| |
TOP


ลักษณะทั่วไป
ซิฟิลิส
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้มากกว่า
โรคติดต่อ
ทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น ๆ
และมีระยะแฝงตัวของโรคที่ค่อนข้างยาวนาน
ซึ่งสามารถแพร่ให้คู่สมรส
และบุตรได้ พบได้ประมาณ 10-15%
ของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั้งหมด
สาเหตุ
เกิดจาก เชื้อซิฟิลิส
ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่มีชื่อว่า
เทรโพนีมาพัลลิดัม (Treponema pallidum)
ติดต่อ
โดยการร่วมเพศ
เชื้อจะเข้าทางรอยถลอกหรือบาดแผลเล็กน้อย
หรืออาจไชเข้าเยื่อบุผิวของท่อปัสสาวะ
ทวารหนัก ช่องคลอด หรือ ช่องปาก
อาการ
โรคนี้แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 เป็นแผล
หลังจากติดเชื้อประมาณ 10-90 วัน
จะมีตุ่มเล็ก ๆ
เท่าหัวเข็มหมุดเกิดขึ้นที่อวัยวะ
เพศ (อาจเกิดขึ้นที่หัวหน่าว
ขาหนีบ ทวาร หรือ ริมฝีปาก ก็ได้
สุดแล้วแต่ว่าตำแหน่งที่เชื้อเข้า)
ซึ่งต่อ
มาจะแตก แล้วกลายเป็นแผลกว้าง
ขอบแผลเรียบและแข็ง เรียกว่า
แผลริมแข็ง (Chancre) มักมีแผล
เดียว รูปกลม หรือวงไข่ อาจมี 2
แผล ซึ่งจะชนชิดกัน
แผลไม่เจ็บไม่คัน พื้นแผลสีแดง
และดูสะอาด
ประมาณ 1 สัปดาห์ หลังมีตุ่มขึ้น
จะพบต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโตทั้ง
2 ข้าง มีลักษณะแข็ง แยกจาก
กัน
และสีของผิวหนังบริเวณต่อมน้ำเหลืองไม่เปลี่ยนเป็นสีคล้ำ
ไม่เจ็บ แม้ไม่ได้รักษา
แผลอาจหาย
ได้เอง ใน 3-10 สัปดาห์
แต่เชื้อยังคงอยู่ในร่างกาย
การเจาะเลือดหาวีดีอาร์แอล
จะพบเลือดบวกหลัง
จากมีแผล 1-2 สัปดาห์
ระยะที่ 2 เข้าข้อ ออกดอก
พบหลังระยะแรก ประมาณ 4-8 สัปดาห์
(อาจเกิดหลังมีแผลเพียง 2-3 วัน
หรือนานหลายเดือน
ก็ได้) เชื้อจะเข้าต่อมน้ำเหลือง
และอยู่ในเลือด
กระจายไปทั่วร่างกาย
มีผื่นขึ้นทั้งตัว และที่ฝ่ามือ
ฝ่า
เท้าด้วย
(ซึ่งต่างจากผื่นของโรคอื่น ๆ
ที่มักไม่ขึ้นที่ฝ่ามือฝ่าเท้า)
ผื่นเหล่านี้จะไม่คัน
ซึ่งเรียกกันว่า
"ออกดอก"
นอกจากนี้ยังอาจพบอาการอื่น ๆ
ร่วมด้วย เช่น มีไข้ต่ำ ๆ
เป็นครั้งคราว ปวดศีรษะ
อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
น้ำหนักลด เจ็บคอ เสียงแหบ
ปวดหลัง ปวดตามกระดูก
ต่อมน้ำเหลืองโต ผม
ร่วงทั่วศรีษะ หรือเป็นหย่อม
ในระยะนี้
ถ้าตรวจเลือดหาวีดีอาร์แอลจะพบเลือดบวก
ผื่นและอาการ
ต่าง ๆ
จะหายได้เองแม้ไม่ได้รักษา
แต่เชื้อจะแฝงตัวเป็นปี ๆ
(อาจเป็น 5 ปี 10 ปี)
แล้วก็เข้าสู่ระยะที่ 3
ระยะที่ 3 ระยะทำลาย
เกิดจากผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษา
หรือรักษาไม่ถูกวิธี เช่น
ซื้อยากินเอง ทำให้เข้า
สู่ระยะร้ายแรงของโรค
อาจทำให้ตาบอด หูหนวก
สติปัญญาเสื่อม
เชื้ออาจเข้าสู่สมองและไขสันหลัง
ทำให้เป็นอัมพาต
และอาจเสียสติได้
เชื้ออาจเข้าสู่หัวใจ
ทำให้เป็นโรคหัวใจรั่ว
หลอดเลือดแดงใหญ่
อักเสบ หรือโป่งพอง
ผู้ที่เป็นซิฟิลิส
อาจไม่มีแผลให้เห็นในระยะที่ 1
หรือ มีอาการเข้าข้อ ออกดอกใน
ระยที่ 2
แต่จะเข้าไปแฝงตัวอยู่ในร่างกาย
รอเข้าสู่ระยะที่ 3 เลยก็ได้
ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์
ถ้าติดเชื้อซิฟิลิส
(อาจเป็นโดยไม่รู้ตัว
หรือไม่มีอาการแสดงชัดเจน)
แล้วไม่ได้รับการ
รักษา เชื้ออาจถ่ายทอด
ไปยังทารกในครรภ์
โดยผ่านเข้าไปทางรก
ทำให้ทารกตายในครรภ์ หรือตาย
หลังคลอด
หรือไม่ก็อาจเกิดความพิการไปตลอดชีวิต
เราเรียกซิฟิลิสที่เกิดในทารกในลักษณะนี้ว่า
"ซิฟิลิสโดยกำเนิด (Congenital syphilis)"
ซึ่งจะมีอาการแสดงภายใน 6
สัปดาห์หลังคลอด โดย
เด็กจะมีอาการเป็นหวัด คัดจมูก
น้ำมูก เป็นหนอง
หรือช้ำเลือดช้ำหนอง มีผื่นขึ้น
หนังลอก
น่าเกลียด ซีด เหลือง บวม ตับโต
ม้ามโต
และถ้าไม่ได้รับการรักษาเด็กจะมีความพิการต่าง
ๆ เกิดขึ้น
เช่น จมูกบี้หรือยุบ
(พูดไม่ชัด), เพดานโหว่,
กระจกตาอักเสบ
(อาจกลายเป็นแผลที่กระจกตา ตาบอด
ได้) ,หูหนวก, ฟันพิการ,
หน้าตาพิการ เป็นต้น
การรักษา
หากสงสัย ควรส่งโรงพยาบาล
หรือศูนย์ควบคุมกามโรค
เพื่อตรวจเลือดหาวีดีอาร์แอล
(เลือดบวก)
ตรวจเชื้อจากน้ำเหลืองที่แผล
หรือตรวจพิเศษอื่น ๆ
การรักษา
1. สำหรับซิฟิลิสในระยะที่ 1 และ 2
ฉีดเบนซาทีนเพนิซิลลินขนาด 2.4
ล้านยูนิต เข้ากล้ามเพียงครั้ง
เดียว (สำหรับระยะที่ 2
แพทย์บางคนอาจให้ฉีดซ้ำอีกครั้งในอีก
1 สัปดาห์ต่อมา) ถ้าแพ้ยานี้
อาจให้
เตตราไซคลีน ครั้งละ 500
มิลลิกรัม (2 แคปซูล) วันละ 4 ครั้ง
หรือ ดอกซีไซคลีน ครั้งละ 100 มก.
วันละ 2 ครั้ง นาน 15 วัน
ถ้ากินเตตราไซคลีนไม่ได้
ให้ใช้อีริโทรไมซิน
แทนขนาดเดียวกัน นาน 15 วัน
2. สำหรับซิฟิลิสในระยะแฝง
(เป็นมานานกว่า 2 ปี
ตั้งแต่เริ่มเป็นแผลริมแข็ง)
หรือแผลซิฟิลิสเรื้อรัง
หรือซิฟิลิสเข้าสู่ระบบหัวใจและหลอดเลือด
(cardiovascular syphilis)
ฉีดเบนซาทีนเพนนิซิลลินครั้งละ
2.4 ล้านยูนิต เข้ากล้าม
เป็นจำนวน 3 ครั้ง ห่างกันทุก 1
สัปดาห์ ถ้าแพ้ยานี้
ให้เตตราไซคลีน ดอกซี
ไซคลีน
หรืออีริโทรไมซินในขนาดดังกล่าวข้างต้น
นาน 30 วัน
3. ในรายที่มีเชื้อเข้าระบบประสาท
(neurosyphilis)
รักษาโดยการฉีดเพนิซิลลินจี 2-4
ล้านยูนิต เข้า
หลอดเลือดดำ ทุก 4 ชั่วโมง นาน 14
วัน ถ้าแพ้ยานี้ ให้ดอกซีไซคลีน
กินครั้งละ 200 มก. วันละ 2 ครั้ง
นาน 30 วัน
4. สำหรับหญิงตั้งครรภ์
ให้รักษาตามระยะของโรคเหมือนผู้ป่วยทั่วไป
ถ้าแพ้เพนิซิลลิน
ให้อีริโทรไมซิน
กินครั้งละ 500 มก.วันละ 4 ครั้ง นาน
30 วัน
5. ซิฟิลิสแต่กำเนิด
ฉีดเพนิซิลลินจี 50,000
ยูนิตต่อน้ำหนักตัว 1
กิโลกรัมต่อวัน แบ่งให้ 2 ครั้ง
นาน
10 วัน
ข้อแนะนำ
1. หลังการรักษา
ควรตรวจเลือดหาวีดีอาร์แอล
เดือนละครั้งใน 3 เดือนแรก
ต่อไปตรวจทุก 3 เดือน
จนครบ 2 ปี
เพื่อให้แน่ใจว่าโรคหายขาด
โดยทั่วไป
ผลเลือดจะเป็นปกติภายใน 2 ปี
แต่ถ้ายังมีเลือด
บวกอยู่เกิน 2 ปี ควรตรวจ
น้ำไขสันหลัง
ควรตรวจหาเชื้อเอชไอวี พร้อม ๆ
กันไปด้วย
2. การวิจฉัยซิฟิลิส
ต้องอาศัยการตรวจ วีดีอาร์แอล
(เลือดบวก) เป็นสำคัญ
จะดูจากอาการเพียงอย่าง
เดียวไม่ได้ ดังนั้น
ผู้ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ไม่ว่าชนิดใดก็ตาม
ควรตรวจเลือดทุกราย
เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นซิฟิลิส
หรือถ้าเป็นจะได้ให้การรักษา
ตั้งแต่ระยะแรกก่อนที่
จะเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงตามมา
3. ผู้หญิงบางคน
อาจติดเชื้อซิฟิลิสจากสามีที่ชอบเที่ยว
โดยไม่มีอาการแสดงให้ทราบ
และอาจติดให้
ลูกในครรภ์ได้
เช่นเดียวกับการติดเชื้อเอชไอวี
ดังนั้น ในการฝากครรภ์
ควรเจาะเลือดเพื่อตรวจหา
วีดีอาร์แอล และควรตรวจหาเชื้อเอชไอวีพร้อม ๆ
กันไปทุกราย
ถ้าเลือดบวกต้องแนะนำไปรักษาที่
โรงพยาบาล
เพื่อป้องกันมิให้แพร่เชื้อให้ทารกในครรภ์
การป้องกัน
1.
ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับการป้องกันหนองใน
2.
ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วยซิฟิลิสในระยะ
3 เดือนแรก
ควรได้รับการรักษาแบบซิฟิลิสระยะแรก

