สาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพ        การตรวจวินิจฉัยโรคทางห้องแล็ป ตั้งแต่การได้รับตัวอย่าง เลือด/ ปัสสาวะ/ สารคัดหลั่งต่างๆ วิธีการทดสอบไปจนถึงการแปลผล
อาการและปัญหาของโรคภัยไข้เจ็บ       การดูแลป้องกันโรคติดต่อ        สรีระร่างกายของเรา       ชมรมเรารักสุขภาพมาช่วยกันดูแลสุขภาพกัน       สุขอนามัย

cdlogo.gif (7928 bytes)
Healthcare & Diagnostic

winshop.jpg (4697 bytes)
HealthShop l ช็อปปิ้งเพื่อสุขภาพ


สนใจรับข่าวสารสุขภาพใหม่ๆ 
พร้อมประโยชน์อื่นๆ เชิญสมัครฟรี !

Home ] Up ] Endocrine ] Muscle/Skeleton ] Cardio ] Skin/Dermal ] Digestive ] Kidney/Urinary ] Tumor/CA ] Infectious ] CBC ] Sexual ] [ Respiratory ] Brain ] Accident ] HIV ] TropicalParasite ] BabyDisease ] Mental ]
ban3.jpg (13652 bytes)

 

                        banner20.gif (26605 bytes)
TOP

ไข้หวัดใหญ่
Influenza

การอักเสบภายในลำคอ
Pharyngitis

ไซนัส
Sinusitis

อีสุกอีใส
Chickenpox/
Varicella

หัดเยอรมัน
Rubella

ต่อมทอลซิลอักเสบ
 /คออักเสบ

Tonsilitis

ปอดอักเสบ
Pneumonia

   

   bar5.jpg (6486 bytes)













ไข้หวัดใหญ่ Influenza

ลักษณะทั่วไป
ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย พบได้เกือบทั้งปี แต่จะเป็นมากใน
ช่วงฤดูฝน (ช่วงเดือนกรกฎาคมถึงธันวาคม) บางปีอาจพบการระบาดทั่วโลก   พบเป็น
สาเหตุอันดับแรก ๆ ของอาการไข้ที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน แพทย์มักจะให้การวินิจฉัยผู้ใหญ่
ที่มีอาการตัวร้อนมา 2-3 วัน โดยไม่มีอาการอย่างอื่นชัดเจนว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ซึ่งบาง
ครั้งก็อาจจะผิดพลาดได้

สาเหตุ
เกิดจาก เชื้อไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นไวรัสที่มีชื่อว่า อินฟลูเอนซาไวรัส (Influenza virus) เชื้อนี้จะอยู่ใน
น้ำมูก น้ำลาย หรือเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการไอ จาม หรือหายใจรดกัน หรือโดยการสัมผัส
ถูกมือหรือสิ่งของเครื่องใช้ที่แปดเปื้อนเชื้อ (เช่นเดียวกับไข้หวัด)   ระยะฟักตัว 1-4 วัน
เชื้อไข้หวัดใหญ่มีอยู่ 3 ชนิดใหญ่ ๆ เรียกว่า ชนิด เอ, บี และ ซี ซึ่งแต่ละชนิดยังแบ่งเป็นพันธุ์ย่อย ๆ
ออกไปอีกมากมาย ในการเกิดโรคแต่ละครั้งจะเกิดจากพันธุ์ย่อยเพียงพันธุ์เดียว เมื่อเป็นแล้วก็จะมี
ภูมิต้านทานต่อพันธุ์นั้น แต่ไม่สามารถต้านทานพันธุ์อื่น ๆ ได้ จึงอาจติดเชื้อจากพันธุ์ใหม่ได้อีก เชื้อ
ไข้หวัดใหญ่บางพันธุ์ อาจผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำให้เกิด การระบาดใหญ่ และมีการเรียกชื่อโรค
ที่ระบาดแต่ละครั้งตามชื่อของประเทศที่เป็นแหล่งต้นกำเนิด เช่น ไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง (เรียกสั้น ๆ ว่า
ไข้หวัดฮ่องกง หรือ หวัดฮ่องกง), ไข้หวัดรัสเซีย, ไข้หวัดสิงคโปร์ เป็นต้น

