวไปตลอดชีวิต ไม่มีทางรักษาให้
หายขาด แต่ถ้าได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องอาจมีชีวิตยืนยาวได้ควรรักษาที่โรงพยาบาล ที่อยู่
ใกล้บ้านเป็นประจำ ไม่ควรกระเสือกกระสนย้ายหมอ ย้ายโรงพยาบาล ทำให้หมดเปลืองเงินทองโดย
ใช่เหตุ
3. แนะนำให้พ่อแม่ที่มีลูกเป็นทาลัสซีเมียคุมกำเนิด หรือผู้ที่มีประวัติว่ามีญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ ไม่ควร
แต่งงานกัน หรือจำเป็นต้องแต่งงานก็ไม่ควรมีบุตร เพราะลูกที่เกิดมามีโอกาสเป็นโรคนี้ถึง 1 ใน 4
(ร้อยละ 25) ทำให้เกิดภาวะยุ่งยากในภายหลังได้ ถ้าหากมีการตั้งครรภ์ ในปัจจุบันมีวิธีการเจาะเอา
น้ำคร่ำมาตรวจดูว่าทารกเป็นโรคนี้หรือไม่ ดังที่เรียกว่า "การวินิจฉัยก่อนคลอด" (Prenatal diagnosis)
ถ้าพบว่าผิดปกติ อาจพิจารณาทำแท้ง (ดูแผนภูมิอธิบายเพิ่มเติม)
4. ในปัจจุบันสามารถใช้วิธีการพิเศษ เพื่อตรวจดูว่ามีเชื้อกรรมพันธุ์ของโรคนี้หรือไม่ ถ้าเป็นไปได้
4. ในปัจจุบันสามารถใช้วิธีการพิเศษ เพื่อตรวจดูว่ามีเชื้อกรรมพันธุ์ของโรคนี้หรือไม่ ถ้าเป็นไปได้
ก่อนแต่งงานควรตรวจดูให้แน่นอน

wpe3.jpg (6148 bytes)

 

 

 

 

 

 

 โลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตกง่าย  Hemolytic Anemia

เม็ดเลือดแดงที่ปกติจะมีชีวิตประมาณ 120 วัน กล่าวคือ จะไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดประมาณ
120 วัน แล้วเสื่อมสลายไป โดยถูกทำลายที่ม้ามเป็นส่วนมาก ในแต่ละวันจึงมีเม็ดเลือดแดงที่แก่ตัว
 แล้วเสื่อมสลายไปจำนวนหนึ่ง และมีเม็ดเลือดแดงใหม่ที่ไขกระดูกสร้างเข้ามาทดแทนจำนวนหนึ่ง
 จึงอยู่ในภาวะสมดุล ไม่เกิดภาวะโลหิตจาง แต่ถ้าหากมีภาวะผิดปกติเกิดขึ้น เม็ดเลือดแดงจะมีชีวิต
สั้นกว่าปกติ ถูกทำลายเร็วขึ้น ซึ่งถ้าหากมีการสลายของเม็ดเลือดแดงจำนวนมาก จนไขกระดูก
สร้างทดแทนให้ไม่ทัน ก็จะทำให้เกิดภาวะเลือดจาง เรียกว่า โลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก
 (Hemolytic anemia) ผู้ป่วยจะมีอาการซีดเหลือง ปัสสาวะสีน้ำปลา อ่อนเพลีย บางคนอาจมีไข้สูง 
หนาวสั่น ตับโต ม้ามโต ภาวะโลหิตจางชนิดนี้ อาจมีสาเหตุได้หลายอย่าง ที่พบบ่อยในบ้านเรา ได้แก่ 
ทาลัสซีเมีย และภาวะพร่องเอนไซม ์จี-6-พีดี (G-6-PD deficiency) ทาลัสซีเมียได้แยกกล่าวไว้แล้ว 
ในที่นี้จะกล่าวถึง ภาวะพร่องเอนไซม์
จี-6-พีดี

ภาวะพร่องเอนไซม์ จี-6-พีดี
เอนไซม์ จี-6-พีดี (G-6-PD) ย่อมาจาก Glucose-6-phosphate dehydrogenase เป็นเอนไซม์
ที่มีอยู่ในเซลล์ทั่วไปของร่างกาย รวมทั้งเม็ดเลือดแดง ถ้าขาดเอนไซม์ชนิดนี้ จะทำให้เม็ดเลือดแดง
แตกง่าย
ผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ชนิดนี้ มักมีสาเหตุจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ซึ่งส่วนใหญ่
จะแสดงอาการ
ในผู้ชาย ผู้หญิงก็อาจพบมีอาการได้ แต่น้อยกว่าผู้ชายมาก  โรคนี้เฉลี่ยทั่วประเทศ
พบได้ประมาณ 12% ของประชากรทั่วไป ทางภาคอีสานพบได้ 12-15% ของประชากรทั่วไป และ
ภาคเหนือพบได้ 9-15% ของประชากรทั่วไป