ลักษณะทั่วไป
แผลริมอ่อน (ซิฟิลิสเทียม
ก็เรียก) พบได้ประมาณ 2-5%
ของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั้งหมด
สาเหตุ
เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง
ที่มีชื่อว่า ฮีโมฟิลุสดูเครย์
(Hemophilus ducreyi)
อาการ
หลังได้รับเชื้อ 2-7 วัน
จะมีแผลเล็ก ๆ ที่ปลายอวัยวะเพศ
ลักษณะคล้ายแผลเปื่อย
ขอบไม่แข็งและ
ไม่เรียบ เรียกว่า แผลริมอ่อน
เวลาแตะถูกมักมีเลือดซิบ ๆ
และรู้สึกเจ็บ มักมีหลายแผล
ต่อมาจะพบ
ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบบวมโตติดกันเป็นพืดและเจ็บ
ลักษณะเป็นสีแดงคล้ำและนุ่ม
อาจแตกเป็น
หนองได้
ส่วนมากโตเพียงข้างเดียว
บางคนอาจมีไข้ หนาวสั่น
เบื่ออาหารร่วมด้วย
ถ้าไม่ได้รับการ
รักษาที่ถูกต้อง
แผลจะลุกลามไปมาก
บางคนอาจเป็นมากจนอวัยวะเพศแหว่งหายได้
คนไทยเรา
เรียกว่า โรคฮวบ
อาการแทรกซ้อน
อาจทำให้เป็นแผลดึงรั้งจนเกิดภาวะหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชายไม่เปิด
ในรายที่เป็นรุนแรง
อาจทำให้อวัยวะแหว่งหาย (โรคฮวบ)
การรักษา
1. ให้อีริโทรไมซิน ครั้งละ 500
มิลลิกรัม (2 แคปซูล) วันละ 4 ครั้ง
นาน 7 วันหรือให้โคไตรม็อกซาโซล
ครั้งละ 2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง นาน 7
วัน
2. ถ้าอาการไม่ดีขึ้น
ควรส่งโรงพยาบาลหรือศูนย์ควบคุมกามโรค
เพื่อทำการย้อมหาเชื้อจาก
หนองที่
แผล ถ้าเป็นแผลริมอ่อน
ก็ให้การรักษา ด้วยยาขนานใด
ขนาดหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- โอฟล็อกซาซิน 400 มก. กินครั้งเดียว
- ไซโพรฟล็อกซาซิน 500 มก.
กินครั้งเดียว
- เซฟทริอะโซน 250 มก.
ฉีดเข้ากล้ามครั้งเดียว
ข้อแนะนำ
1.
โรคนี้บางครั้งอาจแยกออกจากซิฟิลิส
ไม่ชัดเจน
ถ้ารักษาแล้วไม่ดีขึ้นหรือสงสัยเป็นซิฟิลิส
ควร
แนะนำผู้ป่วยไปโรงพยาบาล
2. แม้ว่าอาการจะหายดีแล้ว
ผู้ป่วยก็ควรเจาะเลือดตรวจวีดีอาร์แอล
และเชื้อเอชไอวี
เพื่อให้แน่ใจว่า
ไม่ได้เป็นซิฟิลิส
หรือติดเชื้อเอชไอวีร่วมด้วย
3.
ควรรักษาแผลเฉพาะที่โดยใช้น้ำเกลือชะล้าง
ไม่ต้องใส่ยาอะไรทั้งสิ้น
ไม่ควรใช้เพนิซิลลิน หรือ
ซัลฟา ใส่แผล
เพราะอาจทำให้แพ้ได้ง่าย
การป้องกัน
ปฏิบัติเช่นเดียวกับการป้องกันโรคหนองใน
และควรฟอกล้างด้วยสบู่หลังการร่วมเพศทันที

ลักษณะทั่วไป
ฝีมะม่วง พบได้ประมาณ
2-5%
ของผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั้งหมด
สาเหตุ
เกิดจาก
เชื้อคลามีเดียทราโคมาติส
ติดต่อโดยการร่วมเพศหรือ
สัมผัสถูกหนองของฝีมะม่วงโดยตรง
ระยะฟักตัว 3-30 ตัว (เฉลี่ย 1-2
สัปดาห์)
อาการ
เริ่มแรกจะมีตุ่มนูน ตุ่มใส
หรือแผลขนาดเล็กเกิดขึ้นที่อวัยวะเพศ
และหายไปเองภายใน 2-3 วัน โดยที่
ผู้ป่วยไม่ทันได้สังเกตพบ
ต่อมาต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบจะบวมโต
ติดกันเป็นก้อนฝีขนาดใหญ่ และ
เจ็บ
มาก ตรงกลางเป็นร่องของพังผืด
คล้ายร่องของมะม่วงอกร่อง
จึงเรียกว่า "ฝีมะม่วง"
ซึ่งอาจเป็นเพียง
ข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้
ผิวหนังบริเวณที่เป็นฝีจะมีอาการอักเสบ
มีลักษณะบวมแดงร้อนร่วมด้วย
บางคนอาจปวดฝีมากจนเดินไม่ถนัด
บางคนอาจมีอาการไข้ ปวดศีรษะ
อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
ปวดข้อ ตาอักเสบ
ผื่นขึ้นตามตัว
ฝีมะม่วงมักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
เพราะในผู้หญิงน้ำเหลือง
จากอวัยวะสืบพันธุ์
จะระบายไปที่ต่อมน้ำเหลืองในช่องเชิงกรานมากกว่ามาที่ขาหนีบถ้าไม่ได้รักษา
ฝีอาจยุบหายได้เองภายใน 2-3
สัปดาห์ หรือเป็นเดือน
แต่บางรายฝีอาจแตกเป็นรู หลายรู
และมีหนอง
ไหล กลายเป็นแผลเรื้อรัง
โรคนี้อาจลุกลาม
ทำให้มีการอักเสบของช่องทวารหนักจนตีบตัน
ถ่ายอุจจาระไม่ออก มักพบใน
ผู้หญิง
มากกว่าผู้ชาย
อาการแทรกซ้อน
อาจทำให้มีการอุดกั้นของทางเดินน้ำเหลือง
ในบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์
ทำให้อวัยวะสืบพันธุ์ ภายนอกมี
อาการบวมได้ (เช่น
ปากช่องคลอดบวม อัณฑะบวม)
บางคนอาจเกิดแผลเป็นขนาดใหญ่
ที่สำคัญ คือ
การตีบตันของช่องทวารหนัก
ซึ่งอาจต้องแก้ไขด้วย
การผ่าตัด
การรักษา
1. ให้ยาแก้ปวด
ใช้น้ำอุ่นจัด ๆ ประคบ
และให้ยาปฏิชีวนะ เช่น
เตตราไซคลีน หรืออีริโทรไมซิน
ครั้งละ 500 มก. วันละ 4 ครั้ง
หรือดอกซีไซคลีน ครั้งละ 100 มก.
วันละ 2 ครั้ง ควรกินยาติดต่อกัน
นาน 14 วัน
2. ถ้าฝีไม่ยุบและมีลักษณะนุ่ม
ควรใช้เข็มเบอร์ 16-18
ต่อเข้ากับกระบอกฉีดยา
แล้วเจาะดูดเอาหนอง
ออก ไม่ควรผ่า
เพราะจะทำให้แผลหายช้า
และอาจทำให้
มีการอุดกั้นของทางเดินน้ำเหลืองในบริเวณ
นั้นได้
ข้อแนะนำ
1.
ควรตรวจเลือดหาวิดีอาร์แอลและเชื้อเอชไอวี
เช่นเดียวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น
2. ความเชื่อเกี่ยวกับของแสลง
ให้ปฎิบัติเช่นเดียวกับโรคหนองใน
การป้องกัน
ปฏิบัติเช่นเดียวกับ แผลริมอ่อน
ระยะฟักตัว 3-30 ตัว (เฉลี่ย 1-2
สัปดาห์)
อาการ
เริ่มแรกจะมีตุ่มนูน ตุ่มใส
หรือแผลขนาดเล็กเกิดขึ้นที่อวัยวะเพศ
และหายไปเองภายใน 2-3 วัน โดยที่
ผู้ป่วยไม่ทันได้สังเกตพบ
ต่อมาต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบจะบวมโต
ติดกันเป็นก้อนฝีขนาดใหญ่ และ
เจ็บ
มาก ตรงกลางเป็นร่องของพังผืด
คล้ายร่องของมะม่วงอกร่อง
จึงเรียกว่า "ฝีมะม่วง"
ซึ่งอาจเป็นเพียง
ข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้
ผิวหนังบริเวณที่เป็นฝีจะมีอาการอักเสบ
มีลักษณะบวมแดงร้อนร่วมด้วย
บางคนอาจปวดฝีมากจนเดินไม่ถนัด
บางคนอาจมีอาการไข้ ปวดศีรษะ
อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
ปวดข้อ ตาอักเสบ
ผื่นขึ้นตามตัว
ฝีมะม่วงมักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
เพราะในผู้หญิงน้ำเหลือง
จากอวัยวะสืบพันธุ์
จะระบายไปที่ต่อมน้ำเหลืองในช่องเชิงกรานมากกว่ามาที่ขาหนีบถ้าไม่ได้รักษา
ฝีอาจยุบหายได้เองภายใน 2-3
สัปดาห์ หรือเป็นเดือน
แต่บางรายฝีอาจแตกเป็นรู หลายรู
และมีหนอง
ไหล กลายเป็นแผลเรื้อรัง
โรคนี้อาจลุกลาม
ทำให้มีการอักเสบของช่องทวารหนักจนตีบตัน
ถ่ายอุจจาระไม่ออก มักพบใน
ผู้หญิง
มากกว่าผู้ชาย
อาการแทรกซ้อน
อาจทำให้มีการอุดกั้นของทางเดินน้ำเหลือง
ในบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์
ทำให้อวัยวะสืบพันธุ์ ภายนอกมี
อาการบวมได้ (เช่น
ปากช่องคลอดบวม อัณฑะบวม)
บางคนอาจเกิดแผลเป็นขนาดใหญ่
ที่สำคัญ คือ
การตีบตันของช่องทวารหนัก
ซึ่งอาจต้องแก้ไขด้วย
การผ่าตัด
การรักษา
1. ให้ยาแก้ปวด
ใช้น้ำอุ่นจัด ๆ ประคบ
และให้ยาปฏิชีวนะ เช่น
เตตราไซคลีน หรืออีริโทรไมซิน
ครั้งละ 500 มก. วันละ 4 ครั้ง
หรือดอกซีไซคลีน ครั้งละ 100 มก.
วันละ 2 ครั้ง ควรกินยาติดต่อกัน
นาน 14 วัน
2. ถ้าฝีไม่ยุบและมีลักษณะนุ่ม
ควรใช้เข็มเบอร์ 16-18
ต่อเข้ากับกระบอกฉีดยา
แล้วเจาะดูดเอาหนอง
ออก ไม่ควรผ่า
เพราะจะทำให้แผลหายช้า
และอาจทำให้
มีการอุดกั้นของทางเดินน้ำเหลืองในบริเวณ
นั้นได้
ข้อแนะนำ
1.
ควรตรวจเลือดหาวิดีอาร์แอลและเชื้อเอชไอวี
เช่นเดียวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น
2. ความเชื่อเกี่ยวกับของแสลง
ให้ปฎิบัติเช่นเดียวกับโรคหนองใน
การป้องกัน
ปฏิบัติเช่นเดียวกับ แผลริมอ่อน

