สาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพ        การตรวจวินิจฉัยโรคทางห้องแล็ป ตั้งแต่การได้รับตัวอย่าง เลือด/ ปัสสาวะ/ สารคัดหลั่งต่างๆ วิธีการทดสอบไปจนถึงการแปลผล
อาการและปัญหาของโรคภัยไข้เจ็บ       การดูแลป้องกันโรคติดต่อ        สรีระร่างกายของเรา       ชมรมเรารักสุขภาพมาช่วยกันดูแลสุขภาพกัน       สุขอนามัย

cdlogo.gif (7928 bytes)
Healthcare & Diagnostic

winshop.jpg (4697 bytes)
HealthShop l ช็อปปิ้งเพื่อสุขภาพ


สนใจรับข่าวสารสุขภาพใหม่ๆ 
พร้อมประโยชน์อื่นๆ เชิญสมัครฟรี !

Home ] Up ] Endocrine ] Muscle/Skeleton ] Cardio ] Skin/Dermal ] Digestive ] Kidney/Urinary ] [ Tumor/CA ] Infectious ] CBC ] Sexual ] Respiratory ] Brain ] Accident ] HIV ] TropicalParasite ] BabyDisease ] Mental ]
ban3.jpg (13652 bytes)

 

TOP                      banner7.gif (48569 bytes)

มะเร็งหรือเนื้อร้าย
CANCER

สารบ่งชี้โรคมะเร็ง
(Tumor Markers)

มะเร็งต่อมลูกหมาก
Prostatic Specific Antigen

 

bar5.jpg (6486 bytes)











  มะเร็งหรือเนื้อร้าย CANCER

ลักษณะทั่วไป
มะเร็งหรือเนื้อร้าย คือ เนื้องอกชนิดร้ายที่กลายมาจากเนื้อเยื่อปกติของร่างกาย มีการเจริญ
เติบโตและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว อยู่นอกเหนือการควบคุมของร่างกาย    และมีโทษต่อ
ร่างกาย ในปัจจุบันมะเร็งเป็นสาเหตุการตายในอันดับแรก ๆ ของคนไทย ที่พบบ่อยในบ้านเรา
ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งผิวหนัง มะเร็งในช่องปาก
พบมากในคนอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป แต่ก็อาจพบในเด็ก และคนหนุ่มสาวได้

สาเหตุ
ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่ามีปัจจัยหลายๆ อย่างร่วมกัน ซึ่งพอจะแบ่งเป็น 2 พวกใหญ่ ๆ
1. ปัจจัยภายในร่างกาย เช่น
- ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- เชื้อชาติ ชาวญี่ปุ่นเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารมาก ชาวจีนเป็นมะเร็งของโพรงหลังจมูก และ
หลอดอาหารมาก
- เพศ มะเร็งตับ มะเร็งปอด พบมากในผู้ชาย มะเร็งของเต้านม มะเร็งผิวหนัง พบมากในผู้หญิง
- อายุ มะเร็งของลูกตา (Retinoblastoma) มะเร็งของไต พบมากในเด็ก
- กรรมพันธุ์ มะเร็งเต้านมบางชนิด มะเร็งของต่อมไทรอยด์บางชนิด มะเร็งกระเพาะอาหาร
มะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้ใหญ่ พบว่า มีความสัมพันธ์กับกรรมพันธุ์ เป็นต้น
2. ปัจจัยภายนอกร่างกาย ได้แก่
2.1 สารกายภาพต่างๆ ได้แก่ การระคายเคืองเรื้อรัง เช่น
- ฟันปลอมที่ไม่กระชับ เวลาเคี้ยวอาหารจะมีการเสียดสีกับเหงือกหรือเพดานปาก อาจทำให้
เกิดมะเร็งของเหงือก หรือเพดานปากได้
- การกินอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มร้อนจัดเป็นประจำ อาจจะมีการระคายบริเวณหลอดอาหาร
อาจทำให้เป็นมะเร็งของหลอดอาหารได้
- รังสีต่างๆ ถ้าร่างกายได้รับเป็นระยะนาน ๆ ก็อาจเกิดมะเร็งอวัยวะต่าง ๆ ได้
- แสงอัลตราไวโอเลต อาจทำให้เป็นมะเร็งของผิวหนัง และริมฝีปาก ถ้าถูกแดดจัด ๆ เป็นระยะ
นาน ๆ

2.2 สารเคมี ในปัจจุบันพบสารก่อมะเร็ง (carcinogen) มากกว่า 450 ชนิด อยู่ในรูปของอาหาร
พืช และสารเคมีต่าง ๆ เช่น
- สารหนู อาจทำให้เป็นมะเร็งของผิวหนัง
- บุหรี่ มีสารเบ็นซ์ไพรีน (benzpyrine) ที่เรียกว่า "ทาร์" หรือ "น้ำมันดิน" และสารเคมีพวก
อะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (aromatic hydrocarbon) ทำให้เกิดมะเร็งปอด ช่องปาก ลำคอ
กล่องเสียง หลอดอาหาร ตับอ่อน ปากมดลูก กระเพาะปัสสาวะได้
- แอลกอฮอล์ ทำให้เกิดมะเร็งช่องปาก ลำคอ กล่องเสียง ตับ หลอดอาหาร ลำไส้ใหญ่ เต้านม
- เบนซีน ทำให้เกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว
- การเคี้ยวหมากหรือการจุกยาฉุน นอกจากจะมีการระคายเรื้อรังแล้ว ยังมีสารเคมีที่ทำให้เป็น
มะเร็งของช่องปากได้
- สารไนโตรซามีน (nitrosamine) ในอาหาร ทำให้เกิดมะเร็งของตับ กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่
- ดีดีที เมื่อเข้าในร่างกาย อาจเปลี่ยนเป็นสารไดไนโตรซามีน ซึ่งมีฤทธิ์เหมือนไนโตรซามีน