อาการ
มีไข้สูง หนาวสั่น ซีดเหลือง อ่อนเพลียมาก ปัสสาวะสีคล้ายน้ำปลา หรือโคล่า อาการมักจะเกิดขึ้นทันที
หลังเป็นโรคติดเชื้อ (เช่นไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ มาลาเรีย ไทฟอยด์ ตับอักเสบ เป็นต้น) หรือหลังได้
รับยาที่แสลง เช่น แอสไพริน , คลอโรควีน , ไพรมาควีน , ควินิน , ควินิดีน, คลอแรมเฟนิคอล ,
พีเอเอส,
ยากลุ่มซัลฟา, ฟูราโซลิโดน, ไนโตรฟูแลนโทอิน, เมทิลีนบลู, กรดนาลิดิซิก, แดปโซน 
เป็นต้น หรือหลังกินถั่วปากอ้า (Fava beans) ทั้งดิบและสุกอาจมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ ได้บ่อย

สิ่งตรวจพบ
จะตรวจพบภาวะซีด ตาเหลือง ตัวเหลือง แต่ตับม้ามมักไม่โต

อาการแทรกซ้อน
ถ้าเป็นรุนแรง อาจมีภาวะไตวาย  แทรกซ้อน

การรักษา
ควรส่งโรงพยาบาลภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อการวินิจฉัย โดยการเจาะเลือดตรวจดูระดับเอนไซม์
จี-6-พีดี และให้การรักษาตามอาการ ถ้าซีดมากอาจต้องให้เลือด ถ้าพบมีโรคอื่น ๆ (เช่น มาลาเรีย 
ไทฟอยด์) ร่วมด้วย ก็ให้การรักษาพร้อมกันไปด้วย แต่ต้องระวังยาที่อาจทำให้เกิดอาการเม็ดเลือด
แดงแตกมากขึ้นผู้ป่วยต้องดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันมิให้ไตวาย

ข้อแนะนำ
1. โรคนี้มีการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์แบบ X-linked (มีความผิดปกติอยู่ที่โครโมโซม X) กล่าวคือ ถ้าผู้ป่วยเป็นชายจะต้องรับกรรมพันธุ์ที่ผิดปกติมาจากแม่ และลูกผู้หญิงของผู้ป่วยทุกคนจะรับความ
ผิดปกติไปโดยไม่มีอาการแสดง แต่จะถ่ายทอดไปสู่หลานอีกต่อหนึ่ง (ซึ่งถ้าเป็นหลานผู้ชายจะมี
อาการแสดง) ส่วนลูกผู้ชายของผู้ป่วยทุกคนจะไม่ได้รับการถ่ายทอดกรรมพันธุ์ที่ผิดปกติไปจากผู้ป่วย
นอกจากนี้พี่หรือน้องผู้ชายของผู้ป่วยที่เกิดแต่แม่เดียวกันอาจเป็นหรือไม่เป็นโรคก็ได้ (มีอัตราเสี่ยง
ประมาณ 50% ) ส่วนพี่หรือน้องผู้หญิง ประมาณ 50% อาจรับความผิดปกติไปโดยไม่มีอาการแสดง
(ยกเว้นถ้าพ่อเป็นโรคนี้ด้วย ก็จะมีอาการแสดง)
ถ้าผู้ป่วยเป็นหญิง จะต้องรับกรรมพันธุ์ที่ผิดปกติมาจากทั้งพ่อ (ซึ่งมีอาการแสดง) กับแม่ (ซึ่งอาจมี
หรือไม่มีอาการก็ได้) และพี่น้องของผู้ป่วยส่วนมากจะรับความผิดปกติไปด้วย ถ้าเป็นพี่น้องผู้หญิงอาจมีหรือไม่มีอาการแสดงก็ได้ ถ้าเป็นพี่น้องผู้ชายถ้าได้รับความผิดปกติไป มักจะ
มีอาการแสดงเสมอ    
ผู้ป่วยที่มีอาการแสดงของโรคนี้ทั้งคู่ไม่ควรแต่งงานกัน เพราะลูกที่เกิดมาไม่ว่าชายหรือหญิงจะมี
อาการของโรคนี้ทุกคน
2. โรคนี้จะเป็นติดตัวไปตลอดชีวิต โดยไม่เกิดอันตรายร้ายแรงถ้ารู้จักระวังตัวโดยหลีกเลี่ยงยา หรือ
สารที่แสลง แต่ถ้าเกิดมีภาวะเม็ดเลือดแดงแตก เนื่องจากเป็นโรคติดเชื้อ ผู้ป่วยควรต้องดื่มน้ำมาก ๆ
และรีบไปหาหมอ
3. ผู้ที่เป็นโรคนี้ ควรพกบัตรประจำตัว (หรือใช้กระดาษแข็งแผ่นเล็ก ๆ ) ซึ่งเขียนระบุชื่อผู้ป่วย
โรคที่เป็น
และรายชื่อยามีควรหลีกเลี่ยง (โดยสอบถามจากแพทย์ที่รักษา) ควรนำบัตรนี้แสดงแก่
แพทย์ทุกครั้งที่ไปตรวจรักษาด้วยโรคใด ๆ ก็ตาม เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่แสลงต่อโรคนี้
4. โรคนี้แยกออกจากทาลัสซีเมียได้ โดยที่ทาลัสซีเมียจะแสดงอาการซีดเหลืองและม้ามโตมาตั้ง
แต่เกิด และจะมีอาการอยู่ตลอดเวลา ส่วนผู้ป่วยที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ จี-6-พีดี ปกติจะแข็งแรงดี 
แต่จะมีอาการซีดเหลืองเป็นครั้งคราว เมื่อเป็นโรคติดเชื้อ หรือได้รับยาหรือสารที่แสลง