ลักษณะทั่วไป
หนองใน (โกโนเรีย ก็เรียก)
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
(กามโรค)
ที่พบได้มากเป็นอันดับแรกสุด
คือพบได้ประมาณ 40%-50%
ของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
พบมากในหญิงโสเภณี และผู้ชายที่
ชอบเที่ยวกลางคืน
สาเหตุ
เกิดจากการติดเชื้อหนองใน
หรือจีซี ซึ่งเป็นแบคทีเรีย
ที่มีชื่อว่า โกโนค็อกคัส
(Gonococcus/Neisseria
gonorrheae) ติดต่อโดยทางเพศสัมพันธ์
ระยะฟักตัว 2-10 วัน (โดยทั่วไป ภายใน
5 วัน)
อาการ
ในผู้ชาย หลังจากได้รับเชื้อ
(หลังเที่ยว) ประมาณ 2-10 วัน
จะมีอาการแสบในลำกล้องเวลาถ่ายปัสสาวะ
หรือถ่ายปัสสาวะขัด
และมีหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะ
ในระยะแรกอาจไหลซึมเป็นมูกใส ๆ
เล็กน้อย
ภายใน 12 ชั่วโมง
ต่อมาจะกลายเป็นหนอง (สีเหลือง)
ข้น
และออกมากคล้ายเส้นก๋วยเตี๋ยว
ประมาณ
10% ของผู้ชายที่ติดเชื้อหนองใน
อาจไม่มีอาการแสดงอะไรเลยก็ได้
แต่สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้
ในผู้หญิง ระยะแรกมักไม่มีอาการ
ต่อมาจะมี
อาการตกขาวเป็นหนองสีเหลือง
มีกลิ่นเหม็น ไม่คัน มี
อาการขัดเบา
และแสบร้อนเวลาปัสสาวะ
ปัสสาวะขุ่น
ถ้ามีการอักเสบของปีกมดลูก
จะมีไข้สูง หนาวสั่น
ปวด
และกดเจ็บตรงท้องน้อยแบบปีกมดลูกอักเสบ
ผู้หญิงที่ติดเชื้อหนองในประมาณครึ่งหนึ่ง
อาจไม่มี
อาการแสดงอะไรเลยก็ได้
แต่สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้ทั้งสองเพศ
นอกจากอาการดังกล่าวแล้ว
อาจมีต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบ
(ไขดัน) บวมและเจ็บด้วย
อาการแทรกซ้อน
ในผู้ชาย
ถ้าไม่ได้รับการรักษา
อาจมีหนองไหลอยู่ 3-4 เดือน
และเชื้อหนองในอาจลุกลามไปยังบริเวณ
ใกล้เคียง
ทำให้ท่อปัสสาวะอักเสบ
ซึ่งอาจทำให้ท่อปัสสาวะตีบตัน
ได้ อาจทำให้ต่อมลูกหมากอักเสบ
หรือเป็นฝีที่ผนังของท่อปัสสาวะ
ในบางรายอาจทำให้อัณฑะอักเสบ
(อัณฑะปวดบวม และเป็นหนอง)
ซึ่งอาจทำให้กลายเป็นหมันได้
ในผู้หญิง
เชื้ออาจลุกลามทำให้ต่อมบาร์โทลิน
(Bartholin gland) ที่แคมใหญ่เกิดการอักเสบ
หรือเป็นฝี
บวมโต หรืออาจทำให้มดลูกอักเสบ
หรือปีกมดลูกอักเสบ
ซึ่งถ้าอักเสบรุนแรงเมื่อหายแล้ว
อาจทำให้
ท่อรังไข่ตีบตัน กลายเป็นหมัน
หรือทำให้ตั้งครรภ์นอกมดลูก ได้
ทั้งสองเพศ
เชื้ออาจเข้ากระแสเลือดไป
ที่ข้อ (หนองในเข้าข้อ)
ทำให้ข้ออักเสบเฉียบพลัน
ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อยมาก
ข้อที่พบได้
บ่อย คือ ข้อเข่า ข้อเท้า ข้อมือ
นอกจากนี้ยังอาจมีภาวะแทรกซ้อนอื่น
ๆ ที่พบได้น้อยมาก เช่น เยื่อหุ้ม
สมองอักเสบ ,
เยื่อบุหัวใจอักเสบ (Endocarditis)
ซึ่งอาจทำให้ลิ้นหัวใจรั่ว
ทำให้หัวใจวายตายได้
การรักษา
1. หากสงสัย
ควรตรวจยืนยันด้วยการนำหนองไปย้อมสี
และส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์
หรือนำไปเพาะ
เชื้อ ถ้าเป็นจริง
ควรให้ยาขนานใดขนานหนึ่ง
ดังต่อต่อไปนี้
-อะม็อกซีซิลลิน 3 กรัม
กินครั้งเดียว จะให้โพรเบเนซิด
(Probenecid) 1 กรัม ร่วมด้วยก็ได้
1.1 นอร์ฟล็อกซาซิน 800 มก.
กินครั้งเดียว
1.2 โอฟล็อกซาซิน(Ofloxacin) 400 มก.
กินครั้งเดียว
1.3 ไซโพรฟล็อกซาซิน(Ciprofloxacin) 500 มก.
กินครั้งเดียว
1.4 เซฟทริอะโซน(Ceftriaxone) 250 มก.
ฉีดเข้ากล้ามครั้งเดียว
1.5 สเปกติโนไมซิน(Spectinomycin) 2 กรัม
ฉีดเข้ากล้ามครั้งเดียว
สำหรับหญิงตั้งครรภ์ควรใช้
ยาขนานที่ 1.4 หรือ 1.5
2.
ในผู้หญิงที่มีอาการหนองไหลออกจากท่อปัสสาวะ
ร่วมกับมีไข้สูง ปวดท้องน้อย
ขัดเบา ตกขาว
อาจเป็นปีกมดลูกอักเสบเฉียบพลัน
ควรส่งโรงพยาบาลภายใน 24
ชั่วโมง
ข้อแนะนำ
1.
ในบ้านเราพบเชื้อหนองในที่ดื้อต่อกลุ่มยาเพนิซิลลิน
เรียกว่าเชื้อ PPNG ซึ่งย่อมาจาก
Penicillinase
Producing Neisseria Gonorrhea ชาวบ้านเรียกว่า
ซูเปอร์โกโนเรีย
ซึ่งจะรักษาด้วยยาฉีดโปรเคน
เพนิซิลลิน
ที่เคยใช้ในสมัยก่อนไม่ค่อยได้ผล
ต้องเปลี่ยนไปใช้ยาชนิดอื่นแทน
2. ระหว่างที่รักษา
ห้ามหลับนอนกับภรรยา เป็นเวลา 2-4
สัปดาห์ และงดดื่มเหล้า 1 เดือน
เพราะเหล้า
อาจทำให้หนองไหลมากขึ้น
3. ควรแนะนำให้ผู้สัมผัสโรค เช่น
หญิงที่มีสามีเป็นหนองใน
หรือผู้ที่หลับนอนกับคน
ที่เป็นหนองในไป
ตรวจรักษาโรคนี้พร้อม ๆ
กันไปด้วย
เพื่อป้องกันมิให้เกิดการแพร่เชื้อแก่กันอีก
4. ผู้ที่เป็นหนองใน
ควรเจาะเลือดตรวจ วีดีอาร์แอล (VDRL
ซึ่งย่อมาจาก Venereal Disease Reserch
Laboratory) เพื่อให้แน่ใจว่า
ไม่มีการติดเชื้อซิฟิลิสร่วมด้วย
ถ้าพบวีดีอาร์แอลเป็นผลบวก
หรือเรียกว่า
เลือดบวก ก็แสดงว่าเป็น ซิฟิลิส
ควรตรวจครั้งแรกเมื่อก่อนให้การรักษาและอีก
3 เดือน ต่อมาตรวจซ้ำ
อีกครั้งนอกจากนี้
ควรตรวจหาเชื้อเอชไอวี
พร้อมกันไปด้วย
5. หญิงตั้งครรภ์ถ้าเป็นหนองใน
ควรรีบรักษาให้หายขาด มิฉะนั้น
ลูกอาจติดเชื้อระหว่างคลอด
ทำให้ตาอักเสบรุนแรงและอาจทำให้ตาบอดได้
6.
หนองในติดต่อโดยการร่วมเพศเป็นสำคัญ
ถ้ามีการร่วมเพศในลักษณะแปลกไปจากปกติ
ก็อาจทำ
ให้เป็นหนองในลำคอ
หรือทวารหนักได้
ส่วนการติดต่อโดยทางอื่นพบได้น้อยมาก
ที่อาจพบได้ คือ
การใช้ผ้าเช็ดหน้าที่เปื้อนถูกหนองในสด
ๆ
เช็ดตา เชื้ออาจเข้าตา
ทำให้ตาอักเสบรุนแรงได้
จึงควรหลีกเลี่ยงจากการใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกับคนที่เป็น
โรคเชื้อหนองในไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในสระว่ายน้ำ
หรือโถส้วม
ดังนั้นโอกาสที่จะติดเชื้อจากสระว่ายน้ำ
หรือโถส้วมจึงเป็นไปไม่ได้
7.
ความเชื่อเรื่องของแสลงสำหรับโรคนี้
เช่น สาเก หน่อไม้ หูฉลาม
อาหารทะเล เป็นต้น ทางวงการ
แพทย์ยังไม่มีการยืนยันแน่ชัด
แต่ที่แน่นอน คือ ต้องงดเหล้า
เบียร์ ทุกชนิด เป็นเวลา 1 เดือน
เพราะ
อาจทำให้หนองไหลมากขึ้น
ส่วนอาหารอื่น
ถ้ากินแล้วทำให้หนองไหลมากขึ้นหรือกำเริบใหม่
ก็ควร
จะงด
8. หนองในและหนองในเทียม
บางครั้งอาจแยกอาการกันไม่ออก
ถ้าใช้ยารักษาหนองใน (โดยไม่ได้
ตรวจเชื้อก่อน )
อย่างเต็มที่แล้วไม่ได้ผล
อาจเป็นเพราะเชื้อดื้อยา
หรืออาจหนองในเทียม ก็ได้
การป้องกัน
ควรหลีกเลี่ยงการเที่ยว
หรือการสำส่อนทางเพศ
และถ้าจะหลับนอนกับคนที่สงสัยว่า
เป็นหนองใน
ควรใช้ถุงยางอนามัย
ซึ่งจะช่วยป้องกันได้เกือบ 100%
(ส่วนโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น
ๆ
อาจได้ผลไม่เต็มที่ และ
มีโอกาสติดเชื้อได้บ้าง)
การดื่มน้ำก่อนร่วมเพศ
และถ่ายปัสสาวะทันทีหลังร่วมเพศ
หรือการฟอกล้างสบู่ทันทีหลังร่วมเพศ
อาจช่วยลดการติดเชื้อลงได้บ้าง
แต่ไม่ใช่จะได้ผลทุกราย
ส่วนการกิน "ยาล้างลำกล้อง"
ซึ่งเป็นยาระงับเชื้อ (Antiseptic)
ไม่ใช่ทำลายเชื้อ
ไม่ได้ผลในการป้องกัน
ยานี้กินแล้วทำให้ปัสสาวะเป็นสีแปลก
ๆ เช่น สีแดง สีเขียว
การกินยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันโรคภายหลังร่วมเพศอาจได้ผลบ้าง
แต่ต้องใช้ยาชนิดและขนาดเดียวกับ
ที่ใช้รักษา ซึ่งดูแล้วไม่คุ้ม
สู้รอให้มีอาการแสดง
ค่อยรักษาไม่ได้
นอกจากนี้ก็ยังไม่อาจป้องกันโรคติดต่อ
ทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่นได้