2.3 ฮอร์โมน ฮอร์โมนเอสโตรเจน มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งช่องคลอด และโพรงมดลูก
ฮอร์โมนแอนโดรเจน มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก
2.4 การติดเชื้อ เช่น
- การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี และซี มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งตับ
- การติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV/Human papilloma virus) มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็ง
ปากมดลูก มะเร็งกล่องเสียง หรือทอนซิล
- การติดเชื้อไวรัสเอชทีแอลวี-1 (HTLV-1/Human T-cell leukemia virus)   
มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
- การติดเชื้อไวรัสอีบีวี (EBV/Epstein-Bar virus) สัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ชนิด
เบอร์กิต (Burkitt's lymphoma) และมะเร็งโพรงหลังจมูก
- การติดเชื้อเอชไอวี (เอดส์) มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง, มะเร็งของหลอดเลือด
ที่เรียกว่า Kaposi sarcoma
- การติดเชื้อ เอชไพโลไร (H. pylori/Helicobacter pylori) มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็ง
กระเพาะอาหาร
2.5 สารพิษ เช่น อะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin) จากเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหาร ทำให้เกิดมะเร็งของตับ
2.6 พยาธิ เช่น พยาธิใบไม้ตับ ทำให้เกิดมะเร็งของตับ
2.7 อาหาร
- ภาวะขาดอาหาร เช่น โรคตับแข็ง ซึ่งเกิดจากการขาดสารโปรตีน จะกลายเป็นมะเร็งตับได้ง่าย
- การบริโภคอาหารพวกไขมันมาก อาจสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งเต้านม ลำไส้ใหญ่ รังไข่ ต่อม
ลูกหมาก มดลูก และตับอ่อน
- การบริโภคผักและผลไม้ วันละ 400-800 กรัม ช่วยลดการเกิดมะเร็งช่องปาก ลำคอ หลอดอาหาร
กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่ ตับอ่อน เต้านม และกระเพาะปัสสาวะ

อาการ
ในระยะแรกมักจะไม่ปรากฏอาการ ต่อมาเมื่อเป็นมากขึ้น (อาจนานเป็นเดือน เป็นปี) จะมีอาการ
ทั่วไป (พบร่วมกันในมะเร็งทุกชนิด) คือ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว อาจมีไข้
เรื้อรัง ท้องอืดเฟ้อ คลื่นไส้อาเจียน ซีด เป็นลม ใจหวิว คล้ายหิวข้าวบ่อย
ส่วนอาการเฉพาะของแต่ละโรค (ซึ่งมักเกิดขึ้นก่อนจะมีอาการทั่วไป) เกิดจากก้อนมะเร็งไปกด
เบียดหรือทำลายอวัยวะที่เป็น พอจะสรุปได้ดังนี้
1. มะเร็งผิวหนัง ส่วนมากจะเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงของไฝ ปาน หรือ จุดตกกระในคนแก่ โดยมี
อาการคันแตกเป็นแผล เรื้อรังไม่ยอมหาย โดยไม่มีอาการเจ็บปวด ต่อมาแผลโตขึ้นเร็วและมีเลือด
ออก มีสาเหตุสัมพันธ์กับการถูกแสงแดด (แสงอัลตราไวโอเลต) การกินยาที่เข้าสารหนู หรือน้ำมันดิน
ที่มีผสมอยู่ในยาจีนยาไทย การสัมผัสถูกสารหนู หรือน้ำมันดิน การระคายเรื้อรังต่อไฝ ปานหรือหูด
ที่มีอยู่ก่อน
2. มะเร็งในช่องปาก จะมีก้อนหรือแผลเรื้อรังเกิดขึ้นที่ริมฝีปาก เยื่อบุช่องปาก ลิ้น โดยเริ่มจากฝ้า
ขาวๆที่เรียกว่า ลิวโคพลาเคีย (Leukoplakia) มีสาเหตุสัมพันธ์กับการระคายเรื้อรัง เช่น กินหมาก 
จุกยาฉุน ฟันเกหรือใส่ฟันปลอมไม่กระชับ ดื่มเหล้าเข้มข้น (ไม่ผสมเจือจาง) สูบบุหรี่
3. มะเร็งที่จมูกและโพรงหลังจมูก มีอาการเลือดออกทางจมูก หน้าชา คัดจมูก ปวดศีรษะ
 ต่อมาอาจมีเลือดปนน้ำเหลืองออกทางจมูก หูอื้อ กลืนไม่ได้ ตาเข ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต มะเร็งที่
โพรงหลังจมูก มีสาเหตุสัมพันธ์กับการดื่มเหล้าเข้มข้น สูบบุหรี่ การติดเชื้อไวรัสอีบีวี (EBV)
4. มะเร็งที่กล่องเสียง มีอาการเสียงแหบเรื้อรังและอาจมีอาการเจ็บคอ เวลากลืนเหมือนมีก้างติดคอ
ต่อมามีเลือดออกปนกับเสมหะ มีสาเหตุสัมพันธ์กับการดื่มเหล้าเข้มข้น การสูบบุหรี่จัด การติดเชื้อ
ไวรัสเอชพีวี
5. มะเร็งปอด มีอาการไอเรื้อรัง น้ำหนักลด ไอออกเป็นเลือดปนเสมหะ มีสาเหตุสัมพันธ์กับการ
สูบบุหรี่ การสูดควันดำจากท่อไอเสียรถ เขม่าจากโรงงาน สารใยหิน (asbestos) หรือฝุ่นนิกเกิล
6. มะเร็งหลอดอาหาร เริ่มแรกอาจรู้สึกเจ็บเวลากลืนอาหาร ต่อมากลืนข้าวสวยไม่ได้ ต่อมากลืน
ข้าวต้มไม่ได้ จนในที่สุดกลืนได้แต่ของน้ำ ๆ หรือ กลืนอะไรก็ไม่ลงเลย พบมากในผู้ชาย มีสาเหตุ
สัมพันธ์กับการกินอาหาร และดื่มของร้อน ๆ (เช่น น้ำชาร้อน ๆ), การดื่มเหล้าเข้มข้น, การสูบบุหรี่,
 ภาวะขาดวิตามินเอ เป็นต้น
7. มะเร็งกระเพาะอาหาร มีอาการท้องอืด แน่นท้องอยู่เรื่อย เบื่ออาหาร ต่อมาอาจมีอาเจียน คลำก้อน
ได้ที่ใต้ชายโครงซ้าย น้ำหนักลด ซีด อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ มีสาเหตุสัมพันธ์กับการเป็น
โรคกระเพาะอาหารอักเสบ จากเชื้อเอชไพโลไร (H. pylori) แบบเรื้อรัง, การกินอาหารที่มีสารไนเทรต
หรือไนโตรซามีน, อาหารเค็มหรืออาหารหมักเกลือ, อาหารประเภทรมควัน, กรรมพันธุ์, การมีประวัติ
การผ่าตัดกระเพาะอาหาร เป็นต้น
8. มะเร็งตับอ่อน เริ่มแรกอาจมีอาการท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ต่อมามีอาการปวดท้อง และปวดหลัง
ดีซ่าน ถ่ายอุจจาระสีซีดขาว เบื่ออาหาร น้ำหนักลด มีสาเหตุสัมพันธ์กับการสูบบุหรี่ สารไนโตรซามีน
สารไฮโดรคาร์บอน การกินอาหารพวกไขมันและโปรตีนสูง และอาจมีสัมพันธ์กับกรรมพันธุ์
9. มะเร็งลำไส้เล็ก มักมีอาการปวดท้อง ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด หรือถ่ายดำ น้ำหนักลด เป็นไข้ หรือมี
ภาวะลำไส้อุดตัน (ปวดท้องรุนแรง อาเจียน) บางรายอาจมีอาการดีซ่าน ถ่ายอุจจาระสีซีดขาว
 อาจคลำได้ก้อนในช่องท้อง อาจมีสาเหตุสัมพันธ์กับการเป็นลำไส้เล็กอักเสบเรื้อรัง
10. มะเร็งลำไส้ใหญ่ มีอาการท้องผูกสลับกับท้องเดินแบบเรื้อรัง หรือถ่ายเป็นเลือด หรือมูกปนเลือด
เรื้อรัง ปวดท้อง ปวดหลัง ซีด น้ำหนักลด มีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคนี้ เช่น ภาวะโคเลสเตอรอลใน
เลือดสูง, การกินอาหารที่มีกากใยน้อย แต่กินพวกไขมันมาก, ประวัติการเป็นมะเร็งในญาติพี่น้อง 
เป็นต้น
11. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง จะมีต่อมน้ำเหลืองโตเป็นก้อนที่บริเวณคอ รักแร้ และขาหนีบ อาจมีไข้เรื้อรัง
 มีสาเหตุสัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัส เอชทีแอลวี-1, เชื้ออีบีวี, เอดส์, การได้รับยาเคมีบำบัด หรือรังสี
บำบัดมาก่อน เป็นต้น
12. มะเร็งเต้านม คลำได้ก้อนที่เต้านม หัวนมบุ๋ม (เดิมเป็นปกติ เพิ่งมาบุ๋มตอนหลัง) หรือมีน้ำเหลือง
หรือเลือดออกทางหัวนม ต่อมาจะมีต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ข้างเดียวกันโต ผู้หญิงที่เสี่ยงต่อการเป็น
โรคนี้ เช่น ผู้หญิงที่มีมารดาเป็นมะเร็งเต้านม ก่อนวัยหมดประจำเดือน หรือมีญาติพี่น้องเป็นโรคนี้
หลังวัยประจำเดือน, ผู้หญิงเกิน 50 ปี ที่ยังไม่มีบุตร, ผู้หญิงที่มีบุตรคนแรก เมื่ออายุเกิน 30 ปี, ผู้หญิง
ที่มีประวัติเป็นโรคเต้านมเรื้อรัง, คนอ้วน, ผู้ที่สัมผัสถูกรังสี หรือดื่มเหล้า
13. มะเร็งปากมดลูก มีเลือดออกเวลาร่วมเพศ มีเลือดออกกะปริดกะปรอยทางช่องคลอด หรือมี
ตกขาวเรื้อรัง มีสาเหตุสัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชพีวี (HPV/Human papilloma virus) ของปากมดลูก
ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ร่วมกับปัจจัยเสริมอื่น ๆ เช่น การกินยาเม็ดคุมกำเนิด การสูบบุหรี่
เป็นต้น โรคนี้พบมากในผู้หญิงที่เริ่มมีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อย มีสามีหลายคน หรือมีสามีสำส่อน
ทางเพศ และในหญิงบริการ
14. มะเร็งอัณฑะ พบมีก้อนแข็งที่ถุงอัณฑะ และโตขึ้นเรื่อย ๆ บางครั้งอาจมีอาการปวดร่วมด้วย 
สาเหตุ ยังไม่ทราบ พบว่า ผู้ที่มีอัณฑะไม่เลื่อนลงถุงอัณฑะ ซึ่งเป็นมาแต่กำเนิด อาจค้างอยู่ในช่อง
ท้อง หรือขาหนีบ มีโอกาสเป็นมะเร็งอัณฑะมากขึ้น
15. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มีอาการปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะขัดและบ่อย มีสาเหตุสัมพันธ์กับการ
สูบบุหรี่ การสัมผัสถูกสารอะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (aromatic hydrocarbon) ที่เป็นสารประกอบ
ของสีที่ใช้ทางอุตสาหกรรม, การกินอาหารพวกเนื้อปิ้ง ย่าง และไขมันมาก
16. มะเร็งต่อมลูกหมาก มักไม่มีอาการแสดง จนกระทั่งแพร่กระจายไปยังอวัยวะข้างเคียง ทำให้มี
อาการขัดเบา ปัสสาวะลำบาก หรือ ปัสสาวะไม่ออก ปัสสาวะเป็นเลือด ปวดหลังหรือปวดสะโพก
น้ำหนักลด มักพบในคนอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป มีสาเหตุสัมพันธ์กับฮอร์โมนแอนโดรเจน และพบว่า
ผู้ที่มีประวัติญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ หรือเคยทำหมันชาย มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้สูงขึ้น
17. มะเร็งกระดูก มีอาการข้อบวม กระดูกบวม บางครั้งพบหลังเกิดอุบัติเหตุ ทำให้เข้าใจว่าเป็น
กระดูกหักได้
18. มะเร็งของลูกตาในเด็ก (Retemoblastoma) นัยน์ตาดำของเด็กมีสีขาววาวคล้ายตาแมว
เด็กจะบ่นว่าตาข้างนั้นมัว หรือมองอะไรไม่เห็น เมื่อเป็นมากขึ้น ตาจะเริ่มปูดโปนออกมานอกเบ้าตา
19. มะเร็งรังไข่หรือไต มีอาการมีก้อนในท้อง ท้องมาน ส่วนมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งตับ มะเร็งใน
สมอง จะมีอาการแบบเดียวกับเนื้องอกในสมอง มะเร็งต่อมไทรอยด์