wpe3.jpg (6148 bytes)

 

 

 

 

 

  โรคหัวใจขาดเลือด Myocardial Infarction
โรคหัวใจขาดเลือด หรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Ischemic heart disease/IHD) หรือโรคหลอด
เลือดโคโรนารี (Coronary artery disease/CAD) หมายถึง โรคหัวใจที่เกิดจากการตีบ และแข็งตัว
ของหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยง กล้ามเนื้อหัวใจ หรือที่เรียกว่า หลอดเลือดโคโรนารี (Coronary 
artery) ทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจลดลงหรือชะงักไป เมื่อผู้ป่วยมีภาวะที่กล้ามเนื้อหัวใจ
ต้องการออกซิเจนมากขึ้น เช่น การออกแรงมาก ๆ การมีอารมณ์โกรธ หรือจิตใจเครียด เป็นต้น ก็จะ
ทำให้มีอาการเจ็บหน้าอกเป็นครั้งคราว โดยที่ยังไม่มีการตายของกล้ามเนื้อหัวใจเกิดขึ้น เราเรียกว่า 
อาการดังกล่าวว่าโรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะ (Angina pectoris)
แต่ถ้ากล้ามเนื้อหัวใจมีการตาย
เกิดขึ้นบางส่วน เนื่องจากหลอดเลือดโคโรนารีเกิดการอุดตันเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่ได้เลย
ก็จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง ซึ่งมักจะมีภาวะช็อก และหัวใจวายร่วมด้วย เราเรียกว่า 
โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย (Myocardial infarction)

โรคนี้มักจะพบได้มากขึ้นตามอายุ ส่วนมากจะมีอาการเริ่มแรกเมื่อมีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป มักไม่
พบในผู้ชายอายุต่ำ 30 ปี หรือผู้หญิงอายุต่ำกว่า 40 ปีที่ไม่มีโรคประจำตัวอยู่ก่อน พบในผู้ชายมาก
กว่าผู้หญิง คนที่อยู่ดีกินดี คนที่มีอาชีพทำงานนั่งโต๊ะ และคนในเมืองมีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าคน
ยากจน คนทีมีอาชีพใช้แรงงาน และชาวชนบท

สาเหตุ
เกิดจากมีการตีบตันของหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ (หลอดเลือดโคโรนารี) ทำให้เลือด
ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่พอ มักเป็นผลจากผนังหลอดเลือดแข็งเนื่องจากมีไขมันเกาะ ดังที่เรียกว่า
อะเทอโรสเคลอโรซิส (Atherosclerosis) ซึ่งอาจเป็นผลมาจากความเสื่อมของร่างกายตามวัย
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่อาจทำให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งเร็วขึ้น เช่น
ภาวะไขมันในเลือดสูง, การสูบบุหรี่จัด, โรคความดันโลหิตสูง , โรคเบาหวาน , โรคเกาต์ , ความอ้วน,
 การขาดการออกกำลังกาย เป็นต้น ผู้ป่วยบางรายอาจมีประวัติว่ามีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย

อาการ
ในรายที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะ จะมีอาการปวดเค้นคล้ายมีอะไรกดทับ หรือจุกแน่นที่ตรง
กลางหน้าอก หรือยอดอก ซึ่งมักจะเจ็บร้าวมาที่ไหล่ซ้าย ด้านในของแขนซ้าย บางคนอาจร้าวมาที่คอ
ขากรรไกร หลัง หรือแขนขวา
บางคนอาจรู้สึกจุกแน่นที่ใต้ลิ้นปี่ คล้ายอาการอาหารไม่ย่อย หรือท้องอืดเฟ้อ ผู้ป่วยมักมีอาการเวลา
ออกแรงมาก ๆ (เช่น ยกของหนัก เดินขึ้นที่สูง ออกกำลังแรง ๆ ทำงานหนัก ๆ แบบที่ไม่เคยทำมา
ก่อน)
มีอารมณ์โกรธ ตื่นเต้น ตกใจ เสียใจ หรือ จิตใจเคร่งเครียด ขณะร่วมเพศ หลังกินข้าวอิ่มจัด หรือเวลา
ถูกอากาศเย็น ๆ ผู้ป่วยที่มีภาวะโลหิตจางอย่างรุนแรง เป็นไข้ หรือหัวใจเต้นเร็ว (เช่น หลังกินกาแฟ
หรือผู้ป่วยที่เป็นโรคคอพอกเป็นพิษ) ก็อาจกระตุ้นให้เกิดอาการของโรคนี้ได้