ลักษณะทั่วไป
ผู้ชายเมื่อมีอายุมากกว่า 45
ปีขึ้นไป
ต่อมลูกหมากมักจะโตไม่มากก็น้อย
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลง
ตามสังขาร
ผู้ป่วยจะไม่มีอาการแสดงใด ๆ
ต่อเมื่อมีอายุมากกว่า 55 ปี
ขึ้นไป ผู้ชายบางคนอาจมี
ต่อมลูกหมากโตและแข็ง
กดท่อปัสสาวะได้
และกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะไม่แข็งแรงพอจะบีบ
ต้านแรงกดของต่อมลูกหมาก
จึงทำให้เกิดมีอาการอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะ
โรคนี้อาจพบได้
ประมาณ 10% ของผู้ชายสูงอายุ ประมาณ 10% ของผู้ชายสูงอายุ
อาการ
ผู้ป่วยจะมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก
ต้องออกแรงเบ่ง
ปัสสาวะพุ่งไม่แรง
ผู้ป่วยจะมีความรู้สีกต้อง
ถ่ายปัสสาวะบ่อยครั้ง
(ตอนกลางคืนต้องลุกขึ้นถ่ายบ่อย)
แต่ละครั้งออกได้ทีละน้อย
บางครั้งอาจถ่าย
ออกเป็นเลือด
หรืออาจมีอาการขัดเบาจากกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
ผู้ป่วยมักมีอาการถ่ายปัสสาวะ
ลำบากดังกล่าวอยู่เป็นแรมปี
จนในที่สุด
จะมีอาการถ่ายปัสสาวะไม่ออกเลย
เนื่องจากท่อปัสสาวะ
ถูกต่อมลูกหมากกดจนอุดตัน
ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดตึงที่ท้องน้อย
และคลำได้ก้อนของกระเพาะ
ปัสสาวะที่มีปัสสาวะคั่งอยู่เต็ม
อาการแทรกซ้อน
อาจทำให้เป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
กรวยไตอักเสบ หรือภาวะไตวาย
การรักษา
หากสงสัยควรส่งโรงพยาบาล
การใช้นิ้วมือตรวจทางทวารหนัก
อาจคลำได้ต่อมลูกหมากที่โต
อาจต้อง
การรักษา
หากสงสัยควรส่งโรงพยาบาล
การใช้นิ้วมือตรวจทางทวารหนัก
อาจคลำได้ต่อมลูกหมากที่โต
อาจต้อง
ทำการเอกซเรย์
ใช้เครื่องมือส่องตรวจกระเพาะปัสสาวะ
ดังที่เรียกว่า ซิสโตสโคป (Cystoscope)
อาจ
ต้องตรวจปัสสาวะ
และตรวจเลือดดูการทำงานของไต
เพื่อค้นหาภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
ถ้าถ่าย
ปัสสาวะไม่ออก
อาจต้องใช้สายยางสวนเป็นครั้งคราว
ในรายที่เริ่มเป็นระยะแรก
หรือเป็นมาก
แต่อยู่ระหว่างรอผ่าตัด
หรือมีข้อห้ามในการผ่าตัด
อาจให้ยา
กลุ่มยับยั้งแอลฟา (alpha-blockers) เช่น
พราโซซิน (Prazosin) 1-4 มก. วันละ 2 ครั้ง,
หรือ เทราโซซิน
(Terazosin) 1-5 มก.ก่อนนอน หรือ
ฟีน็อกซีเบนซามีน (Phenoxybenzamine) 5-20
มก.ก่อนนอน ยานี้
ช่วยให้ถ่ายปัสสาวะคล่องขึ้น
แต่ไม่ได้ทำให้ต่อมลูกหมากเล็กลง
หรืออาจให้ยากลุ่มยับยั้งแอลฟารีดักเทส
(alpha-reductase inhibitors) เช่น ไฟนาสเตไรด์
(Finasteride)
ยานี้ทำให้ขนาดของต่อมลูกหมากเล็ก
ลงประมาณ 30% แต่ถ้าหยุดยา
ก็จะเริ่มโตขึ้นใหม่ ในบางราย
อาจใช้วิธีรักษาด้วย แสงเลเซอร์
หรือ
ไมโครเวฟ
ทำให้เกิดความร้อนบริเวณต่อมหมวกไต
จนเนื้อส่วนนั้นตาย (coagulation necrosis)
ต่อมลูกหมากก็จะฝ่อลง
ทำให้ปัสสาวะคล่องขึ้น
วิธีเหล่านี้
จะใช้ได้ผลกับผู้ป่วยบางคนเท่านั้น
บางคนก็
อาจไม่ได้ผล
ถ้าต่อมลูกหมากโตมาก
หรือใช้วิธีดังกล่าวไม่ได้ผล
ก็จะรักษาด้วยการผ่าตัด
โดยการใช้กล้องส่องผ่าน
ท่อปัสสาวะ ที่เรียกว่า
"ทียูอาร์" (TUR/Transurethal resection)
ซึ่งจะช่วยให้หายขาดได้
ข้อแนะนำ
1.
ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาแอนติสปาสโมดิก
, ยากระตุ้นประสาทอัตโนมัติ
(sympathomimatic)
เพราะอาจทำให้ปัสสาวะไม่ออกได้
2. โรคนี้เป็นภาวะที่ไม่รุนแรง
และมีทางรักษาให้หายได้ด้วยการผ่าตัด
แต่ถ้าปล่อยไว้
อาจมีภาวะแทรกซ้อนอันตรายร้ายแรงได้
3.
อาการถ่ายปัสสาวะลำบากในผู้ชายสูงอายุ
อาจมีสาเหตุจากโรคมะเร็งของต่อมลูกหมาก
หรือมะเร็งของกระเพาะปัสสาวะได้
ซึ่งบางครั้งอาจแยกอาการจากต่อมลูกหมากโตไม่ออก
ดังนั้น
ทางที่ดี
ควรแนะนำให้ผู้ชายสูงอายุที่มีอาการปัสสาวะลำบากไปตรวจที่โรงพยาบาลทุกราย
รายละเอียด
ผู้ชายสูงอายุ
ที่มีอาการปัสสาวะลำบากควรปรึกษาแพทย์
อาจเป็นต่อมลูกหมากโต
หรือสาเหตุ
อื่นได้

ลักษณะทั่วไป
ผู้ชาย
บางคนอาจมีหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศรัดแน่น
จนดึงให้เปิดขึ้นไม่ได้เหมือนคนปกติ
อาจเป็น
มาตั้งแต่กำเนิด
ซึ่งจะตรวจพบเมื่ออายุมากกว่า 5
ขวบขึ้นไป
แต่ผู้ป่วยมักจะสังเกตเห็น
และปรึกษา
แพทย์เมื่อย่างเข้าวัยรุ่น
บางครั้งอาจเกิดจากการติดเชื้ออักเสบในบริเวณนั้น
แล้วกลายเป็นแผลเป็น
ดึงรั้งทำให้หนังหุ้มปลายเปิดไม่ได้โดยทั่ว
ๆ ไปมักจะไม่มีอาการอะไร
บางคนอาจถ่ายปัสสาวะไม่ออก
หรือถ่ายลำบาก
บางครั้งอาจเกิดการติดเชื้ออักเสบ
เป็นหนองได้
บางครั้งอาจมีอาการเจ็บปวดเวลา
อวัยวะเพศแข็งตัว
การรักษา
ควรส่งโรงพยาบาล
เพื่อตัดหนังส่วนนั้นให้เปิดออกเรียกว่า
การขริบปลาย (circumcision) ในรายที่มี
การอักเสบให้ยาปฏิชีวนะ เช่น
เพนวี หรือ อะม็อกซีซิลลิน

ลักษณะทั่วไป
การตั้งครรภ์นอกมดลูก
เกิดจากไข่ที่ถูกผสมเกาะตัวอยู่นอกโพรงมดลูก
ที่พบบ่อย คือ ที่ท่อรังไข่ แล้ว
เกิดการแตก
ทำให้ตกเลือดในช่องท้อง
มักพบในผู้หญิงที่เคยเป็นโรคปีกมดลูกอักเสบเรื้อรัง
มีการผ่าตัด
ของท่อรังไข่
หรือท่อรังไข่ผิดปกติมาตั้งแต่กำเนิด
ทำให้ไข่ที่ถูกผสมไม่สามารถลงมาเกาะตัวอยู่ในโพรง
มดลูกตามปกติได้พบได้ประมาณ 1
ใน 200 ของหญิงตั้งครรภ์
อาการ
ผู้ป่วยมักมีประวัติขาดประจำเดือน
1-2 เดือน
หรือไม่ก็สังเกตว่าประจำเดือนมาผิดไปจากทุกครั้ง
เช่น
มา กะปริดกะปรอยไม่มาก
สีน้ำตาลคล้ำ แล้วอยู่ดี ๆ
ก็มีอาการปวดเสียดในท้องน้อยขี้นทันทีทันใด
ปวดรุนแรงเป็นชั่วโมง
อาจร้าวไปที่หลัง ถ้านอนหัวต่ำ
อาจมีอาการปวดเสียวที่หัวไหล่
ต่อมาผู้ป่วยจะมี
อาการเป็นลม เหงื่อออก ตัวเย็น
ในรายที่เป็นเรื้อรัง
อาจมีเพียงอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง
ร่วมกับ
ประจำเดือนกะปริดกะปรอย
สิ่งตรวจพบ
ซีด กระสับกระส่าย ซีพจรเบาเร็ว
ความดันต่ำ
อาจกดเจ็บหรือคลำได้ก้อนที่บริเวณท้องน้อย
ในรายที่เป็นเรื้อรังอาจตรวจไม่พบอาการชัดเจนทำให้คิดว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ
ปีกมดลูกอักเสบ ก้อนถุง
น้ำของรังไข่ (ovarian cyst)
หรือแท้งบุตรได้
อาการแทรกซ้อน
อาจทำให้ปีกมดลูกอักเสบ
ระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบ
หรือเป็นหมัน ที่สำคัญ คือ
เกิดการตกเลือด
ในช่องท้องจนช็อกถึงตายได้
ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
การรักษา
ถ้าสงสัยควรส่งโรงพยาบาลด่วน
ถ้ามีภาวะช็อก ควรงดน้ำและอาหาร
และให้น้ำเกลือมาระหว่างทาง
ด้วย
ทำการวินิจฉัยด้วยการตรวจภายในช่องคลอด
เจาะเลือดตรวจดูระดับฮอร์โมนเอชซีจี
(hCG ย่อฮอร์โมนเอชซีจี
(hCG ย่อ
มาจาก human chorionic gonadotropin)
และตรวจอัลตราซาวนด์หรือการใช้กล้องส่อง
(laparoscopy)
ถ้าเป็นจริงก็ต้องรีบให้เลือด
และทำผ่าตัดทันที
ข้อแนะนำ
1.
ถ้าพบผู้หญิงที่มีอาการเป็นลมหรือปวดท้อง
ควรถามประวัติเกี่ยวกับประจำเดือนทุกราย
(แม้ว่าจะไม่ได้ประวัติการแต่งงานอย่างเปิดเผยก็ตาม)
ถ้ามีอาการประจำเดือนขาด
หรือมีเลือดออก
ทางช่องคลอด กะปริดกะปรอย
อาจมีสาเหตุจากการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้
2. การรักษาโรคนี้มีวิธีเดียว คือ
การผ่าตัด หลังผ่าตัด
ผู้ป่วยสามารถตั้งครรภ์ที่ปกติได้
ถึงแม้อาจมี
โอกาสในการตั้งครรภ์น้อยลงก็ตาม
รายละเอียด
ผู้หญิงที่ปวดท้องรุนแรง
และประจำเดือนขาด
อาจเป็นโรคตั้งครรภ์นอกมดลูก