การรักษา
หากสงสัย โดยเฉพาะคนที่มีอาการไข้เรื้อรังเป็นแรมเดือน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดโดยไม่พบ
อาการที่ชัดเจนอื่นๆ หรือมีอาการเข้าได้กับสัญญาณอันตรายประการใดประการหนึ่ง* ควรส่งไปตรวจ
รักษาที่โรงพยาบาล เพื่อทำการตรวจพิเศษ เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจอุจจาระ เอกซเรย์
ทำสะแกน (scan) ตัดชิ้นเนื้อพิสูจน์ (biopsy) และให้การรักษาด้วยการผ่าตัด, ฉายรังสี (รังสีบำบัด),
หรือให้ยารักษามะเร็ง (เคมีบำบัด) หรือปลูกถ่ายอวัยวะ (เช่น ไขกระดูก)
ผลการรักษา ขึ้นกับชนิดของมะเร็ง ระยะความรุนแรงของโรค และสภาพของผู้ป่วย (ความร่วมมือใน
การรักษา, การปฏิบัติตน, ความแข็งแรงขะงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย, กำลังใจ เป็นต้น)
มะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม, มะเร็งปากมดลูก, มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ, มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
บางชนิด, มะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด, มะเร็งในช่องปาก, มะเร็งลำไส้ใหญ่, มะเร็งโพรงหลังจมูก,
มะเร็งต่อมไทรอยด์ เป็นต้น ถ้าหากได้รับการรักษาตั้งแต่แรก อาจมีชีวิตอยู่ได้นาน หรืออาจหายขาด
ได้ส่วนมะเร็งตับหรือปอดมักอยู่ได้ไม่นาน เฉลี่ยประมาณ 6-12 เดือน