อาการเจ็บหน้าอก มักจะเป็นอยู่นาน 2-3 นาที (มักไม่เกิน 10-15 นาที) แล้วหายไปเมื่อได้พัก หรือ
หยุดกระทำสิ่งที่เป็นสาเหตุชักนำ หรือหลังจากได้อมยาขยายหลอดเลือด (เช่น ไนโตรกลีเซอรีน) นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการใจสั่น เหนื่อยหอบ เหงื่อออก เวียนศรีษะ คลื่นไส้ร่วมด้วย ผู้ป่วยที่มี
ความรู้สึกเจ็บหน้าอกแบบแปล๊บ ๆ หรือ รู้สึกเจ็บเวลาก้ม หรือเอี้ยวตัว หรือรู้สึกเจ็บอยู่ตลอดเวลา
(เวลาออกกำลังกาย
หรือทำอะไรเพลินหายเจ็บ) มักไม่ใช่โรคหัวใจขาดเลือด

ในรายที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย จะมีอาการเจ็บหน้าอกในลักษณะเดียวกับโรคหัวใจขาดเลือด
ชั่วขณะ แต่จะเจ็บรุนแรงและนาน แม้จะได้นอนพักก็ไม่ทุเลา ผู้ป่วยจะรู้สึกอ่อนเพลีย ใจสั่น หน้ามืด
 วิงเวียน คลื่นไส้ อาเจียน ถ้าเป็นรุนแรง จะมีอาการหายใจหอบเหนื่อย เนื่องจากมีภาวะหัวใจวาย หรือเกิดภาวะช็อก (เหงื่อออก ตัวเย็น ชีพจรเต้นเบาและเร็ว ความดันเลือดตก) หรือชีพจรเต้นไม่
สม่ำเสมอ ผู้ป่วยอาจเป็นลมหมดสติ หรือตายในทันทีทันใด บางคนอาจมีประวัติว่า เคยมีอาการเจ็บ
หน้าอกเป็นพัก ๆ นำมาก่อน เป็นเวลาหลายสัปดาห์ บางคนอาจไม่มีอาการเจ็บหน้าอกมาก่อนเลยก็ได้

สิ่งตรวจพบ
ในรายที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะ อาจตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร ในบางรายอาจตรวจพบความดันโลหิตสูง ส่วนในรายที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย อาจตรวจพบ
ภาวะช็อก

การรักษา
1. หากสงสัย ควรแนะนำผู้ป่วยไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งจะตรวจคลื่นหัวใจ
(Electrocardiography/ECG/EKG), ตรวจเลือด, ตรวจปัสสาวะ, การเอกซเรย์หลอดเลือดหัวใจ
(coronary arteriography) หรือตรวจพิเศษอื่น ๆ และให้การรักษาโดยให้ยาขยายหลอดเลือดที่ไป
เลี้ยงหัวใจ ได้แก่ ไนโตรกลีเซอรีน (Nitroglycerine) หรือไอโซซอร์ไบด์ (Isosorbide) อมใต้ลิ้น
ทันทีเมื่อมีอาการ ยานี้อาจทำให้เกิดอาการปวดศรีษะได้นอกจากนี้ อาจให้ยาขยายหลอดเลือดที่ไป
เลี้ยงหัวใจชนิดออกฤทธิ์นาน เช่น ไอโซซอร์ไบด์ (lsosorbide), เพอร์แซนทิน (Persantin),
เพอริเทรต (Peritrate) กินวันละ 2-4 ครั้ง ๆ ละ 1 เม็ด เพื่อป้องกันมิให้เกิดอาการ

บางครั้งอาจต้องให้ยาปิดกั้นบีตา (Beta-blockers) เช่น โพรพราโนลอล (Propranolol) กินวันละ 4
ครั้ง ๆ ละ 20-80 มก., ยาต้านแคลเซียม เช่น ไนเฟดิพีนชนิดออกฤทธิ์นาน 30-90 มก. วันละครั้ง
ให้แอสไพริน ขนาด 75-325 มก. วันละครั้ง เพื่อป้องกันมิให้เลือดจับเป็นลิ่มอุดตันหลอดเลือดหัวใจ
ถ้าผู้ป่วยมีโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น ภาวะไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ก็ต้องให้ยารักษา
โรคเหล่านี้ร่วมด้วย ในรายที่มีการตีบตันของหลอดเลือดโคโรนารีหลายแห่ง และกินยาไม่ได้ผล
อาจต้องทำการผ่าตัดเปิดทางระบาย (ทางเบี่ยง) ของหลอดเลือด (Coronary artery bypass 
grafting/CABG) หรือใช้บัลลูนชนิดพิเศษขยายหลอดเลือด (Percutaneous transluminal
coronary angioplasty/PTCA)
2. ถ้ามีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง มีภาวะหัวใจวาย ช็อก หรือหมดสติ ควรส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลด่วน
ถ้าเป็นไปได้ ควรฉีดยาระงับปวดอย่างแรง เช่น มอร์ฟีน (Morphine) ก่อนส่งโรงพยาบาลและให้
ออกซิเจน (ถ้ามี) มาระหว่างทางด้วย