ลักษณะทั่วไป
ช่องคลอดอักเสบ
เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้หญิงทั่วไป
ซึ่งอาจมีสาเหตุ อาการ
และการรักษา
ที่แตกต่างกัน
ในที่นี้จะขอกล่าวถึงช่องคลอดอักเสบที่พบบ่อย
ได้แก
่ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา
และจากเชื้อพยาธิทริโคโมแนส
สาเหตุ
1. ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา
เกิดจากเชื้อราที่ชื่อว่า
แคนดิดา อัลบิแคนส์ (Candida albicans)
ซึ่งเป็นเชื้อราชนิดเดียวกับที่
ทำให้ลิ้นเป็นฝ้าขาว
ผู้หญิงจำนวนไม่น้อย
จะมีเชื้อราชนิดนี้อยู่ในช่องคลอด
แต่จะไม่แสดงอาการ
อักเสบแต่อย่างไร
เนื่องจากแบคทีเรียที่ไม่มีพิษภัยในช่องคลอดคอยสร้างกรด
ช่วยควบคุมไม่ให้
เชื้อราเจริญงอกงาม
แต่ถ้าหากมีภาวะบางอย่าง
ที่ทำให้แบคทีเรียเหล่านี้ถูกทำลาย
เช่น การกิน
ยาปฏิชีวนะ (เช่น เตตราไซคลีน
อะม็อกซีซิลลิน เป็นต้น) นาน ๆ
หรือการสวนล้างช่องคลอด เป็นต้น
จะทำให้เชื้อราเจริญได้
นอกจากนี้การกินยาคุมกำเนิด
หรือการตั้งครรภ์
ก็อาจเปลี่ยนแปลงสภาพ
ภายในช่องคลอด
ทำให้เชื้อราเจริญงอกงามได้เช่นกัน
2.
ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อราทริโคโมแนส
เกิดจากเชื้อโปรโตชัว
(สัตว์เซลล์เดียว)
ซึ่งเป็นพยาธิขนาดเล็ก ๆ
ที่มีชื่อว่า ทริโคโมแนส
วาจินาลิส
(Trichomonas vaginalis)
ติดต่อโดยการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นโรคนี้
ถือเป็นโรคติดต่อทางเพศ
สัมพันธ์ (กามโรค) ชนิดหนึ่ง
อาการ
ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา
ผู้ป่วยจะมีอาการคันในช่องคลอด
หรือรอบ ๆ ปากช่องคลอดอย่างมาก
และมีตกขาวลักษณะข้น
ขาวคล้ายแป้งเปียก หรือคราบนม
อาจมีความรู้สึกเจ็บขณะร่วมเพศ
หรือมีอาการปัสสาวะบ่อย
และปวดแสบปวดร้อนร่วมด้วย
บางคนอาจมีผื่นแดงรอบ ๆ
ปากช่องคลอดหรือบริเวณขาหนีบ
ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อทริโคโมแนส
ผู้ป่วยจะมีอาการคันในช่องคลอดมาก
บางครั้งอาจมีอาการขัดเบา
หรือปวดแสบปวดร้อนเวลา
ปัสสาวะ และมีอาการตกขาว
ออกเป็นสีเหลืองหรือเขียว
มีกลิ่นเหม็น
มักออกเป็นจำนวนมาก
และมีลักษณะเป็นฟอง ๆ
การรักษา
ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา
หากสงสัย ควรส่งโรงพยาบาล
อาจต้องตรวจภายในช่องคลอด
และนำตกขาวไปตรวจส่องด้วย
กล้องจุลทรรศน์
จะพบเชื้อราที่เป็นสาเหตุ
การรักษา ให้ยาเหน็บช่องคลอด
ซึ่งเข้ายาฆ่าเชื้อรา เช่น
ยาเหน็บช่องคลอดนิสแตติน (Nystatin)
ขนาด 100,000 ยูนิต
หรือยาเหน็บช่องคลอดไมโคสแตติน
(Mycostatin) เหน็บเช้าเม็ด
และก่อนนอนอีกเม็ด
เหน็บทุกวันติดต่อกัน 14 วัน
หรือใช้ยาเหน็บ
โคลไตรมาโซล (Clotrimazole) ขนาด 500 มก.
เหน็บครั้งเดียว ก่อนนอน
หรือใช้ขนาด 100 มก.
เหน็บวันละครั้ง ก่อนนอน
ทุกคืนติดต่อกัน 6 วัน
หรือกินยาคีโตโคนาโซล 400 มก.
วันละครั้ง นาน
5 วัน ถ้าจะหลับนอนกับสามี
ควรให้สามีสวมถุงยางอนามัย
เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อทริโคโมแนส
หากสงสัย ควรส่งโรงพยาบาล
อาจต้องตรวจภายในช่องคลอด
และนำตกขาวไปตรวจส่องด้วยกล้อง
จุลทรรศน์ จะพบเชื้อทริโคโนแนส
การรักษาให้ยาฆ่าเชื้อ ได้แก่
เมโทรไนดาโซล 2 กรัม (ขนาด
200 มก. 10 เม็ด) ครั้งเดียว
หรือให้ครั้งละ 500 มก.วันละ 2 ครั้ง
นาน 7 วัน และควรให้ฝ่ายชายกินยา
นี้พร้อม ๆ กันไปด้วย
เพื่อป้องกันมิให้ฝ่ายหญิงรับเชื้อราซ้ำอีก
ในหญิงตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก
ไม่ควรกินยานี้
ควรใช้ยาเหน็บโคไตรมาโซล (Clotrimazole)
ขนาด 500 มก.
เหน็บครั้งเดียว ก่อนนอน
หรือขนาด 100 มก. เหน็บวันละครั้ง
ก่อนนอน ติดต่อกัน 6 วัน
แนะนำ
ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา
1.
โรคนี้ไม่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง
แต่ทำให้มีอาการคันในช่องคลอดรุนแรง
จนบางครั้งทำ
ให้เสียบุคลิกภาพ
2.
ในกรณีที่ไม่สามารถให้แพทย์ตรวจภายในช่องคลอด
ถ้ามีประวัติอาการชัดเจน เช่น
มีอาการหลัง
กินยาปฏิชีวนะ
ก็อาจให้ยาหน็บช่องคลอดไปได้เลย
ถ้าไม่ดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์
จึงค่อยแนะนำไป
ตรวจที่โรงพยาบาล
3. ผู้หญิงที่กินยาเม็ดคุมกำเนิด
ถ้ามีอาการของโรคนี้ เป็น ๆ หาย ๆ
เรื้อรัง ควรเลิกกินยาคุมกำเนิด
และหันไปคุมกำเนิดโดยวิธีอื่นแทน
4. อาการช่องคลอดอักเสบ
(ตกขาวและคัน)
อาจเป็นอาการแสดงของโรคเบาหวานได้
หากสงสัยควร
ตรวจน้ำตาลในปัสสาวะหรือในเลือด
ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อทริโคโมแนส
1.
โรคนี้ไม่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง
แต่จะมีอาการคันมากจนเป็นที่น่ารำคาญ
หรือเสีย
บุคลิกภาพ
2. ผู้ชายที่ติดเชื้อตัวนี้
อาจไม่แสดงอาการอะไรก็ได้
แต่สามารถแพร่เชื้อให้ฝ่ายหญิง
ทางที่ดี ถ้าพบว่า
ฝ่ายหญิงเป็นโรคนี้
ควรให้ฝ่ายชายกินยารักษาพร้อม ๆ
กันไปด้วย
การป้องกัน
การป้องกัน
ให้หลีกเลี่ยงการสวมใส่กางเกงในที่ทำจากไนล่อน
หรือใยสังเคราะห์
เพราะทำให้อับชื้น
ซึ่งเชื้อราอาจเจริญง่าย
อย่าสวนล้างช่องคลอดโดยไม่จำเป็น
และอย่ากินยาปฏิชีวนะ
(มักมีอยู่ในยาชุด)
โดยไม่จำเป็น
รายละเอียด
ควรรักษาหญิงที่ตกขาวจาก
เชื้อทริโคโมแนสพร้อมกับสามี
การตกขาวแบบธรรมดา
ผู้หญิง
บางคนอาจมีอาการตกขาวได้บ้างเล็กน้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในช่วงกึ่งกลางระหว่างรอบเดือน
ซึ่งเป็นระยะที่มีการตกไข่
นอกจากนี้ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์
หรือกินยาคุมกำเนิด
ก็อาจมีอาการตกขาวเป็น
ปกติธรรมดาได้อาการตกขาวที่เป็นธรรมดา
จะมีลักษณะเป็นมูกใส
หรือคล้ายแป้งเปียก
แต่ไม่มีกลิ่น
ไม่มีสี
และไม่คันโดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องให้การรักษาแต่อย่างไร
แต่ถ้าเป็นติดต่อกันนานเกิน 2
สัปดาห์
หรือสงสัยว่าอาจมีสาเหตุที่ผิดปกติ
ก็ควรแนะนำผู้ป่วยไปโรงพยาบาล
เพื่อทำการตรวจภายในช่องคลอด
และให้การรักษาถ้าพบมีสาเหตุที่ผิดปกติ
ในเด็กผู้หญิง
ที่ใส่กางกางในใยสังเคราะห์
บางครั้งอาจไม่รู้จักรักษาความสะอาด
และปล่อยให้อบ
ก็อาจมีน้ำเมือกจากช่องคลอดออกมาเปื้อนกางกางใน
ซึ่งจะไม่มีกลิ่น และไม่คัน
ให้รักษาความสะอาด
ด้วยการใช้น้ำสะอาดชะล้าง
และเปลี่ยนมาใช้กางกางในผ้าฝ้ายแทน

ลักษณะทั่วไป
แท้งบุตร หมายถึง การที่ตัวอ่อน
หรือทารกในครรภ์ถูกขับออกมาก่อนตั้งครรภ์ได้
28 สัปดาห์
พบได้ประมาณ 10%-15%
ของการตั้งครรภ์
มักเกิดในช่วงการตั้งครรภ์ได้ 4-20
สัปดาห์
สาเหตุ
มีได้หลายอย่าง เช่น
การกระทบกระเทือน (เช่น หกล้ม),
มดลูกมีความผิดปกติ (เช่น
มีก้อนเนื้องอก
การอักเสบ
ความผิดปกติที่มีมาแต่กำเนิด),
ตัวอ่อนหรือทารกในครรภ์
มีความผิดปกติ (เช่น พิการโดย
กำเนิด การติดเชื้อจากมารดา),
มารดามีโรคประจำตัว (เช่น
เบาหวาน) หรือโรคติดเชื้อต่าง ๆ
(เช่น
หัดเยอรมัน) การตั้งใจกินยาขับ
หรือให้คนทำแท้ง
ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการแท้งได้
บางคนอาจไม่
พบสาเหตุที่ชัดเจนก็ได้
อาการ
ในระยะแรกที่ทารก
หรือตัวอ่อนยังมีชีวิตอยู่
อาจมีอาการเลือดออกทางช่องคลอดเพียงเล็กน้อย
ร่วมกับ
ปวดในท้องน้อย
และปวดหลังเล็กน้อย
หากผู้ป่วยได้นอนพักเต็มที่ 3-4
วัน เลือดอาจหยุดได้เอง และการ
ตั้งครรภ์อาจดำเนินต่อไปได้เป็นปกติ
ระยะนี้ถือว่า
ยังไม่มีการแท้งเกิดขึ้นเราเรียกว่า
การแท้งคุกคาม
(threatened abortion)
แต่ถ้าตัวอ่อนเสียชีวิตลง
การแท้งจะเกิดขึ้น
ผู้ป่วยจะมีอาการตกเลือดมาก
ปวดบิดในท้องรุนแรงคล้ายคลอดบุตร
และอาจเห็นก้อนชิ้นเนื้อของตัวอ่อนหลุดออกมา
ถ้าตัวอ่อนและ
เศษรกหลุดออกมาได้หมด
อาการตกเลือดจะค่อย ๆ หยุดลง
และค่อย ๆ หายปวดท้อง เราเรียกว่า
"การแท้งโดยสมบูรณ์ (complete abortion)"
แต่ถ้ายังมีเศษรกค้างอยู่
ผู้ป่วยก็ยังคงมีอาการปวดท้อง
และตกเลือดต่อไป เราเรียกว่า
"การแท้งไม่สมบูรณ์ (incomplete abortion)"
ซึ่งอาจต้องทำการขูดมดลูก
เอาเศษรกที่ค้างออก
ถ้าผู้ป่วยเสียเลือดมาก
อาจมีอาการซีด
หรือถึงกับภาวะช็อก
อาการแทรกซ้อน
ถ้าเสียเลือดมากอาจเกิดภาวะช็อก
หรือโลหิตจาง
บางคนอาจเกิดการติดเชื้อกลายเป็นมดลูกอักเสบ
และอาจกลายเป็นหมันได้
ในรายที่ทำแท้งกันเองโดยใช้เครื่องมือ
หรือสารสกปรก
ก็อาจติดเชื้ออักเสบ
และอาจกลายเป็นโลหิต
เป็นพิษ ถึงตายได้
การรักษา
1. ถ้าเลือดออกไม่มาก
ปวดท้องไม่มาก
และยังไม่มีตัวอ่อนหลุดออกมาให้เห็น
แนะนำให้ผู้ป่วยนอน
พักบนเตียง 3-4 วัน อย่าทำงาน
อาจให้ยาพาราเซตามอล
กินแก้ปวด
ถ้าเลือดหยุดและหายปวดท้อง
ทารกก็มักจะมีชีวิตรอด
และการตั้งครรภ์สามารถดำเนินต่อไปได้
2. ถ้าเลือดออกมาก ปวดท้องมาก
และมีตัวอ่อนหลุดออกมาให้เห็น
แสดงว่ามีการแท้งเกิดขึ้นแล้ว
ควร
ส่งโรงพยาบาล
เพื่อทำการขูดมดลูกเอาเศษรกออก
ในรายที่ตกเลือดมากหรือมีภาวะช็อก
ควรให้น้ำเกลือแล้วรีบส่งโรงพยาบาล
อาจต้องให้เลือด
3. ถ้ามีตัวอ่อนหลุดออกมาแล้ว
ผู้ป่วยหายปวดท้อง
และเลือดออกน้อยลง
ก็ให้ผู้ป่วยนอนพัก ถ้าซีดให้
เฟอร์รัสซัลเฟต
ถ้ายังมีเลือดออกอยู่เรื่อย ๆ
ให้ฉีดเมเทอร์จิน
แต่ถ้ายังมีเลือดออกมาก
หรือมีภาวะช็อก
ควรให้น้ำเกลือ
แล้วส่งโรงพยาบาลด่วน
4.ในรายที่สงสัยมีการอักเสบของมดลูกร่วมด้วย
เช่น มีไข้ มีตกขาวกลิ่นเหม็น
ควรให้ยาปฏิชีวนะ
ข้อแนะนำ
1. การทำแท้งกันเอง
เป็นสิ่งที่มีอันตรายมาก
เพราะอาจติดเชื้ออักเสบถึงตายได้
จีงไม่ควรทำ
หากมีปัญหาไม่อยากมีบุตร
ควรปรึกษาแพทย์
เพื่อขอคำแนะนำที่ถูกต้อง
2. คนที่เคยแท้งเองมาก่อน
อาจมีโอกาสแท้งได้ในครรภ์ต่อไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ถ้าเคยแท้งติดต่อ
กัน 2 ท้องขึ้นไป
การตั้งครรภ์ต่อไป
ควรฝากครรภ์เสียแต่เนิ่น ๆ
และพักผ่อนให้มาก ๆ คนที่เคยแท้ง
ติดต่อกัน 3 ท้องขึ้นไปเรียกว่า
"การแท้งประจำ (habitual abortion)"
ซึ่งมักมีสาเหตุที่เกี่ยวกับความผิด
ปกติของมดลูก หรือทารก
ควรปรึกษาแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุและแก้ไข
รายละเอียด
การแท้งบุตรมักเกิดในช่วงอายุครรภ์
4-20 สัปดาห์