*สัญญาณอันตราย 7 ประการ
อาการของมะเร็งในระยะเริ่มแรก อาจสรุปได้ 7 ประการได้แก่
1.การเป็นแผลที่ไม่รู้จักหาย (ปกติควรจะหายภายใน 2 สัปดาห์)
2.การมีตุ่ม ไต ก้อนแข็ง เกิดขึ้นในที่ซึ่งปกติไม่ควรมี โดยเฉพาะบริเวณเต้านม ในช่องท้อง บริเวณ
คอ รักแร้ ขาหนีบ
3.มีอาการผิดปกติเรื้อรังของระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ กลืนอาหารไม่ลง ท้องผูก
สลับ กับท้องเสียอยู่เรื่อย ถ่ายเป็นมูกปนเลือดเรื้อรัง
4.มีอาการไอเรื้อรัง หรือเสียงแหบแห้งอยู่นาน
5.มีการเปลี่ยนแปลงของหูด ไฝ ปาน ที่เคยมีอยู่ก่อน เช่น วันดีคืนดี ก็มีอาการคันเกาแตกเป็นแผล
6.มีอาการผิดปกติของประจำเดือนในผู้หญิง เช่น มีประจำเดือนกะปริดกะปรอย
7.มีน้ำเหลืองหรือเลือด หรือสิ่งผิดปกติอื่น ๆ ออกจากตา หู จมูก เต้านม ช่องคลอด ทวารหนัก

ข้อแนะนำ
1. การรักษาโรคนี้ผู้ป่วยจำต้องมีความอดทน และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ อย่าเชื่อชาวบ้าน
ด้วยกันอย่างผิด ๆ อย่าเปลี่ยนหมอเปลี่ยนโรงพยาบาลบ่อย และอย่าหันไปพี่งยาหม้อหรือไสยศาสตร์
แทนการแพทย์แผนปัจจุบัน วิธีการดังกล่าวอาจช่วยให้เกิดกำลังใจดีขึ้น แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่า
จะรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้
2. ทั้งผู้ป่วยและญาติ ควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจ ด้วยการยอมรับความจริง, ทำใจให้อยู่กับปัจจุบัน
และใช้เวลาปัจจุบันให้มีคุณค่าที่สุด, ระหว่างการรักษากับแพทย์และยังสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้
ดี ก็ทำหน้าที่การงานที่รับผิดชอบให้ดีที่สุด, หาโอกาสช่วยเหลือผู้อื่น, ทำสมาธิ หรือเจริญสติ
สวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ, เจริญมรณสติ และเตรียมพร้อมที่จะเผชิญวาระสุดท้ายของ
ชีวิต, หาทางเข้ากลุ่ม พูดคุยปรับทุกข์ และให้กำลังใจร่วมกันกับผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งด้วยกัน (เช่น การ
เข้า กลุ่มหรือชมรมช่วยเพื่อน)
3. มะเร็งเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ ถ้าตรวจพบและรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มแรกที่เป็น
ดังนั้นจึงควรแนะนำให้ประชาชนทั่วไปทราบถึง " สัญญาณอันตราย 7 ประการ" ของโรคนี้ หากสงสัย
ควรปรึกษาแพทย์เสียแต่เนิ่น ๆ เมื่อแพทย์ตรวจแล้วว่าไม่เป็นมะเร็ง ก็สบายใจได้อย่าได้วิตกกังวล
จนเกินเหตุ
4. ถึงแม้จะไม่มีอาการผิดปกติ ก็ควรหมั่นปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจเช็กมะเร็งในระยะเริ่มแรก (ก่อน
ปรากฏอาการ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เคยมีญาติพี่น้องเป็นมะเร็ง ตามแนวทางดังนี้
4.1 ทั้งชาย และหญิง
- อายุ 50 ปีขึ้นไป ควรตรวจมะเร็งทวารหนักด้วยวิธีส่องกล้อง (sigmoidoscope) ทุก 3-5 ปี และ
ตรวจอุจจาระดูว่า มีเลือดออกหรือไม่ โดยวิธีที่เรียกว่า "Occult blood test" ทุกปี
- อายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจมะเร็งทวารหนัก ด้วยการใช้นิ้วตรวจภายในทวารหนัก (digital rectal
examination) ทุกปี
4.2 เฉพาะผู้ชาย อายุ 50 ปีขึ้นไป ควรตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมาก ด้วยการใช้นิ้วตรวจภายใน
ทวารหนัก และตรวจเลือดหาสารพีเอสเอ (PSA/Prostate-specific antigen)
4.3 เฉพาะผู้หญิง
- อายุ 18 ปีขึ้นไป ทั้งโสดและแต่งงานแล้ว หรืออายุต่ำกว่านี้ที่มีเพศสัมพันธ์บ่อย (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
อายุ 35-60 ปี ที่แต่งงานแล้ว) ควรตรวจหามะเร็งปากมดลูกระยะเริ่มแรก ด้วยวิธีแพ็ปสเมียร์ (Pap smear/Papanicolaou test) ปีละครั้ง ติดต่อกันอย่างน้อย 3 ครั้ง เมื่อพบว่าปกติ ก็เว้นไปตรวจทุก
3-5 ปี หรือตามคำแนะนำของแพทย์
- อายุ 20 ปีขึ้นไป ควรตรวจเต้านมด้วยตนเอง ทุกเดือน
- อายุ 20-40 ปี ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเต้านมทุก 3 ปี และอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจปีละครั้ง
- อายุ 40-50 ปี ควรตรวจหามะเร็งเต้านมระยะเริ่มแรก ด้วยการถ่ายภาพรังสี ที่เรียกว่า แมมโมกราฟี
(mammography) ทุก 1-2 ปี และอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรตรวจทุกปี  

การป้องกัน
การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันมะเร็ง
1. พยายามรักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยการออกกำลังกายเป็นประจำ, พักผ่อนให้เพียงพอ,
หาทางผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่าง ๆ อย่าอยู่ในที่ ๆ อากาศไม่บริสุทธิ์ งดสิ่งเสพติด เช่น เหล้า
บุหรี่ หมากพลู ยาฉุน, รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑฑ์ปกติ โดยคิดจากดัชนีความหนาของร่างกาย
(BMI/Body mass index) ตามสูตรดังนี้