ผู้ป่วยมักจะต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลประมาณ 2-4 สัปดาห์ หากไม่มีโรคแทรกซ้อนที่รุนแรง
ก็มีโอกาสหายได้ แต่มักจะต้องกินยาเป็นประจำ โดยให้ยาขยายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ และยา
ปิดกั้นบีตา ถ้ามีภาวะหัวใจวาย อาจให้ยาช่วยหัวใจทำงาน เช่น ลาน็อกซิน (Lanoxin) หรือ ไดจอกซิน
(Digoxin) กินวันละ 1/2 - 1 เม็ดเป็นประจำ (ยานี้ถ้าใช้เกินขนาด อาจทำให้ตาพร่าตาลาย คลื่นไส้
อาเจียน หัวใจหยุดเต้น หรือเต้นผิดจังหวะได้ ควรให้ใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น)

ข้อแนะนำ
1. โรคนี้มักเป็นเรื้อรัง และอาจมีอันตรายร้ายแรงเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ควรติดต่อรักษากับแพทย์เป็น
ประจำ และควรพกยาไนโตรกลีเซอรีน หรือไอโซซอร์ไบด์ชนิดอมใต้ลิ้น ติดตัวไว้ใช้เวลามีอาการ

2. สำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย เมื่อกลับจากโรงพยาบาลแล้ว ควรพักฟื้นที่บ้าน อีกสัก
ระยะหนึ่ง อย่าทำงานหนัก และงดการร่วมเพศเป็นเวลา 4-5 สัปดาห์  ผู้ป่วยสามารถเริ่มกลับไป
ทำงานได้หลังมีอาการ 8-12 สัปดาห์ แต่ห้ามทำงานที่ต้องใช้แรงมาก
ผู้ป่วยควรป้องกันมิให้
มีอาการกำเริบอีก โดยการกินยาตามแพทย์สั่งเป็นประจำ และปฏิบัติตัวดังในข้อ 7
 สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไม่มาก ก็อาจมีโอกาสหายขาด และมีชีวิตยืนยาวเช่นคนปกติได้ ส่วนในราย
ที่กำเริบใหม่ มักมีโรคอื่นแทรกซ้อนอยู่ก่อน หรือหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจมีการตีบตันจำนวนมาก

3. ผู้ที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดบางคนอาจไม่มีอาการเจ็บจุกหน้าอกชัดเจน แต่อาจรู้สึกคล้ายมีอาการ
ปวดเมื่อย ที่ขากรรไกร หรือหัวไหล่ ถ้าหากมีอาการกำเริบบ่อย และมีอายุมากหรือปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ (เช่น สูบบุหรี่จัด ความดันโลหิตสูง เป็นเบาหวาน อ้วน ฯลฯ) ก็ควรจะตรวจเช็กให้แน่ใจ

4. โรคนี้บางครั้ง อาจมีอาการจุกแน่นลิ้นปี่ เหมือนอาการอาหารไม่ย่อย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นหลัง
กินอาหารใหม่ ๆ อาจทำให้วินิจฉัยผิดได้ ดังนั้น ถ้าพบอาการจุกแน่นลิ้นปี่ในคนสูงอายุ หรือมีปัจจัย
เสี่ยงอื่น ๆก็ควรจะตรวจเช็กให้แน่ใจ ก่อนที่จะวินิจฉัยว่าเป็นเพียงอาการอาหารไม่ย่อย

5. การตรวจคลื่นหัวใจ มีความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคนี้ประมาณ 50-75% หมายความว่า ประมาณ
25-50% ของคนที่เป็นโรคนี้ อาจตรวจคลื่นหัวใจแล้ว บอกผลว่าปกติ เรียกว่า "ผลลบลวง" (false
negative) ก็ได้ ถ้ายังมีอาการเจ็บจุกหน้าอก เข้าลักษณะโรคหัวใจขาดเลือด ควรทำการตรวจพิเศษ
โดยวิธีอื่น เช่น การตรวจคลื่นหัวใจ โดยการวิ่งบนสายสะพาน หรือปั่นจักรยาน (Stress testing/
Excercise ECG) เป็นต้น และบางครั้ง อาจจำเป็นต้องให้การรักษา และปฏิบัติตัวแบบโรคหัวใจ
ขาดเลือด

6. บางคน อาจมีภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบโดยไม่ปรากฏอาการก็ได้ ดังนั้นผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคนี้

(มีประวัติโรคหัวใจขาดเลือดในครอบครัว, สูบบุหรี่จัด, เป็นความดันโลหิตสูง, เบาหวาน) ควรตรวจ
เช็กหัวใจ และอาจต้องให้การรักษาตามความเหมาะสมต่อไป