ลักษณะทั่วไป
ประจำเดือนไม่มา
หรือประจำเดือนขาด
เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้หญิงทั่วไป
ปกติผู้หญิงจะ
เริ่มมีประจำเดือนมาครั้งแรกระหว่างอายุ
11-14 ปี ถ้าเลยช่วงอายุนี้ไปแล้ว
ยังไม่มีประจำเดือนมา
ก็ถือว่าผิดปกติ
ในที่นี้ขอให้เรียกว่า
ภาวะประจำเดือนไม่เคยมา (Primary amenorrhea)
ผู้หญิง
บางคนเคยมีประจำเดือนมาเป็นประจำ
แล้วอยู่ ๆ ก็ไม่มาหรือขาดหายไป
ด้วยสาเหตุต่าง ๆ ในที่นี้
ขอเรียกว่า ภาวะประจำเดือนขาด
(Secondary amenorrhea)
ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยกว่าภาวะ
ประจำเดือนไม่เคยมา
สาเหตุ
ภาวะประจำเดือนไม่เคยมา
อาจมีสาเหตุเกี่ยวกับความผิดปกติของรังไข่
หรือฮอร์โมนในร่างกาย
หรืออาจมีความผิดปกติทาง
โครงสร้าง (กายวิภาค)
ของมดลูก หรือช่องคลอด เช่น
เยื่อพรหมจรรย์ไม่เปิด
ไม่มีมดลูก หรือรังไข่
หรือช่องคลอดโดยกำเนิด เป็นต้น
แต่ส่วนมากจะมีสาเหตุจากการเจริญเติบโตเป็นสาว
(แตกเนื้อสาว) ช้าโดยธรรมชาติ
โดยไม่มีความผิดปกติใด ๆ
เกิดขึ้น
และมักจะมีประจำเดือนมาก่อน
อายุครบ 16 ปี
ถ้าเลยจากนี้ไปแล้ว
ก็น่าจะมีสาเหตุที่ผิดปกติต่างๆ
ภาวะประจำเดือนขาด
ที่พบได้บ่อย ก็คือ การตั้งครรภ์
การฉีดยาคุมกำเนิด หลังคลอดบุตร
หรือให้นมบุตร ความเครียดทาง
จิตใจ เป็นต้น
ส่วนน้อยอาจมีสาเหตุจากเนื้องอกของต่อมใต้สมอง
หรือต่อมหมวกไต หรือรังไข่,
โรคชีแฮน , การผ่าตัดมดลูก
หรือรังไข่ทั้งสองข้าง เป็นต้น
อาการ
1. ภาวะประจำเดือนไม่เคยมา
บิดามารดาหรือตัวผู้ป่วยเอง
สังเกตว่าประจำเดือนครั้งแรกยังไม่มา
ทั้ง ๆ
ที่เลยอายุควรจะมีประจำเดือน
(เลยอายุ 14 ปี)
โดยทั่วไปมักจะไม่มีความผิดปกติอื่น
ๆ
นอกจากมีสาเหตุจากความผิดปกติเกี่ยวกับรังไข่
หรือฮอร์โมน
ก็อาจไม่มีการเจริญเติบโตทางเพศ
เช่น หน้าอกแฟบเหมือนผู้ชาย
ไม่มีขนรักแร้ หรือขนที่
อวัยวะเพศ เป็นต้น
ในรายที่เกิดจากเยื่อพรหมจรรย์ไม่เปิด
ผู้ป่วยมักมีเลือดประจำเดือนออกทุกเดือน
แต่จะคั่งอยู่ในช่อง
คลอดเพราะเยื่อพรหมจรรย์ปิดกั้นไว้
ผู้ป่วยอาจรู้สึกปวดท้องเป็นประจำทุกเดือน
และอาจตรวจพบ
เยื่อพรหมจรรย์โป่งพองขึ้น
เนื่องจากมีก้อนเลือดที่คั่งในช่องคลอดคอยดันเยื่อนี้ให้โป่งออก
2. ภาวะประจำเดือนขาด
ผู้ป่วยซึ่งปกติเคยมีประจำเดือนมาเป็นประจำทุกเดือนอยู่
ๆ ก็ไม่มีประจำเดือนมา
ส่วนมากจะไม่มีความ
ผิดปกติอื่น ๆ
นอกจากในรายที่เกิดจากการตั้งครรภ์
อาจมีอาการแพ้ท้อง
ในรายที่เกิดจากเนื้องอกของรังไข่
ต่อมหมวกไต หรือต่อมใต้สมอง
อาจมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดศีรษะ
เรื้อรัง ตามืดมัวลงเรื่อย ๆ
มีหนวดและขนขึ้นผิดธรรมชาติ
น้ำนมออกผิดธรรมชาติ เป็นต้น
ในรายที่เป็นโรคชีแฮน
ก็อาจมีอาการอ่อนเพลียเฉื่อยเนือย
เต้านมแฟบ ขนรักแร้
และขนที่อวัยวะเพศร่วง
ในรายที่เกิดจากโรคกังวล
หรือซึมเศร้า
ก็มักมีความวิตกกังวล
นอนไม่หลับ เบื่อหน่าย
ท้อแท้สิ้นหวัง
การรักษา
1. ภาวะประจำเดือนไม่เคยมา
ถ้ามีอาการผิดปกติอื่น ๆ
ร่วมด้วย
ก็ควรแนะนำผู้ป่วยไปโรงพยาบาล
เพื่อตรวจหาสาเหตุ
อาจต้องตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ
และตรวจพิเศษอื่น ๆ
แล้วให้การรักษาตาม
สาเหตุที่พบ
ในรายที่เกิดจากเยื่อพรหมจรรย์ไม่เปิด
อาจต้องผ่าตัดเปิดให้มีทางระบายของเลือด
ประจำเดือน
ในรายที่ร่างกายมีการเจริญเติบโตตามปกติ
(เช่น มีการเจริญของเต้านม
มีขนรักแร้
และขนอวัยวะเพศขึ้นตามปกติ)
และไม่มีอาการปวดท้อง
หรืออาการผิดปกติอื่น ๆ
อาจรอดูจนอายุเกิน
16 ปี ถ้ายังไม่มีประจำเดือนมา
ก็ควรจะแนะนำไปตรวจที่โรงพยาบาล
2. ภาวะประจำเดือนขาด
ถ้ามีความผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย
หรือสงสัยว่ามีสาเหตุที่ร้ายแรง
ควรแนะนำไปตรวจที่โรงพยาบาล
เพื่อตรวจภายในช่องคลอด
ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์
หรือ
ตรวจพิเศษอื่น ๆ
แล้วให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ
ถ้าเกิดจากการตั้งครรภ์
หรือโรคกังวลใจ ก็ให้การรักษา
ตามสาเหตุ
ในรายที่ไม่มีสาเหตุแน่ชัด
และร่างกายเป็นปกติดีทุกอย่าง
อาจรอดูสัก 6 เดือน ถ้ายังไม่มี
ประจำเดือนมาก็ควรแนะนำไปตรวจที่โรงพยาบาล
รายละเอียด
ผู้หญิงที่ประจำเดือนขาดไม่ทราบสาเหตุ
ถ้าเป็นนานกว่า 6 เดือน
ควรปรึกษาแพทย์

ลักษณะทั่วไป
ปวดประจำเดือน หมายถึง
อาการปวดท้องขณะมีประจำเดือน
พบได้ประมาณ 70 % ของผู้หญิง
ในวัยที่มีประจำเดือน
ส่วนใหญ่จะปวดไม่มากและสามารถทำงานได้ตามปกติ
ส่วนน้อยเท่านั้นที่
อาจปวดรุนแรงจนต้องพักงานอาการปวดประจำเดือนแบ่งได้เป็น
ชนิดธรรมดา (ปฐมภูมิ) ซึ่งพบ
เป็นส่วนมาก กับ ชนิดผิดปกติ
(ทุติยภูมิ) ซึ่งพบเป็นส่วนน้อย
ปวดประจำเดือนชนิดธรรมดาหรือ
ปฐมภูมิ (Primary dysmenorrhea) จะพบในเด็กสาว
ส่วนมากจะเริ่มมีอาการตั้งแต่มีประจำเดือน
ครั้งแรก
หรือไม่ก็เกิดขึ้นภายใน 3 ปี
หลังมีประจำเดือนครั้งแรก
จะมีอาการมากที่สุดในช่วงอายุ 15
-25 ปี หลังจากวัยนี้อาการจะค่อย
ๆ ลดลง
บางคนอาจหายปวดหลังแต่งงาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
หลังมีบุตรแล้ว
จะมีส่วนน้อยที่ยังอาจมีอาการตลอดไปจนถึงวัยหมดประจำเดือน
การปวดประจำเดือนชนิดนี้
จะไม่มีความผิดปกติของมดลูกและรังไข่แต่อย่างใด
ปัจจุบันนี้เชื่อว่า
มีสาเหตุมาจากเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
ระหว่างมีประจำเดือน
และมีการหลั่งสารพรอสตาแกลนดิน
(Prostaglandins) มากผิดปกติ
ทำให้มดลูกมีการบีบเกร็งตัว
เกิดอาการปวดที่บริเวณท้องน้อย
ปวดประจำเดือนชนิดผิดปกติหรือทุติยภูมิ
(Secondary dysmenorrhea)
จะมีอาการปวดครั้งแรกเมื่อ
มีอายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไป
โดยก่อนหน้านี้จะไม่เคยมีอาการปวดประจำเดือนเลย
มักมีความผิดปกติ
ของมดลูกหรือรังไข่ เช่น
เนื้องอกของมดลูกเยื่อบุมดลูกงอกผิดที่
มดลูกย้อยไปด้านหลังมาก
ปีกมดลูก
อักเสบเรื้อรัง เป็นต้น
เชื่อว่าอารมณ์มีส่วนเสริมความรุนแรงของการปวด
ประจำเดือนทั้ง 2 ชนิด เช่น
พบว่าคนที่อารมณ์อ่อนไหวง่าย
หรือมีความเครียดจะมีอาการปวดรุนแรง
กว่าคนที่มีอารมณ์ดี
อาการ
จะเริ่มมีอาการก่อนมีประจำเดือนไม่กี่ชั่วโมง
และเป็นอยู่ตลอดช่วง 2-3
วันแรกของประจำเดือน
โดยมีอาการปวดบิดเป็นพัก ๆ
ที่บริเวณท้องน้อย
บางคนอาจมีอาการปวดศีรษะ
คลื่นไส้ อาเจียน
ท้องเดิน ใจคอหงุดหงิดร่วมด้วย
ถ้าปวดรุนแรงอาจมีอาการเหงื่อออกตัวเย็น
มือเท้าเย็นได้
การรักษา
1. ถ้าปวดไม่มาก ให้กินยาแก้ปวด
เช่น แอสไพริน หรือ พาราเซตามอล
ครั้งละ 2 เม็ด เวลาปวด
ซ้ำได้ทุก 4-6 ชม.
2. ถ้าปวดมาก ให้นอนพัก
ใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบหน้าท้อง
และให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์
เช่น อินโดเมทาซิน
,ไอบูโพรเฟน ครั้งละ 1 เม็ด วันละ
3-4 ครั้ง ควรกินก่อนมีประจำเดือน 48
ชั่วโมง
และกินทุกวัน
จนเลือดประจำเดือนหยุดออก
หรือให้ยาแอนติสปาสโมดิก เช่น
อะโทรพีน, ไฮออสซีน
ครั้งละ 1-2 เม็ด บรรเทาปวด
ซ้ำได้ทุก 6 ชม.
3.
ถ้าปวดจนมีอาการเหงื่ออกตัวเย็น
ให้ฉีดแอนติสปาสโมดิก เช่น
อะโทรพีน หรือไฮออสซีน 1/2-1
หลอด
เข้ากล้ามหรือเข้าหลอดเลือดดำ
4. ในรายที่เป็นอยู่ประจำ
อาจให้กินยาคุมกำเนิด
(กินแบบเดียวกับใช้ยาคุมกำเนิด
คือวันละ 1 เม็ด
ทุกวัน) เพื่อมิให้มีการตกไข่
จะช่วยไม่ให้ปวดได้ชั่วระยะหนึ่ง
อาจให้ติดต่อกันนาน 3-4 เดือน
แล้วลอง
หยุดยา
ถ้าหากมีอาการกำเริบใหม่
ก็ควรให้กินยาคุมกำเนิดต่อไปอีกสักระยะหนึ่งจนกว่า
เมื่อหยุดยา
แล้ว
อาการปวดประจำเดือนทุเลาไป
5.
ถ้าพบว่าอาการปวดประจำเดือนเริ่มเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในผู้หญิงอายุมากกว่า
25 ขึ้นไป หรือยังมี
อาการปวดมากหลังแต่งงาน
หรือมีเลือดประจำเดือนออกมากกว่าปกติ
ควรแนะนำไปโรงพยาบาล
อาจต้องตรวจภายใน
ค้นหาสาเหตุให้แน่นอน
ข้อแนะนำ
ควรให้ความมั่นใจแก่เด็กสาวที่เริ่มมีอาการปวดประจำเดือนว่า
โรคนี้ไม่มีอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด
และส่วนใหญ่เมื่ออายุมากขึ้นอาจทุเลา
หรือหายได้เอง
ตลอดจนให้ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับประจำเดือน
รายละเอียด
เมื่อมีอาการปวดประจำเดือน
ควรกินยาแก้ปวด
และประคบด้วยกระเป๋าน้ำร้อน