อาการ
มักจะเกิดขึ้นทันทีทันใดด้วยอาการไข้สูง หนาว ๆ ร้อน ๆ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อมาก (โดยเฉพาะ
ที่กระเบนเหน็บ ต้นแขนต้นขา) ปวดศรีษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ขมในคอ อาจมีอาการเจ็บในคอ
คัดจมูก น้ำมูกใส ไอแห้ง ๆ จุกแน่นท้อง แต่บางรายก็อาจไม่มีอาการคัดจมูก หรือเป็นหวัดเลยก็ได้
มีข้อสังเกตว่า ไข้หวัดใหญ่ มักเป็นหวัดน้อย แต่ไข้หวัดน้อยมักเป็นหวัดมาก ไข้มักเป็นอยู่ 2-4 วัน
แล้วค่อย ๆ ลดลง อาการไอ และอ่อนเพลีย อาจจะเป็นอยู่ 1-4 สัปดาห์ แม้ว่าอาการอื่น ๆ จะทุเลา
แล้วก็ตาม บางคนเมื่อหายจากไข้หวัดใหญ่ แล้วอาจมีอาการวิงเวียนเหมือนเมารถเมาเรือ เนื่อง
จากมีอาการอักเสบของอวัยวะการทรงตัวในหูชั้นใน   ซึ่งมักจะหายเองภายใน 3-5 วัน

สิ่งตรวจพบ
ไข้ 38.5-40 ํซ หน้าแดง เปลือกตาแดง อาจมีน้ำมูกใส คอแดงเล็กน้อยหรือไม่แดงเลย (ทั้ง ๆ ที่
ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บคอ) ส่วนมากมักตรวจไม่พบอาการผิดปกติอื่น ๆ

อาการแทรกซ้อน
ส่วนมากจะหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน
ส่วนน้อยอาจมีภาวะแทรกซ้อน ที่พบได้บ่อย ได้แก่ ไซนัสอักเสบ , หูชั้นกลางอักเสบ , หูชั้นใน
อักเสบ , หลอดลมอักเสบ, หลอดลมพอง ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญคือ ปอดอักเสบ ซึ่งมักจะเกิด
จากแบคทีเรียพวก นิวโมค็อกคัส หรือ สแตฟฟีโลค็อกคัส (เชื้อชนิดหลังนี้ มักจะทำให้เป็นปอด
อักเสบร้ายแรงถึงตายได้)
ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงมักจะเกิดในเด็กเล็ก คนสูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน คนที่สูบบุหรี่จัด หรือ
ผู้ป่วยที่มีโรคของปอดเรื้อรัง
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่จะมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนถึงตายได้นั้น นับว่าน้อย
มาก มักเกิดในเด็กเล็ก หรือคนสูงอายุที่ร่างกายอ่อนแออยู่ก่อน

การรักษา
1. ให้การดูแลปฏิบัติตัว และรักษาตามอาการเหมือนไข้หวัด คือ นอนพักมาก ๆ ห้ามตรากตรำ
งานหนัก ห้ามอาบน้ำเย็น ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวหรือ ประคบด้วยแผ่นประคบเย็น เวลามีไข้สูง กิน
อาหารอ่อน (ข้าวต้ม โจ๊ก) ดื่มน้ำและน้ำหวาน หรือน้ำผลไม้มาก ๆ ให้ยาลดไข้แก้ปวด  (ในเด็ก
ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพริน) ยาแก้ไอ  เป็นต้น
2. ยาปฏิชีวนะ ไม่จำเป็นต้องให้เพราะเป็นโรคที่เกิดจากไวรัส จะให้ต่อเมื่อมีภาวะแทรกซ้อนจาก
เชื้อแบคทีเรีย เช่น มีน้ำมูกหรือเสลดสีเหลืองหรือเขียว, ไซนัสอักเสบ, หูชั้นกลางอักเสบ , หลอด
ลมอักเสบ  เป็นต้น ยาปฏิชีวนะที่มีให้เลือกใช้ ได้แก่ เพนวี , อะม็อกซีซิลลิน   หรือ อีริโทรไมซิน
3. ถ้ามีอาการหอบ หรือสงสัยปอดอักเสบ โดยเฉพาะถ้าพบในคนสูงอายุหรือเด็กเล็ก ควรส่งโรง
พยาบาลด่วน ถ้าพบว่าเป็นปอดอักเสบ ควรให้ยาปฏิชีวนะตามชนิดของเชื้อที่ตรวจพบ