ดัชนีความหนาของร่างกาย = น้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม หารด้วย ส่วนสูง(เป็นเมตร) ยกกำลังสอง

ปกติจะอยู่ในช่วง 20-24.9 กก./ตารางเมตร ถ้าต่ำกว่า 20 แสดงว่าน้ำหนักน้อยเกินไป ถ้ามากกว่า
24.9 ก็แสดงว่าน้ำหนักมากเกินไป
2. อย่ากินอาหาร หรือดื่มเครื่องดื่มที่ร้อน ๆ
3. อย่ากินอาหารดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ (โดยเฉพาะปลาน้ำจืดดิบ) หรืออาหารที่มีเชื้อรา (เช่น ถั่วลิสงบด
พริกแห้ง หัวหอม กระเทียมที่ขึ้นรา)
4. พยายามหลีกเลี่ยงอาหารโปรตีนหมัก เช่น ปลาร้า ปลาส้ม หมูส้ม แหนม หรือ เนื้อสัตว์ ที่หมักโดย
ผสมดินประสิว (เช่น เนื้อเค็ม กุนเชียง ไส้กรอก แฮม) ถ้าจะกินควรทำให้สุกเพื่อทำลายสารไนโตร
ซามีนเสียก่อน
5. พยายามอย่ากินอาหาร หรือขนมที่ใส่สีย้อมผ้า (ซึ่งทำให้ดูสีสดใสน่ากิน) หรืออาหารที่มียาฆ่า
แมลงเจือปนโดยเฉพาะ ดีดีที หรือยาที่เข้าสารหนู
6. ลดอาหารที่มีไขมัน (เช่น มันสัตว์, ของทอด, ของผัดน้ำมัน, อาหารใส่กะทิ) และจำกัดการกิน
น้ำตาล และของหวาน อย่าให้น้ำหนักตัวมากเกินเกณฑ์ปกติ
ส่วนเนื้อสัตว์ใหญ่ (เช่น หมู วัว ควาย แกะ) ควรกินไม่เกินวันละ 80 กรัม (3 ออนซ์) ควรเลือกกินปลา
และเนื้อสัตว์เล็กแทนสัตว์ใหญ่ ทางที่ดีควรกินสารโปรตีนจากถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง
(เช่น เต้าหู้ เนื้อเทียม) แทนเนื้อสัตว์
7. กินผัก (เช่น ผักใบเขียว ผักกะกล่ำ ดอกกะหล่ำ ผักคะน้า เป็นต้น), ผลไม้ (เช่น ฝรั่ง แอปเปิล มะละกอ
องุ่น ฟักทอง มะเขือเทศ ส้ม เป็นต้น, เมล็ดธัญพืช (เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโพด ข้าวฟ่าง งา ลูกเดือย ถั่ว
ต่าง ๆ เป็นต้น) หัวพืชต่าง ๆ (เช่น เผือก มัน แครอต หัวไช้เท้า เป็นต้น) และพวกกล้วยให้มาก ๆ ทุกวัน
อาหารเหล่านี้จะมีสารที่ช่วยป้องกันมะเร็ง เช่น กากใย, สารฟีนอล (phenol), สารฟลาโวน (flavones)
สารแคโรทีน (carotene) เป็นต้น
ผักและผลไม้ควรกินวันละ 400-800 กรัม (15-30 ออนซ์) หรือ 5 ส่วนหรือมากกว่า กินให้มากและหลาก
หลายตลอดทั้งปี (1 ส่วนเท่ากับผักสด 1 ถ้วยตวงขนาด 250 มล. หรือผักสุกครึ่งถ้วยตวง หรือผลไม้
1 ผล หรือผลไม้หั่นครึ่งถ้วยตวง) ส่วนเมล็ดธัญพืช หัวพืชต่าง ๆ และพวกกล้วย ควรกินวันละ 600-800
กรัม (20-30 ออนซ์) หรือ 7 ส่วนหรือมากกว่า พยายามกินอาหารที่ไม่ผ่านกระบวนการแปรรูป
8. ลดการกินอาหารของรมควัน ย่าง หรือของทอดจนเกรียม (เพราะมีสารก่อมะเร็ง)
9. จำกัดการกินเกลือและอาหารเค็ม ผู้ใหญ่กินเกลือวันละไม่เกิน 6 กรัม (7.5 มล.หรือหนึ่งช้อนชาครึ่ง)
ส่วนเด็กวันละไม่เกิน 3 กรัมต่อ 1,000 กิโลแคลอรี
10. อย่าอยู่กลางแดดจัด ๆ เป็นเวลานาน ๆ

การตรวจเต้านมด้วยตนเอง
1. การคลำเต้านมในท่ายืน ใช้ฝ่ามือด้านตรงข้ามคลำตรวจเต้านมทีละข้าง สังเกตดูว่ามีก้อนอะไรดัน
อยู่ หรือสะดุดใต้ฝ่ามือหรือไม่ (มะเร็งของเต้านมมักจะพบที่ส่วนบนด้านนอกของเต้านมมากกว่าส่วน
อื่น จึงควรสังเกตดูบริเวณนี้ให้ละเอียด)
2. และ 3. การดูเต้านมตรงหน้ากระจกเงา ในท่ามือเท้าเอว และท่าชูมือขึ้นเหนือศีรษะ สังเกตดูลักษณะ
เต้านมทั้ง 2 ข้างโดยละเอียด เปรียบเทียบดูขนาด รูปร่าง หัวนม และการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังทุก
ส่วนของเต้านม ( เช่น รอยนูนขึ้นผิดปกติ, รอยบุ๋ม, หัวนมบอด, ระดับของหัวนมไม่เท่ากัน)
4. การคลำเต้านมในท่านอน ควรใช้หมอนหรือผ้าห่มหนุนตรงสะบัก ให้อกด้านที่ จะตรวจแอ่นขึ้น
ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ
5. (ในท่านอน) ใช้ฝ่ามือข้างซ้ายคลำเต้านมข้างขวาโดยคลำไปรอบๆ หัวนมเป็นรูปวงกลม ไล่จากด้าน
นอกเข้ามายังหัวนม
6. แล้วใช้นิ้วบีบหัวนม สังเกตดูว่ามีน้ำเหลือง หรือเลือดออกจากหัวนมหรือไม่ ให้ทำการตรวจเต้านม
ข้างขวาโดยใช้มือซ้าย ทำซ้ำข้อ 4,5,6 

bar5.jpg (6486 bytes)













สารบ่งชี้โรคมะเร็ง (Tumor Markers)

โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายของประชากรไทยเป็นอันดับ 3 เนื่องจากโรคมะเร็งเกิดขึ้นได้จากหลาย
สาเหตุ เช่น สารก่อมะเร็งในอาหาร การสูบบุหรี่ การสัมผัสถูกกับสารก่อมะเร็งทั้งทางตรงและทางอ้อม
โดยเฉพาะมลภาวะของสิ่งแวดล้อมซึ่งทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ทำให้มีอัตราการเจ็บป่วยจากโรค
มะเร็งเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ผู้ป่วยโรคมะเร็งส่วนมากมักมาพบแพทย์เมื่อปรากฏอาการชัดหรือมีการ
ลุกลามของโรคมากแล้ว ทำให้การป้องกันรักษาไม่ได้ผลเท่าที่ควร หากถ้าได้มีการตรวจพบโรคมะเร็ง
ตั้งแต่ในระยะเริ่มแรกจากการตรวจหาสารที่จะช่วยบ่งชี้หรือมีความเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง (tumor
markers) ในเลือด จะช่วยทำให้แพทย์สามารถให้การรักษาได้ทันการณ์ ผู้ป่วยก็จะมีโอกาส
หายจากโรคมะเร็งได้มากยิ่งขึ้น

การตรวจหา Tumor markers เพื่อช่วยวินิจฉัยโรคมะเร็งในระยะเริ่มแรก หรือช่วยในการติดตาม
ผลของการรักษา ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ป่วยที่จะมีโอกาสหายจากมะเร็งได้มากขึ้น

Tumor markers คืออะไร ?
คือตัวบ่งชี้ ทางชีวเคมีที่จะบอกว่ามีมะเร็งหรือไม่ อาจเป็นสารที่ไม่พบในภาวะปรกติ หรือเป็นสาร
ปรกติในร่างกายเราแต่มีปริมาณเพิ่มสูงมากผิดไปจากปรกติ   สามารถตรวจพบได้ทั้งในเลือด หรือ
สารคัดหลั่ง (biological fluid)
- สารที่ไม่พบในภาวะปกติ และเป็นสารที่ผลิตมาจากเซ,มะเร็งโดยตรง เช่น CEA , AFP,PSA
  CA 19-9 เป็นต้น
- สารที่มีอยู่แล้วในร่างกายซึ่งผลิตโดยเซลปกติ แต่กลับเพิ่มปริมาณมากขึ้นเมื่อเซลนั้นกลายเป็น
  เซลมะเร็งสารดังกล่าวได้แก่ฮอร์โมนต่างๆเช่น HCG, Calcitonin, ACTH เป็นต้น หรือเอนไซม์
เช่น  PAP, ALP, LDH, GGT เป็นต้น

การจัดตารางเวลาสำหรับการตรวจ Tumor markers
สำหรับผู้ที่เริ่มตรวจพบแล้วหรือผู้ที่เริ่มต้นจะทำการรักษา ควรตรวจวัด tumor markers ในช่วง
ระยะเวลาดังต่อไปนี้
- ก่อนการผ่าตัด หรือก่อนเริ่มต้นให้การรักษาใดๆ เพื่อเก็บเป็นค่าเริ่มต้นของผู้ป่วยแต่ละราย
- ภายหลังการผ่าตัด

 ปีที่ 1 และ 2    ควรตรวจทุกเดือนในระยะต้น จนกระทั่งค่าลดลงมามากแล้ว 
 จึงเปลี่ยนมาตรวจทุก 3 เดือน
 ปีที่ 3 - 5     ควรตรวจปีละ 1 - 2 ครั้ง
 ตั้งแต่ปีที่ 6 ขึ้นไป   ตรวจทุกปี ปีละครั้ง

ตารางเวลาข้างต้นเป็นเพียงข้อแนะนำทั่วๆไป เนื่องจากระยะเวลาของการเกิดโรคมะเร็งแต่ละชนิด
ไม่เท่ากัน แต่การหมั่นตรวจเป็นระยะก็จะช่วยติดตามผลการรักษา และการตรวจพบการกลับมาเป็น
ใหม่ได้รวดเร็วช่วยให้การป้องกันรักษาได้ผลดียิ่งขึ้น

- ซึ่งถ้าตรวจได้ค่าเริ่มต้นมีค่าสูง แล้วเริ่มมีระดับลดลงอย่างรวดเร็วหลังการรักษา จะช่วยในการบ่งชี้
  ว่าการผ่าตัดได้ผล
- ถ้าค่าลดลงเพียงเล็กน้อยตามด้วยค่าที่กลับสูงขึ้นมาใหม่ในภายหลัง แสดงว่าการผ่าตัดรักษาไม่ได้
  ผลการที่มีค่า tumor markers สูงเพิ่มขึ้นใหม่หลังการให้เคมีบำบัดรอบแรกๆ เป็นสัญญาณบอก
  ให้หยุดยา ถ้าเป็นไปได้ให้เปลี่ยนวิธีการรักษา

เทนนิคการตรวจ tumor markers
ควรใช้วิธีการทดสอบที่มีความไวสูง ซึ่งจะช่วยสามารถตรวจปริมาณ tumor markers ที่มีปริมาณ
เพียงเล็กน้อยได้   ชุดทดสอบควรมีความจำเพาะต่อ tumor markers ให้มากที่สุดวิธีที่เหมาะสม
ในปัจจุบันจึงเป็น Immunoassay โดยอาจเป็นวิธี RIA / EIA /CICA

การรบกวนผลการทดสอบ ในปฏิกริยา immunoassay ตามทฤษฏีแล้วจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดการ
รบกวนของผลทดสอบได้ ซึ่งมีหลักที่ควรคำนึงถึงคือ
- High dose Hook Effect
เมื่อใช้ตรวจหาแอนติเจนที่มีความเข้มข้นสูงมากเกินไป จะเกิดผลต่ำปลอม ซึ่งกรณีนี้ปฏิกริยาการจับ
กันระหว่างระหว่างแอนติเจน-แอนติบอดีย์ถูกกีดขวางโดยแอนติเจนที่มีปริมาณสูงมากเกินไป ซึ่งวิธี
แก้ไขโดยการเจือจางตัวอย่างที่มีแอนติเจนสูง ก่อนทำการทดสอบ
- Heterophile antibodies
ในตัวอย่างทดสอบบางรายมี heterophile antibodies อยู่ในน้ำเหลือง โดยเฉพาะ human antimouse
antibodies ซึ่งวิธีการทดสอบส่วนใหญ่จะใช้ monoclonal antibodies จากหนู ซึ่งจะทำให้เหมือนเกิด
ปฏิกริยาขึ้น ถึวแม้จะไม่มีแอนติเจนในน้ำเหลืองเลย ทำให้ได้ค่าผลบวกปลอมได้