7.ข้อปฏิบัติตัว จะมีส่วนช่วยรักษาให้มีชีวิตยืนยาวได้เท่าหรือเกือบเท่าคนปกติ ควรแนะนำให้ผู้ป่วย
ปฏิบัติตัว ดังนี้
7.1 เลิกสูบบุหรี่ เด็ดขาด
7.2 ถ้าอ้วน ควรหาทางลดน้ำหนัก
7.3 อย่ากินอาหารที่มีไขมันสัตว์สูง โดยใช้น้ำมันจากพืชแทน ยกเว้นกะทิ
7.4 ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังที่หักโหม และควรเพิ่มขึ้นทีละน้ยอ ทางที่ดีควรขอคำแนะนำจากแพทย์เสียก่อนที่จะออกกำลังกายมาก ๆ การออกกำลังกายที่แนะนำ
ให้ทำกัน ได้แก่ การเดินเร็ว วิ่งเหยาะ ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ เป็นต้น 
7.5 หลีกเลี่ยงสิ่งที่จะกระตุ้นให้เกิดอาการโรคหัวใจกำเริบ เช่น
- อย่าทำงานหักโหมเกินไป 
- อย่ากินข้ามอิ่มเกินไป
- ระวังอย่าให้ท้องผูก โดยการดื่มน้ำมาก ๆ กินผลไม้ให้มาก ๆ และควรกินยาระบายเวลาท้องผูก
- ควรงดดื่มชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่ใส่กาเฟอีน
- หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ตื่นเต้นตกใจ หรือการกระทบกระเทือนทางจิตใจ และทำจิตใจให้เบิกบาน
อยู่เสมอ


การป้องกัน
โรคนี้สามารถป้องกันได้ โดยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ, ไม่สูบบุหรี่, ผ่อนคลายความเครียดด้วย
วิธีต่างๆ, ระวังอย่าให้อ้วน, ลดการกินอาหารที่มีไขมันสูง, รักษาภาวะไขมันในเลือดสูง, ความดัน
โลหิตสูง และเบาหวานให้อยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้ การกินแอสไพริน วันละ 75-325 มก. ก็มีส่วนใน
การป้องกันโรคนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในผู้ป่วยที่เป็นไขมันในเลือดสูง เบาหวาน และความดัน
โลหิตสูง

รายละเอียด
ป้องกันโรคหัวใจ ด้วยการออกกำลังกายเป็นประจำ


wpe3.jpg (6148 bytes)

 

 

 

 

 

เยื่อบุหัวใจอักเสบ หมายถึง การอักเสบของเยื่อบุผนังด้านในของหัวใจ (endocardium)  ถือเป็น
ภาวะร้ายแรง หากไม่ได้รับการรักษา อาจตายได้รวดเร็ว โรคนี้พบมากในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก

สาเหตุ
เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ที่พบบ่อยได้แก่ สเตรปโตค็อกคัส และสแตฟฟีโลค็อกคัส ผู้ป่วยมักจะมี
ความพิการของลิ้นหัวใจอยู่ก่อน เช่น ลิ้นหัวใจพิการจากโรคหัวใจรูมาติก  หรือลิ้นหัวใจพิการแต่
กำเนิด เป็นต้น เมื่อร่างกายมีการติดเชื้อ เช่น เชื้อเข้าร่างกายขณะถอนฟัน เป็นโรคเหงือกอักเสบ
ทำแท้ง ฉีดเฮโรอีน (ด้วยเข็มไม่สะอาด) หรือติดเชื้อจากการผ่าตัด เป็นต้น เชื้อโรคก็จะผ่านกระแส
เลือดเข้าไป ทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุหัวใจและลิ้นหัวใจ ในที่สุดเชื้อโรคก็จะแพร่กระจายไป
ทั่วร่างกาย

อาการ
มีไข้สูง หนาวสั่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและตามข้อ และอาจมี
อาการเลือดออก เช่น มีเลือดกำเดาไหล หรือมีจุดแดงจ้ำเขียวขึ้นตามตัวผู้ป่วยมักมีอาการซีด 
(โลหิตจาง) ซึ่งจะเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเป็นรุนแรง อาจมีภาวะหัวใจวาย , อัมพาตครึ่งซึก , ภาวะ
ไตวาย ร่วมด้วย
ในรายที่เป็นชนิดเฉียบพลัน (Acute bacterial endocarditis) ผู้ป่วยมีอาการเกิดขึ้นรวดเร็ว และ
มีความรุนแรงแทรกซ้อนขึ้นรวดเร็ว มักเกิดจากการติดเชื้อสแตฟฟีโลค็อกคัส มักไม่มีประวัติความ
พิการของลิ้นหัวใจมาก่อน ในรายที่เป็นชนิดเรื้อรัง (Subacute bacterial endocarditis) ผู้ป่วย
มักมีอาการค่อยเป็นค่อยไปอย่างเรื้อรัง บางคนอาจมีไข้นานเป็นแรมเดือน ซีด และผ่ายผอมลงเรื่อย ๆ
มักเกิดจากเชื้อสเตรปโตค็อกคัส ซึ่งมีความรุนแรงน้อยกว่าเชื้อสแตฟฟีโลค็อกคัส