ข้อแนะนำ
1. โรคนี้ถือว่าไม่ใช่โรคที่ร้ายแรง ส่วนมากให้การดูแลรักษาตามอาการ ก็หายได้เองภายใน 3-5 วัน
ข้อสำคัญ ต้องนอนพัก ดื่มน้ำมาก ๆ และห้ามอาบน้ำเย็น ถ้าไข้ลดลงแล้วควรอาบน้ำอุ่นอีก 3-5 วัน ในรายที่ไม่ได้พักผ่อน หรือตรากตรำงานหนักอาจหายช้า หรือมีภาวะแทรกซ้อน
2. อาการไข้สูง ปวดเมื่อย และไม่มีอาการอื่น ๆ ชัดเจน อาจมีสาเหตุจากโรคอื่น ๆ ในระยะเริ่มแรก
ก็ได้ เช่น ไข้รากสาดน้อย, ตับอักเสบจากไวรัส , ไข้เลือดออก, หัด เป็นต้น จึงควรสังเกตอาการ
เปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด
ถ้ามีอาการอื่น ๆ ปรากกฏให้เห็นก็ควรให้การรักษาตามโรคที่สงสัย ถ้าหากมีไข้นานเกิน 7 วัน มักจะ
ไม่ใช่ ไข้หวัดใหญ่ แต่อาจมีสาเหตุจากโรคอื่น เช่น ไข้รากสาดน้อย , มาลาเรีย เป็นต้น ผู้ป่วยที่เป็น
ไข้หวัดใหญ่ มักจะมีไข้ไม่เกิน 7 วัน
3. ไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ บางครั้งอาจมีอาการคล้ายกันมาก แต่ไข้หวัดใหญ่มักมีไข้สูงและปวดเมื่อย
มาก อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะแยกกันไม่ออก แต่ก็ให้การดูแลรักษาเหมือน ๆ กัน

การป้องกัน
การป้องกัน ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับไข้หวัด
ส่วนวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ มักจะฉีดในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ ซึ่งจะป้องกันได้นานประมาณ
12 เดือน ถ้ามีการระบาดในปีต่อ ๆ ไป ก็ต้องฉีดใหม่อีก โดยทั่วไปถ้าไม่มีการระบาด จะไม่ฉีดวัคซีน
ให้แก่คนทั่วไป ทั้งนี้เนื่องจากเชื้อไข้หวัดใหญ่มีอยู่หลายพันธุ์เราไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้
ว่าในการระบาดครั้งต่อไป จะเกิดจากเชื้อชนิดใด ในแง่ปฏิบัติ จึงไม่นิยมฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่กัน

รายละเอียด
ไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ มีอาการคล้ายกัน และให้การรักษาแบบเดียวกัน ไข้หวัดใหญ่มักมีไข้
ไม่เกิน 7 วัน

bar5.jpg (6486 bytes)