Tumor markers   ที่สำคัญในการช่วยตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง
Carcinoembryonic antigen (CEA)
    CEA เป็นแอนติเจนที่มีความเกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งพบครั้งแรกในปี 1965 โดยพบจาก
adenocarcinoma ของลำไส้ใหญ่ต่อมาพบว่ามีในลำไส้ ตับ ตับอ่อนของทารกในครรภ์
และเริ่มลดลงเมื่อโตขึ้น ในผู้ใหญ่ยังคงมีการสร้าง CEA บ้างในปริมาณเล็กน้อย
    CEA เป็น glycoprotein ที่มีน้ำหนักโมเลกุล 200 +/- 20 Kd ประกอบด้วยโปลีเปปไทด์
สายเดี่ยวและคาร์โบไฮเดรต 45-60% ผลิตจากเซลมะเร็ง แล้วหลุดออกไปสู่กระแสโลหิต  
    CEA มิได้มีความจำเพาะโดยตรงต่อมะเร็งของอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งพียงอย่างเดียว พบได้
ทั้งในมะเร็งของ ลำไส้ใหญ่-ไส้ตรง / เต้านม / ปอด / ตับ / ตับอ่อน โดยเฉลี่ยค่า CEA ที่สูงพบได้
40-80% ของผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งข้างต้น แต่ในผู้ป่วยมะเร็งของ ลำไส้ใหญ่-ไส้ตรง มีระดับ CEA
ในเลือดสูงมาก และพบได้บ่อยกว่ามะเร็งชนิดอื่นๆ
อาจพบค่า CEA สูงได้ในสตรีมีครรภ์ที่มีอายุครรภ์ไม่เกิน 6 เดือน คนที่มีอาการอักเสบของ
ระบบทางเดินอาหาร / ปอด / ตับ โดยไม่ได้เป็นมะเร็งใดๆเลย

Alpha-1-fetoprotein (AFP)
    AFP เป็น fetal serum protein ตรวจพบในปี 1956 เป็น glycoprotein หลัก
ในซีรั่มของทารกในครรภ์ มีขนาด 720 Kd ถูกสังเคราะห์จาก yolk sac /Liver/ ทางเดิน
อาหาร แล้วผ่านเข้าสู่น้ำคร่ำโดยผ่านทางเลือดของทารก ข้าม placental barrier เข้าสู่เลือด
ของมารดา ดังนั้นจึงทำให้ซีรั่มของสตรีมีครรภ์มีค่า AFP สูงขึ้นบ้างและจะแปรผันตามอายุครรภ์ด้วย
    AFP มิได้มีความจำเพาะต่ออวัยวะใดอวัยวะหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่จะพบค่าขึ้นสูงมากและพบได้
บ่อยใน มะเร็งของตับ (hepatocellular carcinoma / hepatoma) ซึ่งพบได้ในผู้ป่วยประมาณ 70%
และพบได้บ้างแต่ค่าไม่สูงมากนักใน มะเร็งรังไข่/อัณฑะ มะเร็งปอด มะเร็งทางเดินอาหาร
และโรคตับอื่นๆ เป็นต้น
    AFP ในปัจจุบันใช้เป็น tumor markers ในการตรวจกรองตรวจหาผู้ป่วยมะเร็งตับ
(hepatoma) ในระยะเริ่มแรกก่อนที่จะมีอาการทางคลีนิค ใช้ตรวจในประชากรที่มีอัตราเสี่ยงต่อ
การเกิดมะเร็งตับสูง เช่น ผู้ที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบ บี / ตับอักเสบเรื้อรัง / ตับแข็ง โดยควรมี
การตรวจซ้ำทุก 3-6 เดือนต่อครั้ง
อาจพบค่า AFP สูงได้ในสตรีที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 2 เดือนขึ้นไป / ทารกในครรภ์

Prostatic Specific Antigen (PSA)
    PSA เป็นโปรตีนที่จำเพาะต่อเนื้อเยื่อของมะเร็งต่อมลูกหมาก พบครั้งแรกในปี 1971  เป็น
glycoprotein สายเดี่ยวที่มีขนาด 34 Kd เป็นโปรตีนที่สร้างจาก epithelial cells
บริเวณ acinus และท่อของต่อมลูกหมากเท่านั้น จึงค่อนข้างมีความจำเพาะต่อมะเร็งต่อมลูกหมาก
PSA จะพบมีค่าสูงในมะเร็งต่อมลูกหมาก ระดับในซีรั่มมีความสัมพันธ์กับระยะและการลุกลาม
ของโรค ใช้ในการพยากรณ์และตรวจหามะเร็ง หรือตรวจหาการลุกลามของโรคภายหลังการรักษา
มะเร็งของต่อมลูกหมากจะดำเนินไปอย่างช้าๆ แต่อัตราของโรคจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในชายที่มี
อายุเกิน 65 ปี ค่าปกติในคนทั่วไปอยู่ที่ < 10 ng/ml. ความไวของ PSA ต่อมะเร็งต่อมลูกหมาก
ประมาณ 70%

Carbohydrate antigen CA 19-9
   CA19-9 ค้นพบในปี 1981 เป็น carcinoma cell surface antigen ตรวจพบได้ใน
fetal epithelium ของลำไส้ใหญ่ / ลำไส้เล็ก / กระเพาะอาหาร / ตับ / ตับอ่อน
การตรวจหา CA19-9 จะมีประโยชน์เฉพาะการใช้ซีรั่มหรือพลาสม่า โดยจะตรวจพบมีค่าสูงใน
มะเร็งตับอ่อน กระเพาะอาหาร ระยะหลังของลำไส้ใหญ่ (ใช้ตรวจเสริมร่วมกับ CEA)
   CA19-9 มีประโยชน์ในการแยกมะเร็งตับอ่อนออกจากโรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง ซึ่งมีอาการ
ทางคลีนิคคล้ายกัน โดยมะเร็งตับอ่อนจะมีระดับในซีรั่มสูงกว่ามาก
    ภายหลังการผ่าตัดระดับ CA19-9 จะกลับสู่ภาวะปกติภายใน 10-20 วัน การตรวจพบค่ากลับมาสูง
ซึ่งอาจตรวจพบก่อนมีอาการทางคลีนิค แสดงถึงการกลับมาเป็นใหม่ได้ในช่วง 6-12 เดือน

Carbohydrate antigen CA 125
   CA 125 ค้นพบในปี 1981 เป็น cell surface glycoprotein ขนาด 200 Kd ที่เกี่ยวข้องกับ
มะเร็งรังไข่ การมีระดับสูงในซีรั่มมักพบในผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ประมาณ 75 % และสัมพันธ์
ดีกับขนาดของก้อนเนื้องอกและการกลับมาเป็นใหม่
การตรวจหา CA125 ในการพยากรณ์โรค และติดตามผลการรักษาและการกลับมาเป็นใหม่
ของ adenocarcinoma ของรังไข่
ในผู้ป่วยมะเร็งรังไข่อาจพบค่าสูงได้ถึง 13,000 U/ml. และหลังการผ่าตัดเอาเนื้องอกออก
ค่า CA125 จะลดลงอย่างรวดเร็วภายใน 1 อาทิตย์ และกลับสู่ระดับปกติภายใน 3 อาทิตย์
หลังการรักษา