ลักษณะทั่วไป
ปีกมดลูกอักเสบ (Salpingitis) หมายถึง
การอักเสบของท่อรังไข่
มดลูกอักเสบ (Endometritis) หมายถึง
การอักเสบของเยื่อบุภายในโพรงมดลูก
ทั้ง 2
โรคนี้เป็นโรคที่พบได้บ่อยในหญิงวัยเจริญพันธุ์
(15-45 ปี)
เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
ที่ผ่านช่องคลอดเข้าไปทางปากมดลูก
ขึ้นไปในโพรงมดลูก
(ทำให้มดลูกอักเสบ) และถ้าหากลุก
ลามต่อไปในท่อรังไข่
ก็ทำให้กลายเป็นปีกมดลูกอักเสบ
ทั้ง 2
โรคนี้บางครั้งจึงอาจพบร่วมกันจน
แยกจากกันไม่ออก
และมักจะเรียกรวม ๆ กันว่า
"อุ้งเชิงกรานอักเสบ"
(Pelvic inflammatory disease/PID)
ซึ่งครอบคลุมถึงการอักเสบของเยื่อบุโพรงมดลูก
ท่อรังไข่
รังไข่
และเยื่อบุช่องท้องภายในอุ้งเชิงกราน
โรคนี้พบบ่อยในผู้หญิงที่มีสามีชอบเที่ยว
หรือมีเพศ
สัมพันธ์เสรี ภายหลังคลอดบุตร
แท้งบุตร ขูดมดลูก
ใส่ห่วงคุมกำเนิด
หรือชอบสวนล้างช่องคลอด
สาเหตุ
1. โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ที่พบบ่อยก็คือ หนองใน (208)
ที่ติดจากสามี
หรือผู้ชายที่มีประวัติ
ชอบเที่ยว
หรือมีเพศสัมพันธ์เสรี
(สำส่อนทางเพศ)
บางครั้งก็อาจเกิดจากเชื้อคลามีเดียทราโคมาติส
(Chlamydia trachomatis)
2. การติดเชื้อหลังคลอด (Puerperal infection)
อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีอยู่เป็นปกติวิสัยในช่อง
คลอด (เช่น เชื้อสเตรปโตค็อกคัส,
สแตฟฟีโลค็อกคัส)
ระหว่างคลอดมีปัจจัย (เช่น
ภาวะโลหิตจาง,
ภาวะถุงน้ำแตกรั่วอยู่นาน,
การคลอดยาก, การบาดเจ็บ,
ภาวะตกเลือดหลังคลอด, เศษรกค้าง,
ภาวะ
ครรภ์เป็นพิษ เป็นต้น)
กระตุ้นให้เชื้อเหล่านี้เจริญขึ้นจนเป็นโรค
หรือไม่ก็อาจแปดเปื้อนเชื้อจากภาย
นอกช่องคลอด
เข้าไปในช่องคลอดและมดลูก
ทำให้เกิดมดลูกอักเสบได้
มักเกิดมีอาการหลังคลอด 24
ชั่วโมง
3. การทำแท้ง
หากไม่สะอาดมักทำให้มีเชื้อโรคเข้าในมดลูก
เกิดการอักเสบขึ้นได้ เรียกว่า
การแท้ง
ติดเชื้อ (Septic abortion)
อาการ
มักมีอาการไข้สูง หนาวสั่น
ปวดท้องน้อย ตกขาวออกเป็นหนอง
มีกลิ่นเหม็น อาจมีอาการปวดหลัง
คลื่นไส้ อาเจียน
อาจมีประจำเดือนออกมาก
และมีกลิ่นเหม็น
ในรายที่เกิดจากการติดเชื้อหนองใน
อาจมีอาการขัดเบา
ปัสสาวะปวดแสบขัดร่วมด้วย
ถ้าเป็นการติดเชื้อหลังคลอด
มักเกิดหลังคลอด 24 ชั่วโมง
น้ำคาวปลาอาจออกน้อย
หรืออาจออกมาก
และมีกลิ่นเหม็น
ถ้าเกิดจากการทำแท้ง
จะมีอาการแบบแท้งบุตรร่วมด้วย
คือ ปวดบิดท้องเป็นพัก ๆ
และมีเลือดออกจากช่องคลอดร่วมด้วย
สิ่งตรวจพบ
ไข้สูง
กดเจ็บมากตรงบริเวณท้องน้อยทั้ง
2 ข้าง (บางรายอาจเจ็บข้างเดียว)
อาจได้กลิ่นของตกขาว
เลือดประจำเดือน หรือน้ำคาวปลา
อาจพบอาการซีด หรือภาวะช็อก
อาการแทรกซ้อน
อาจทำให้เกิดเป็นฝีในรังไข่
หรือท่อรังไข่
ซึ่งจะทำให้เป็นแผลเป็นจนกลายเป็นหมันได้
และมีโอกาส
เกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูก
มากกว่าปกติ
บางคนอาจมีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง
และเจ็บปวดเวลา
ร่วมเพศนอกจากนี้ในบางรายเชื้อโรคอาจลุกลาม
จนทำให้เกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบ
ถ้ารุนแรงอาจ
กลายเป็นโลหิตเป็นพิษ
ถึงตายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ถ้าเกิดจากการทำแท้ง
การรักษา
ผู้หญิงที่มีไข้สูง
ปวดและกดเจ็บตรงท้องน้อย
ควรส่งโรงพยาบาลด่วน
เพื่อตรวจหาสาเหตุด้วยการ
ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ,
นำหนองในช่องคลอดไปตรวจหาเชื้อ
รวมทั้งอาจทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ
(เช่น อัลตราซาวนด์) การรักษา
ผู้ป่วยอาจต้องพักรักษาในโรงพยาบาล
ให้การรักษาตามอาการ (เช่น
ให้น้ำเกลือ ให้เลือดถ้าซีด)
และให้ยาปฏิชีวนะตามเชื้อที่ก่อโรค
ในรายที่เป็นปีกมดลูกอักเสบเฉียบพลัน
จะให้ยาปฏิชีวนะที่สามารถครอบคลุมเชื้อหนองใน
และเชื้อ
คลามีเดีย ดังนี้
1. ผู้ป่วยที่รับไว้ในโรงพยาบาล
อาจให้ยาขนานใดขนานหนึ่งดังนี้
- ฉีด เซฟ็อกซิทิน(Cefoxitin) 2 กรัม
เข้าหลอดเลือดดำ ทุก 6 ชั่วโมง
ร่วมกับ ฉีดหรือกินดอกซีไซคลีน
100 มก. วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 48
ชั่วโมง
แล้วจึงให้กินดอกซีโซคลีน จนครบ
14 วัน
- ฉีด คลินดาไมซิน(Clindamycin) 900 มก.
เข้าหลอดเลือดดำ ทุก 8 ชั่วโมง
ร่วมกับ เจนตาไมซิน
(Gentamicin) ครั้งแรก 2 มก.
ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
แล้วตามด้วย ขนาด 1.5 มก.
ต่อน้ำหนักตัว
1 กิโลกรัม ทุก 8 ชั่วโมง เป็นเวลา
48 ชั่วโมง
หลังจากนั้นให้กินดอกซีโซคลีน 100
มก. วันละ 2 ครั้ง
จนครบ 14 วัน
2.
ในกรณีที่ไม่ต้องพักในโรงพยาบาล
ให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอก
โดยให้ยาขนานใดขนานหนึ่ง ดังนี้
- ฉีด เซฟ็อกซิทิน 2 กรัม หรือ
เซฟทริอะโซน (Ceftriaxone) 250 มก. เข้ากล้าม
ครั้งเดียว ร่วมกับ กิน
ดอกซีโซคลีน 100 มก. วันละ 2 ครั้ง
หรือ เตตราไซคลีน 500 มก. วันละ 4
ครั้ง หรือ อีริโทรไมซิน 500 มก.
วันละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 14 วัน
- กินโอฟล็อกซาซิน (Ofloxacin) 400 มก. วันละ 2
ครั้งนาน 14 วัน ร่วมกับ
คลินดาไมซิน 450 มก. วันละ
4 ครั้ง หรือ เมโทรไนดาโซล 500 มก.
วันละ 2 ครั้งนาน 14 วัน
ข้อแนะนำ
1. ผู้ป่วยควรงดการร่วมเพศนาน 3-4
สัปดาห์
2. ผู้ป่วยที่ใส่ห่วงคุมกำเนิด
ควรเอาห่วงออก
และแนะนำให้คุมกำเนิดโดยวิธีอื่นแทน
3. ถ้าเกิดจากเชื้อหนองใน
ต้องรักษาสามีพร้อมกันไปด้วย
4.
โรคนี้อาจแสดงอาการภายหลังการมีประจำเดือน
ซึ่งอาการมีไข้หลังมีประจำเดือน
ชาวบ้านนิยม
เรียกว่า "ไข้ทับระะดู"
(ถ้ามีประจำเดือนหลังไข้
เรียกว่า "ระดูทับไข้")
และมีความเชื่อว่า ห้ามฉีดยา
มิฉะนั้นอาจเป็นอันตรายได้
ความจริงแล้ว อาการ
"ไข้ทับระดู" หรือ
"ระดูทับไข้"
นั้นมีสาเหตุจากไข้อะไรก็ได้
(เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่
มาลาเรีย ไทฟอยด์ เป็นต้น)
แต่บังเอิญมาประจวบเหมาะกับการมีประจำเดือนเข้า
โดยไม่จำเป็นต้องมี
สาเหตุเกี่ยวข้องกับประจำเดือนแต่อย่างไร
แต่ที่อาจเกี่ยวข้องกับการมีประจำเดือน
ก็ได้แก่ ปีกมดลูก
อักเสบ
เข้าใจว่าคงเคยมีคนที่เป็นโรคนี้ไปฉีดยาประเภทเพนิซิลลิน
แล้วบังเอิญเกิดการแพ้ยาถึงตายขึ้น
มาก็ได้
การป้องกัน
การป้องกัน อาจทำได้โดย
1. ควรงดการร่วมเพศ
หรือสวนล้างช่องคลอดเป็นเวลาประมาณ
6 สัปดาห์ ภายหลังการคลอดบุตร
แท้งบุตร หรือ การขูดมดลูก
2.
สำหรับผู้ที่ไม่อยากได้บุตรในครรภ์
ไม่ควรทำแท้งกันเอง
หรือใช้เครื่องมือสกปรกในการทำแท้ง
เพราะ
อาจติดเชื้อรุนแรงถึงตายได้
ทางที่ดีควรขอคำแนะนำจากแพทย์โดยตรง
3.
ถ้าสงสัยว่าติดเชื้อหนองในจากสามี
ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
ก่อนที่จะลุกลามเป็นปีกมดลูกอักเสบ
รายละเอียด
ปีกมดลูกอักเสบ
อาจทำให้เป็นหมัน
หรือตั้งครรภ์นอกมดลูกได้