การอักเสบภายในลำคอและต่อมทอนซิล Pharyngitis/Tonsillitis

ลักษณะทั่วไป
การอักเสบภายในลำคอและต่อมทอนซิล มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ทำให้มี
ไข้สูงและเจ็บคอ คออักเสบที่เกิดจากไวรัส ที่พบได้บ่อย เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ พวกนี้มักจะ
มีน้ำมูกใส ๆ ต่อมทอนซิลไม่แดงมาก และไม่มีหนอง เมื่อพูดถึงต่อมทอนซิลอักเสบ เรามักจะ
หมายถึง การอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เชื้อบีตาสเตรปโตค็อกคัส กลุ่ม เอ ซึ่งอาจทำให้มีโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ โรคนี้พบได้บ่อยในกลุ่มเด็กวัยเรียน และพบได้เป็นครั้ง
คราวในผู้ใหญ่

สาเหตุ
เกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ซึ่งมีอยู่หลายชนิด ที่สำคัญ คือ เชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า
บีตาสเตรปโตค็อกคัส กลุ่ม เอ (Beta Streptococcus group A) ซึ่งทำให้เกิด โรคแทรกซ้อนที่
สำคัญ คือ ไข้รูมาติก และหน่วยไตอักเสบ ติดต่อโดยการหายใจ ไอหรือจามรดกัน (เช่นเดียว
กับไข้หวัด) ระยะฟักตัว ประมาณ 1-5 วัน

อาการ
ในรายที่เป็นเฉียบพลัน จะมีไข้สูงเกิดขึ้นทันทีทันใด และมีอาการปวดศรีษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
ครั่นเนื้อครั่นตัว หรือหนาวสะท้าน รู้สึกแห้งผากในลำคอ หรือเจ็บในคอมาก บางคนอาจเจ็บคอมาก
จนกลืนน้ำและอาหารลำบาก ในเด็กเล็กอาจมีอาการอาเจียน ไอ ปวดท้อง หรือท้องเดินร่วมกัน เด็กบางคนอาจมีไข้สูงจนชัก หรือร้องกวนไม่ยอมนอน
บางครั้งอาจสังเกตเห็นมีก้อนบวมและเจ็บ (ก้อนลูกหนู หรือต่อมน้ำเหลืองอักเสบ) ที่บริเวณใต้คาง
ข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง ในรายที่เป็นเรื้อรัง จะมีอาการเจ็บคอบ่อย ๆ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย
ไอแห้ง ๆ หรือมีเสมหะเล็กน้อย มักไม่มีไข้ หรือบางครั้งอาจมีไข้ต่ำ ๆ

สิ่งตรวจพบ
ไข้สูง (39-40 ํ ซ.)
ในรายการที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย มักจะพบต่อมทอนซิลบวมโต มีสีแดงจัด และมีหนองขาว ๆ
เหลือง ๆ เป็นจุด ๆ อยู่บนต่อมทอนซิล ซึ่งเขี่ยออกง่าย ถ้าพบเป็นแผ่นขาวปนเทาซึ่งเขี่ยออกยาก
และมีเลือดออก ควรนึกถึงคอตีบ) นอกจากนี้ อาจพบต่อมน้ำเหลืองที่ใต้คางบวม และเจ็บ
ในรายการที่ต่อมทอนซิลโตมาก ๆ จนดันลิ้นไก่เบี้ยวไปอีกข้างหนึ่ง ควรนึกถึงโรคฝีของทอนซิล
ในรายที่เป็นเรื้อรัง พบว่าต่อมทอนซิลโต ผิวขรุขระแต่ไม่แดงมาก และพบตุ่มน้ำเหลืองบนผนังคอ
เป็นลักษณะแดงเรื่อ และสะท้อนแสงไฟ ต่อมน้ำเหลืองที่ใต้คางมักจะโต และเจ็บเรื้อรัง