สิ่งตรวจพบ
ไข้สูง ซีด มีจุดแดง (จุดเลือดออกขนาดเท่าเข็มหมุด) ขึ้นตามผิวหนัง เยื่อบุตา กระพุ้งแก้ม และที่
ใต้เล็บหัวใจเต้นเร็ว ม้ามโต ใช้เครื่องฟังตรวจ มักได้ยินเสียงฟู่ (murmur) ของหัวใจ

อาการแทรกซ้อน
อาจทำให้มีภาวะโลหิตจาง เลือดออกง่าย หัวใจวาย ไตวาย อัมพาต โลหิตเป็นพิษ

การรักษา
หากสงสัย ควรส่งโรงพยาบาลภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อทำการเจาะเลือดส่งเพาะเชื้อ (hemoculture)
ตรวจเอกซเรย์ ตรวจคลื่นหัวใจ หรือตรวจพิเศษอื่น ๆ แล้วให้ยาปฏิชีวนะตามชนิดของเชื้อที่พบ ส่วน
มากจะให้เพนิซิลลิน ชนิดฉีดในขนาดสูง ๆ นาน 4-8 สัปดาห์ และรักษาภาวะแทรกซ้อนที่พบร่วม
เช่น ภาวะหัวใจวาย ภาวะไตวาย อัมพาต โลหิตจาง เป็นต้น

การป้องกัน
ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด หรือโรคหัวใจรูมาติก เคยผ่าตัดลิ้น ใส่หัวใจเทียม หรือเคยเป็น
โรคนี้มาก่อน ก่อนจะถอนฟันหรือให้แพทย์ตรวจรักษา โดยการสอดใส่เครื่องมือ และสายสวนในทาง
เดินหายใจ หรือทางเดินปัสสาวะ แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันมิให้เกิดโรคเยื่อบุหัวใจอักเสบ
แทรกซ้อน ดังนี้
1. ในกรณีถอนฟัน หรือสอดใส่เครื่องมือในทางเดินหายใจ จะให้อะม็อกซีซิลลิน  ขนาด 50 มก.ต่อ
น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (ผู้ใหญ่ 3 กรัม) ก่อนทำ 1 ชั่วโมง และหลังจากนั้นอีก 6 ชั่วโมงให้อีก 1 ครั้ง
โดยลดขนาดยาเหลือครึ่งหนึ่ง, หรือให้อีริโทรไมซิน  ขนาด 20 มก.ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม 
(ผู้ใหญ่ 1 กรัม) ก่อนทำ 2 ชั่วโมง และหลังจากนั้นอีก 6 ชั่วโมงให้อีก 1 ครั้ง โดยลดขนาดลงเหลือ
ครึ่งหนึ่ง
2. ในกรณีสอดใส่เครื่องมือหรือสายสวนในทางเดินปัสสาวะ ให้อะม็อกซีซิลลินตามขนาดในข้อ 1
ร่วมกับฉีดเจนตาไมซินเข้ากล้ามหรือหลอดเลือดดำ ขนาด 1.5 มก.ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมก่อนทำ
30 นา
ทีและอีก 8 ชั่วโมงต่อมาฉีดซ้ำอีก 1 ครั้ง

wpe3.jpg (6148 bytes)

 

 

 

 

ธาตุเหล็ก เป็นองค์ประกอบสำคัญอันหนึ่งของการสร้างเม็ดเลือดแดง ถ้าร่างกายขาดธาตุเหล็กก็จะ
สร้างเม็ดเลือดแดงได้น้อยกว่าที่ร่างกายต้องการ ทำให้เกิดภาวะเลือดจาง เรียกว่า โลหิตจางจาก
ภาวะขาดธาตุเหล็ก โรคนี้พบเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ ของภาวะโลหิตจางในบ้านเรา พบได้ในคนทุกวัย
โดยเฉพาะพบมากในชาวชนบท และคนยากจน

สาเหตุ
เกิดจากการได้รับสารอาหาร (รวมทั้งธาตุเหล็ก) ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เช่น กิน
เนื้อสัตว์ ตับ นม ไข่ ผักใบเขียว น้อยเกินไป ซึ่งอาหารเหล่านี้ล้วนมีธาตุเหล็กมาก จึงทำให้ร่างกาย
ขาดธาตุเหล็ก
นอกจากนี้คนที่เบื่ออาหารจากการเจ็บปวดเรื้อรังด้วยโรคอื่น ๆ หรือ ผู้ที่กินมังสวิรัติอย่างเคร่งครัด
หรือผู้สูงอายุที่กินอาหารได้น้อย หรือไม่ครบส่วน ก็อาจได้รับธาตุเหล็กน้อยเกินไ
การเสียเหล็กออก
ไปกับเลือด เช่น มีประจำเดือนออกมาก ตกเลือดเนื่องจากแท้งบุตร หรือคลอดบุตร เลือดออกจาก
แผลในกระเพาะอาหาร หรือริดสีดวงทวาร เป็นโรคพยาธิปากขอ เป็นต้น ก็ทำให้ร่างกายขาดธาตุ
เหล็กได้ ตามปกติหญิงตั้งครรภ์ จะมีความต้องการเหล็กเพิ่มขึ้นกว่าคนปกติ เพื่อนำไปใช้ในการ
เจริญเติบโตของทารกในครรภ์ ถ้าไม่ได้กินธาตุเหล็กเพิ่มขึ้น ก็มักจะเกิดภาวะโลหิตจางได้