ลักษณะทั่วไป
ครรภ์ไข่ปลาอุก
เกิดจากรกในครรภ์มารดากลายเป็นเนื้องอกผิดปกติ
ส่วนมากจะเป็นเนื้องอก
ชนิดธรรมดา (benign tumor)
ที่ไม่มีอันตรายร้ายแรง
ส่วนน้อย (ประมาณ 2%)
ที่อาจกลายเป็น
เนื้อร้าย หรือมะเร็ง (chorio-carcinoma)
ที่อาจลุกลามและแพร่กระจายตามกระแสเลือด
ไปทั่ว
ร่างกาย
มักพบในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์เมื่ออายุน้อยกว่า
18 ปีหรือมากกว่า 40 ปี
อาการมักเกิดใน
ระยะแรก ๆ ของการตั้งครรภ์
บางครั้งอาจเกิดจากรกที่ค้างอยู่ในมดลูกหลังคลอดหรือแท้งบุตร
โรคนี้อาจพบได้เป็นครั้งคราว
ไม่บ่อยนัก
อาการ
อาการมักเกิดหลังตั้งครรภ์ใหม่
ๆ
พบว่าขนาดของมดลูกโตเร็วกว่าปกติ
(คลำได้ขนาดของมดลูกโต
กว่าอายุครรภ์ที่ควรจะเป็น)
นอกจากนี้ยังพบอาการเลือดออกกะปริดกะปรอยทางช่องคลอดคล้าย
กับแท้งบุตร ทารกในท้องไม่ดิ้น
และมีอาการแพ้ท้อง คือ
คลื่นไส้อาเจียนอย่างรุนแรงบางครั้ง
อาจมี
ชิ้นเนื้อลักษณะคล้ายไข่ปลาอุกหลุดออกมาทางช่องคลอด
ด้วยเหตุนี้ จึงเรียกโรคนี้ว่า
"ครรภ์ไข่ปลาอุก"
บางคนอาจมีเลือดออกนานเป็นสัปดาห์
หรือเป็นเดือนจนทำให้มีอาการซีด
อ่อนเพลีย ผู้ป่วยมักมี
อาการแสดงของภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกิน
(เช่น เหนื่อยง่าย ใจสั่น
ชีพจรเต้นเร็ว) ร่วมด้วย
เนื่องจากฮอร์โมนเอชซีจี
(ที่มีปริมาณสูง) จะมีฤทธิ์อ่อน ๆ
ในการกระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์ทำงานมาก
กว่าปกติ
อาการแทรกซ้อน
อาจมีการติดเชื้อภายในมดลูก
และกลายเป็นโลหิตเป็นพิษ
อาจมีการตกเลือดมาก
หรือครรภ์เป็นพิษ
ซึ่งจะพบก่อนอายุครรภ์ 5 เดือน
การรักษา
หากสงสัยควรส่งโรงพยาบาล
เพื่อตรวจ ฮอร์โมน เอช ซี จี (hCG)
ในเลือดและปัสสาวะซึ่งจะพบว่ามี
ขนาดสูงกว่าที่พบในการตั้งครรภ์ปกติ
และอาจต้องทำการตรวจพิเศษ เช่น
อัลตราซาวนด์ ถ้าเป็นโรค
นี้จริง อาจต้องทำการขูดมดลูก
หรือผ่าตัดมดลูกตามแต่สภาพของผู้ป่วย
ถ้าอายุมาก หรือมีบุตรเพียง
พอ อาจทำการผ่าตัดเอามดลูกออก
(ก่อนการดมยาผ่าตัด
ควรให้ยาปิดกั้นบีตา
ควบคุมอาการของ
ภาวะไทรอยด์ทำงานมากเกิน)
หลังจากนั้น ควรนัดมาตรวจระดับ
เอช ซี จี ในปัสสาวะ และเอกซเรย์
ปอดเป็นระยะ เป็นเวลาอย่างน้อย
2 ปี
เพื่อสังเกตว่าจะมีการกำเริบหรือกลายเป็นมะเร็งหรือไม่
ถ้ากลายเป็นมะเร็ง
ควรต้องผ่าตัดเอามดลูกออก
และให้ยารักษามะเร็ง เช่น
เมโทเทรกเซต
(Methotrexate) และ แอกติโนไมซิน ดี (Actinomycin D)
ซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดได้ประมาณ
75-85%
ข้อแนะนำ
โรคนี้ถึงแม้จะพบได้ไม่บ่อยนัก
แต่ถ้ามีอาการที่น่าสงสัย เช่น
มดลูกโตเร็ว
เลือดออกทางช่องคลอด
กะปริดกะปรอย
หรือแพ้ท้องรุนแรง
ควรส่งไปตรวจที่โรงพยาบาลให้แน่ใจ
และถ้าเป็นโรคนี้จริง
ควรแนะนำให้ผู้ป่วยรักษากับแพทย์ตามนัดอย่างต่อเนื่อง
ก็มีทางรักษาให้หายขาดได้
(ถึงแม้จะกลาย
เป็นมะเร็งก็ตาม)
แต่ถ้ากลายเป็นมะเร็งแล้วไม่ได้รักษาจริง
ๆ จัง ๆ ก็อาจแพร่กระจายไปทั่วตัว
เป็น
อันตรายถึงตายได้
รายละเอียด
หญิงตั้งครรภ์ที่ท้องโตเร็วหรือแพ้ท้องรุนแรง
อาจเป็นครรภ์ไข่ปลาอุก

ต่อมลูกหมากโต
Benign Prostatic hyperplasia |
ลักษณะทั่วไป
ผู้ชายเมื่อมีอายุมากกว่า 45
ปีขึ้นไป
ต่อมลูกหมากมักจะโตไม่มากก็น้อย
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลง
ตามสังขาร
ผู้ป่วยจะไม่มีอาการแสดงใด ๆ
ต่อเมื่อมีอายุมากกว่า 55 ปี
ขึ้นไป ผู้ชายบางคนอาจมี
ต่อมลูกหมากโตและแข็ง
กดท่อปัสสาวะได้
และกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะไม่แข็งแรงพอจะบีบ
ต้านแรงกดของต่อมลูกหมาก
จึงทำให้เกิดมีอาการอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะ
โรคนี้อาจพบได้
ประมาณ 10% ของผู้ชายสูงอาย
อาการ
ผู้ป่วยจะมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก
ต้องออกแรงเบ่ง
ปัสสาวะพุ่งไม่แรง
ผู้ป่วยจะมีความรู้สีกต้อง
ถ่ายปัสสาวะบ่อยครั้ง
(ตอนกลางคืนต้องลุกขึ้นถ่ายบ่อย)
แต่ละครั้งออกได้ทีละน้อย
บางครั้งอาจ
ถ่ายออกเป็นเลือด
หรืออาจมีอาการขัดเบาจากกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
ผู้ป่วยมักมีอาการถ่าย
ปัสสาวะลำบากดังกล่าวอยู่เป็นแรมปี
จนในที่สุด
จะมีอาการถ่ายปัสสาวะไม่ออกเลย
เนื่องจากท่อ
ปัสสาวะถูกต่อมลูกหมากกดจนอุดตัน
ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดตึงที่ท้องน้อย
และคลำได้ก้อนของกระเพาะ
ปัสสาวะที่มีปัสสาวะคั่งอยู่เต็ม
อาการแทรกซ้อน
อาจทำให้เป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
กรวยไตอักเสบ หรือภาวะไตวาย
การรักษา
หากสงสัยควรส่งโรงพยาบาล
การใช้นิ้วมือตรวจทางทวารหนัก
อาจคลำได้ต่อมลูกหมากที่โต
อาจต้องทำการเอกซเรย์
ใช้เครื่องมือส่องตรวจกระเพาะปัสสาวะ
ดังที่เรียกว่า ซิสโตสโคป
(Cystoscope) อาจต้องตรวจปัสสาวะ
และตรวจเลือดดูการทำงานของไต
เพื่อค้นหาภาวะ
แทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
ถ้าถ่ายปัสสาวะไม่ออก
อาจต้องใช้สายยางสวนเป็นครั้งคราว
ในรายที่เริ่มเป็นระยะแรก
หรือเป็นมาก
แต่อยู่ระหว่างรอผ่าตัด
หรือมีข้อห้ามในการผ่าตัด
อาจให้
ยากลุ่มยับยั้งแอลฟา (alpha-blockers)
เช่น พราโซซิน (Prazosin) 1-4 มก. วันละ 2
ครั้ง, หรือ
เทราโซซิน (Terazosin) 1-5 มก.ก่อนนอน หรือ
ฟีน็อกซีเบนซามีน (Phenoxybenzamine) 5-20 มก.
ก่อนนอน
ยานี้ช่วยให้ถ่ายปัสสาวะคล่องขึ้น
แต่ไม่ได้ทำให้ต่อมลูกหมากเล็กลง
หรืออาจให้ยา
กลุ่มยับยั้งแอลฟารีดักเทส
(alpha-reductase inhibitors) เช่น ไฟนาสเตไรด์ (Finasteride)
ยานี้ทำให้ขนาดของต่อมลูกหมากเล็กลงประมาณ
30% แต่ถ้าหยุดยา
ก็จะเริ่มโตขึ้นใหม่
ในบางราย อาจใช้วิธีรักษาด้วย
แสงเลเซอร์หรือไมโครเวฟ
ทำให้เกิดความร้อนบริเวณต่อมหมวกไต
จนเนื้อส่วนนั้นตาย (coagulation necrosis)
ต่อมลูกหมากก็จะฝ่อลง
ทำให้ปัสสาวะคล่องขึ้น
วิธีเหล่านี้
จะใช้ได้ผลกับผู้ป่วยบางคนเท่านั้น
บางคนก็อาจไม่ได้ผลถ้าต่อมลูกหมากโตมาก
หรือ
ใช้วิธีดังกล่าวไม่ได้ผล
ก็จะรักษาด้วยการผ่าตัด
โดยการใช้กล้องส่องผ่านท่อปัสสาวะ
ที่เรียกว่า
"ทียูอาร์" (TUR/Transurethal resection)
ซึ่งจะช่วยให้หายขาดได้
ข้อแนะนำ
1.
ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาแอนติสปาสโมดิก
, ยากระตุ้นประสาทอัตโนมัติ
(sympathomimatic)
เพราะอาจทำให้ปัสสาวะไม่ออกได้
2. โรคนี้เป็นภาวะที่ไม่รุนแรง
และมีทางรักษาให้หายได้ด้วยการผ่าตัด
แต่ถ้าปล่อยไว้ อาจมีภาวะ
แทรกซ้อนอันตรายร้ายแรงได้
3.
อาการถ่ายปัสสาวะลำบากในผู้ชายสูงอายุ
อาจมีสาเหตุจากโรคมะเร็งของต่อมลูกหมาก
หรือมะเร็งของกระเพาะปัสสาวะได้
ซึ่งบางครั้งอาจแยกอาการจากต่อมลูกหมากโตไม่ออก
ดังนั้น
ทางที่ดี
ควรแนะนำให้ผู้ชายสูงอายุที่มีอาการปัสสาวะลำบากไปตรวจที่โรงพยาบาลทุกราย
รายละเอียด
ผู้ชายสูงอายุ
ที่มีอาการปัสสาวะลำบากควรปรึกษาแพทย์
อาจเป็นต่อมลูกหมากโต
หรือสาเหตุอื่นได้


ThaiL@bOnLine - CRYSTAL DIAGNOSTICS
E-mail :
|