อาการแทรกซ้อน
1. เชื้ออาจลุกลามไปยังบริเวณใกล้เคียงทำให้หูชั้นกลางอักเสบ, ต่อมน้ำเหลืองที่คออักเสบ,
จมูกอักเสบ, ไซนัสอักเสบ, ฝีของทอนซิล (peritonsillar abscess), ปอดอักเสบ
2. เชื้ออาจแพร่กระจายเข้ากระแสเลือด ทำให้เป็นข้ออักเสบเฉียบพลัน กระดูกอักเสบ (osteomyelitis)
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
3. โรคแทรกที่สำคัญ คือ ไข้รูมาติก   และหน่วยไตอักเสบ ซี่งมักจะเกิดหลังต่อมทอนซิลอักเสบ
1-4 สัปดาห์ เกิดจากปฏิกิริยาจากแอนติบอดี (ที่ถูกกระตุ้นด้วยเชื้อบีตาสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ)

การรักษา
1. แนะนำให้ผู้ป่วยพักผ่อน ดื่มน้ำมาก ๆ และใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง ควรให้ผู้ป่วยกินอาหาร
อ่อน และดื่มน้ำหวานบ่อย ๆ ควรกลั้วคอด้วยน้ำเกลือ (ผสมเกลือป่นประมาณ 1/2 ช้อนโต๊ะ ในน้ำอุ่น
1 แก้ว) วันละ 2 -3 ครั้ง
2. ให้ยาลดไข้   เด็กเล็กที่เคยชัก ให้ยากันชัก ร่วมด้วย
3. ในรายที่ต่อมทอนซิลอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งต่อมทอนซิลมักจะมีลักษณะสีแดงจัด หรือจุด
หนอง หรือมีต่อมน้ำเหลืองที่ใต้คางบวมและเจ็บ ให้รักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ตัวที่แนะนำ คือ เพนวี 
หรือ อะม็อกซีซิลลิน ถ้าแพ้ยานี้ให้ใช้ อีริโทรไมซิน แทน ให้ยาสัก 3 วันดูก่อน ถ้าดีขี้นควรให้ต่อจน
ครบ 10 วัน เพื่อป้องกัน มิให้เกิด ไข้รูมาติก หรือหน่วยไตอักเสบแทรกซ้อน
4. ถ้าอาการไม่ดีขึ้นใน 3 วัน หรือ กินยาไม่ได้ หรือสงสัยมีโรคแทรกซ้อนรุนแรง ให้แนะนำผู้ป่วยไป
โรงพยาบาล ในรายที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย และไม่มีประวัติการแพ้เพนิซิลลิน อาจต้องใช้ยาฉีด
ประเภทเพนิซิลลิน ที่สะดวก ได้แก่  เบนซาทีน เพนิซิลลิน หรือเพนาเดอร์ ซึ่งใช้ยาฉีดเพียงเข็มเดียว
เท่านั้น ถ้าเป็นฝีของทอนซิล อาจต้องผ่าหรือเจาะเอาหนองออก
5. ในรายที่เป็นเรื้อรัง ควรแนะนำไปโรงพยาบาล อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดต่อมทอนซิล
(tonsillectomy) ถ้าเป็นปีละหลายครั้ง (มากกว่า 4 ครั้งขึ้นไป) จนเสียงาน หรือหยุดเรียนบ่อย หรือมีอาการอักเสบของหูบ่อย ๆ นอกจากนี้ในรายที่เป็นฝีของทอนซิลแทรกซ้อน อาจต้องรักษา
ด้วยการผ่าตัดทอนซิล เพราะถ้าทิ้งเอาไว้ก็อาจมีการอักเสบเรื้อรังได้ การผ่าตัดทอนซิลมักจะทำ
ในช่วงอายุ 6-7 ปี