อาการ
ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ใจสั่น มึนงงหน้ามืด วิงเวียน และมักมีอาการเบื่ออาหาร
ร่วมด้วย (ยิ่งเบื่ออาหาร ก็ยิ่งทำให้ขาดธาตุเหล็ก และทำให้ภาวะโลหิตจางยิ่งรุนแรงขึ้น)

สิ่งตรวจพบ
การตรวจร่างกายจะพบผู้ป่วยมีอาการซีดขาวของใบหน้า เยื่อบุเปลือกตา ริมฝีปาก ลิ้น ฝ่ามือและเล็บ
ถ้าเป็นเรื้อรังอาจมีอาการลิ้นมันเลี่ยน มุมปากเปื่อย เล็บมีลักษณะอ่อนและแบน หรือเล็บเงยขึ้นมีแอ่ง
ตรงกลางคล้ายช้อน เรียกว่า เล็บรูปช้อน หรือ คอยโลนีเคีย (Koilonychia)

อาการแทรกซ้อน
ส่วนใหญ่ไม่มีอาการแทรกซ้อนที่ร้ายแรง นอกจากทำให้อ่อนเพลียเหนื่อยง่าย ทำงานไม่ได้เต็มที่อาจ
ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ภูมิต้านทานน้อย ถ้าเกิดการเจ็บป่วย หรือมีบาดแผล ก็มักจะฟื้นหายได้ช้า   ใน
ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจอยู่เดิม ถ้าหากมีภาวะโลหิตจางรุนแรง อาจทำให้เป็นโรคหัวใจขาดเลือด หรือ
ภาวะหัวใจวาย ได้

การรักษา
1. เมื่อแน่ใจว่าผู้ป่วยไม่ได้ซีดจากสาเหตุที่ร้ายแรง (ดูแผนภูมิที่ 8) ให้รักษาด้วยยาบำรุงโลหิต  เช่น 
เฟอร์รัสซัลเฟต หรือเฟอร์โซเลต วันละ 2-3 เม็ดเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ พอเริ่มดีขึ้นผู้ป่วยจะกินข้าว
ได้ดีขึ้น(เบื่ออาหารน้อยลง) หน้าตามีเลือดฝาดดีขึ้น (ซีดน้อยลง) และมีเรี่ยวแรงมากขึ้น ควรให้ยา
ต่ออีก 1-2 เดือน ถ้ามีสาเหตุชัดเจน ให้รักษาสาเหตุที่เป็นร่วมไปด้วย เช่น รักษาโรคกระเพาะ/แผล
เพ็ปติก  หรือโรคพยาธิปากขอ  
2. ถ้าอาการซีดไม่ดีขึ้น ใน 2 สัปดาห์ หรือสงสัยว่ามีสาเหตุที่ร้ายแรง ควรแนะนำไปโรงพยาบาล เพื่อ
ตรวจหาสาเหตุ (ตรวจเลือด ปัสสาวะ อุจจาระ เอกซเรย์ หรืออื่น ๆ) และให้การรักษาตามสาเหตุ


ข้อแนะนำ
ผู้ป่วยที่มีอาการซีด (โลหิตจาง) ถ้าไม่มีอาการตับโต ม้ามโต และไม่มีประวัติซีดเหลืองมาตั้งแต่เกิด
ที่ชวนสงสัยว่าเป็นทาลัสซีเมีย  อาจให้การรักษาเบื้องต้นด้วยยาบำรุงโลหิต สัก 1-2 สัปดาห์ ถ้าอาการ
ดีขึ้นก็แสดงว่าเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก

การป้องกัน
โรคโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก สามารถป้องกันได้ ด้วยการกินอาหารที่มีธาตุเหล็กมาก เช่น
เนื้อสัตว์ ตับหมู ตับวัว เลือดหมู นม ไข่ ถั่ว ผักใบเขียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์และทารก
ควรบำรุงอาหารเหล่านี้ให้มาก หรือให้กินยาบำรุงโลหิตเสริม

รายละเอียดเสริม
รักษาโรคโลหิตจางด้วยยาเข้าเหล็ก

 

wpe3.jpg (6148 bytes)

 

wpe5.jpg (2190 bytes)
ThaiL
ThaiL
@bOnLine - Crystal Diagnostics
Email : vichai-cd@usa.net