Human chorionic gonadotropin (HCG)
HCG เป็นฮอร์โมนที่พบว่าสัมพันธ์กับ tumor markers ในปี 1930 เป็น glycoprotein
ขนาด 45 Kd ประกอบด้วย 2 subunits คือ alpha และ beta โดยส่วน alpha subunit
มีโครงสร้างคล้ายกับ alpha subunit ของฮอร์โมน LH / FSH และ TSH
แต่ส่วนของ beta subunit มีลักษณะเฉพาะและออกฤิทธิ์ทำหน้าที่เฉพาะของแต่ละฮอร์โมน
beta subunit ของ HCG และ LH มีลำดับของกรดอะมิโนเหมือนกันถึง 82%
ฮอร์โมน HCG มีระดับสูงในซีรั่มในผู้ป่วย มะเร็งเต้านม / Choriocarcinoma และ Testicular
carcinoma เป็น tumor markers ที่จำเพาะสำหรับการตรวจวินิจฉัย และติดตามการรักษา
Choriocarcinoma และเมื่อใช้ร่วมกับ AFP จะให้ประโยชน์ในการพยากรณ์ติดตามผลการรักษา
และตรวจสอบการกลับมาเป็นใหม่ใน testicular germ cell neoplasms
ค่าปกติในผู้ชายและสตรีก่อนวัยหมดประจำเดือน มีค่า <5 IU/ml.
สำหรับสตรีวัยหมดประจำเดีอนมีค่าปกติ <10 IU/ml.

บทบาทและประโยชน์ของ tumor markers
1. เพื่อการตรวจวินิจฉัยโรค
เนื่องจาก tumor marker ส่วนใหญ่มีความไวสูงจึงสามารถใช้ในการวินิจฉัยโรคได้ แต่ควร
จะใช้ร่วมหรือเสริมกับการตรวจอื่นๆ เช่น การใช้ CA19-9 ร่วมกับการตรวจด้วยอุลตราซาวนด์
หรือเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ จะสามารถช่วยในการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งตับอ่อนได้ดีขึ้น ในบาง
ครั้งอาจจำเป็นต้องใช้  tumor marker มากกว่า 1 ชนิดในการช่วยวินิจฉัยโรค   อย่างไรก็ตาม
ควรตระหนักว่าการตรวจวัด tumor marker นั้นอาจตรวจได้ผลในลักษณะผลบวกหรือผล
ลบปลอมได้ เพราะมะเร็งในช่วงเริ่มต้นบางชนิด ระดับ tumor marker ไม่สูงนัก และพอให้
ค่าขึ้นสูงก็ต่อเมื่อเกิดการแพร่กระจายของมะเร็งไปมากแล้ว
2. เพื่อการพยากรณ์โรค
สามารถใช้ในการช่วยพยากรณ์ความรุนแรงของโรค เป็นประโยชน์ในการช่วยแพทย์ในการตัด
สินใจเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมให้แก่ผู้ป่วย เช่น ควรให้การรักษาโดยการผ่าตัด    หรือโดยการ
ให้รังสีรักษาหรืออาจใช้เคมีบำบัด เป็นต้น ดังนั้นจึงต้องตรวจระดับ tumor marker ในผู้ป่วย
ทุกรายก่อนเริ่มต้นให้การรักษา
3. การตรวจคัดกรองโรค (Screening Test)
คุณสมบัติของ tumor marker ในปัจจุบันยังไม่เหมาะสมในการนำมาใช้ในการตรวจกรอง
เพียงอย่างเดียว แม้ว่าส่วนใหญ่จะมีความไวสูงในการตรวจวินิจฉัยโรคแต่ก็ยังมีความจำเพาะต่ำ
เช่น ในผู้ป่วยมะเร็งตับขั้นต้น แม้จะตรวจพบค่า AFP สูงผิดปกติถึง 95% ของผู้ป่วย แต่ค่า AFP
ก็สูงผิดปกติได้ในโรคอื่นๆของตับ เช่น ตับอักเสบจากการดื่มเหล้า โรคตับแข็ง เป็นต้น
แต่ก็ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยี่ด้านอิมมูโนวิทยาอย่างไม่หยุดยั้ง อาจสามารถใช้ในการตรวจกรอง
โรคมะเร็งได้ในเร็วๆนี้
4. การตรวจเพื่อติดตามผลการรักษา
ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดชองการตรวจ tumor marker คือ การติดตามผู้ป่วยมะเร็งในระหว่าง และ
ภายหลังการรักษา ควรมีการตรวจเป็นระยะๆทุก 3-6 เดือน    หรือถี่กว่านั้นในระยะแรก ค่าที่ตรวจ
ได้ควรนำไปเปรียบเทียบกับค่าที่ได้ก่อนให้การรักษา หากการรักษานั้นได้ผลดีจะพบว่าระดับ tumor
marker ลดลงจนกลับมาสู่ระดับปกติ   หากระดับ marker ยังให้ค่าสูงอยู่แสดงว่าการรักษาไม่ได้ผล
ควรพิจารณาเปลี่ยนวิธีการรักษา
5. การสืบค้นโอกาสการเกิดมะเร็งซ้ำและการกระจายของโรค
ผู้ป่วยมะเร็งทุกรายแม้ว่าจะรักษาจนหายหรือโรคสงบลงแล้ว ควรได้มีการตรวจวัดระดับ tumor 
marker อย่างน้อยทุก 6 เดือน ผู้ป่วยที่มีระดับปกติแล้วต่อมาเริ่มมีระดับสูงขึ้น ควรตรวจซ้ำภายใน 
1 เดือน ถ้าพบว่าค่ายังสูงอยู่ให้ตรวจร่วมกับวิธีอื่นๆในการวินิจฉัยว่า เกิดโรคว้ำหรือเกิดการกระจาย
ตัวของมะเร็งหรือไม่ tumor marker ที่ดีจะช่วยวินิจฉัยได้หลายเดือนก่อนที่ผู้ป่วยจะเกิดอาการ

bar5.jpg (6486 bytes)







  มะเร็งต่อมลูกหมาก   Prostatic Specific Antigen

ลักษณะทั่วไป

bar5.jpg (6486 bytes)               

wpe5.jpg (2190 bytes)
ThaiL@bOnLine - Crystal Diagnostics Co.,Ltd.
Email : vichai-cd@usa.net