ข้อแนะนำ
1. โรคนี้พบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ เด็กบางคนอาจเป็นได้บ่อย แต่เมื่อโตขึ้น ร่างกายมีภูมิต้านทานดีขึ้น
ก็อาจค่อย ๆเป็นห่างขึ้นได้
2. อาการเจ็บคอ อาจมีสาเหตุได้หลายประการ ไม่จำเป็นต้องเป็นต่อมทอนซิลอักเสบเสมอไป ดังนั้น
ถ้าพบคนที่มีอาการเจ็บคอ ควรซักถามอาการอย่างละเอียด และตรวจดูคอทุกราย เพื่อแยกแยะสาเหตุ
3. ถ้าสงสัยว่าเกิดจากเชื้อบีตาสเตรปโตค็อกคัส กลุ่มเอ เช่น มีไข้สูงร่วมกับต่อมทอนซิลโตแดง หรือเป็น
หนอง หรือมีต่อมน้ำเหลืองที่ใต้คางบวมและเจ็บ ควรให้เพนิซิลลินวี  หรือ อะม็อกซีซิลลิน หรือ
อีริโทรไมซิน ให้ได้ครบ 10 วันเป็นอย่างน้อย เพื่อป้องกันมิให้เกิดไข้รูมาติก หรือหน่วยไตอักเสบแทรก
ซ้อน การรักษาอย่างผิด ๆ หรือกินยาไม่ครบขนาด เช่น ซื้อยาชุดกินเอง ถึงแม้ว่าจะช่วยให้อาการทุเลา แต่ก็มีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนดังกล่าวได้
สำหรับไข้รูมาติก ซึ่งพบมากในช่วงอายุ 5-15 ปี ถ้าไม่ได้รักษาหรือปล่อยให้เป็นเรื้อรัง จะทำให้เกิดโรค
หัวใจรูมาติก (Rheumatic heart disease) หรือลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบได้ บางรายอาจต้องลงเอยด้วยการ
ผ่าตัดหัวใจ ซึ่งทำให้สิ้นเปลืองเงินทองและเวลามาก

การป้องกัน
ปฏิบัติเช่นเดียวกับไข้หวัด และหมั่นรักษาสุขภาพฟันและช่องปาก

bar5.jpg (6486 bytes)











ไซนัส Sinusitis

ลักษณะทั่วไป
ไซนัส (sinus) หมายถึง โพรงอากาศเล็ก ๆ ในกะโหลกซึ่งอยู่รอบ ๆ จมูกและมีทางเชื่อมต่อกับโพรง
จมูก ดังนั้น จึงอาจมีเชื้อโรคลุกลามจากโพรงจมูกเข้าไปในโพรงไชนัสได้ ตามปกติทางเชื่อมดังกล่าวจะเปิดโล่งให้มีการระบายของน้ำเมือกที่สร้างขึ้นในโพรงไซนัสได้สะดวก
จึงไม่เกิดการอักเสบ แต่ถ้าหากทางเชื่อมดังกล่าวเกิดการอุดตันขึ้นมา (เช่น เป็นหวัด ผนังกั้นจมูกคด มีเนื้องอกในรูจมูก ได้รับบาดเจ็บ นั่งเครื่องบิน หรือดำน้ำ) น้ำเมือกในโพรงไซนัสไม่สามารถระบายได้ ก็จะทำให้เชื้อโรคที่อยู่ในโพรงไซนัส สามารถเจริญงอกงามทำให้เกิดการอักเสบ และเป็นหนองขังภาย
ในโพรงไซนัสได้

สาเหตุ
เชื้อที่เป็นสาเหตุ ที่พบบ่อย ได้แก่ บีตาสเตรปโตค็อกคัส, สแตฟฟีโลค็อกคัส, นิวโมค็อกคัส, ฮีโมฟิลุส
อินฟลูเอนซา นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการลุกลามของเชื้อโรค จากบริเวณรากฟันที่เป็นหนองเข้าไป
ในโพรงไซนัสโดยตรงก็ได้ ไซนัสอักเสบเป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทุกเพศทุกวัย มักพบเป็นโรคแทรก
ซ้อนของไข้หวัด, หวัดจากการแพ้, เยื่อจมูกอักเสบ, เนื้องอกในรูจมูก, ผนังกั้นจมูกคด, รากฟันเป็น
หนอง

อาการ
ปวดมึน ๆ หนัก ๆ ตรงบริวเณหัวตา หน้าผากโหนกแก้มหรือรอบ ๆ กระบอกตา บางคนอาจรู้สึกคล้าย
ปวดฟัน บริเวณขากรรไกรบน อาการปวดอาจเป็นมากในเวลาเช้าหรือบ่าย เวลาก้มศรีษะหรือเปลี่ยน
ท่า ผู้ป่วยจะมีอาการคัดจมูก พูดเสียงขึ้นจมูก มีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียว เจ็บคอ มีเสลดเหลืองหรือ
เขียวในลำคอ และอาจหายใจมีกลิ่นเหม็น ในรายที่เป็นไซนัสอักเสบเฉียบพลัน มักมีไข้ร่วมด้วย

สิ่งตรวจพบ
เยื่อจมูกบวมแดง คอแดงเล็กน้อย ที่สำคัญจะพบว่า ถ้าเคาะหรือกดแรง ๆ ตรงบริเวณหัวตา หน้าผาก
หรือใต้ตาจะรู้สึกเจ็บ อาจมีไข้ (ในรายที่เป็นเฉียบพลัน)

อาการแทรกซ้อน
อาจทำให้เป็นหูชั้นกลางอักเสบ , หลอดลมอักเสบ , ปอดอักเสบ , ฝีรอบกระบอกตา (Periorbital
abscess), เยื่อกระดูกอักเสบ (Osteomyelitis)
ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงแต่พบได้น้อย ได้แก่ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ , ฝีในสมอง

การรักษา
1. ให้ยารักษาตามอาการ เช่น ยาแก้ปวดลดไข้ , ยาแก้คัดจมูก อาจช่วยลดการบวมของเนื้อเยื่อที่
อักเสบ ซึ่งจะช่วยถ่ายเทหนอง ส่วนยาแก้แพ้  ไม่ควรให้ อาจทำให้น้ำเมือกในโพรงไซนัสเหนียว ถ่าย
เทออกได้ไม่ดี ยกเว้นในรายที่มีอาการของภูมิแพ้มาก เช่น จาม มีน้ำมูกมาก อาจให้เพียง 2-3 วัน เพื่อ
บรรเทาอาการ
2. ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น อะม็อกซีซิลลิน , อีริโทรไมซิน   หรือ โคไตรม็อกซาโซล   ปกติอาการจะทุเลา
หลังกินยา 2-3 วัน ควรให้กินติดต่อกันนาน 10-14 วัน
ในรายที่เป็นเรื้อรัง ขณะที่มีอาการกำเริบ ควรให้ยาปฏิชีวนะนาน 3-4 สัปดาห์
ถ้าอาการไม่ดีขึ้น หรือกำเริบบ่อย ควรส่งโรงพยาบาล เพื่อตรวจเอกซเรย์ไซนัส ถ้ามีหนองขังอยู่
อาจต้องทำการเจาะล้างโพรงจมูก ในรายที่เป็นมาก อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด

ข้อแนะนำ
1. ขณะที่มีอาการกำเริบ ควรงดว่ายน้ำ ดำน้ำ ขึ้นเครื่องบิน ประมาณ 2 สัปดาห์
2. โรคนี้มักเป็นเรื้อรัง แต่มีทางรักษาให้หายขาดได้ ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องติดต่อกันเป็นเวลา
นาน หรือแก้ไขสาเหตุ เช่น ผนังกั้นจมูกคด
3. ไม่ควรรักษากันเองตามแบบพื้นบ้าน เช่น ใช้สารกรดบางอย่าง หยอดเข้าจมูก(ทำให้มีน้ำมูกไหล
ออกมามาก เพราะเกิดการระคายเคืองต่อเยื่อจมูก) อาจทำให้เกิดการอักเสบ และจมูกพิการได้
4. ระวังอย่าให้เป็นหวัดบ่อย ๆ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้คัดจมูกหรือจาม (เช่น ฝุ่น อากาศเย็น ขนสัตว์)
และหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ

bar5.jpg (6486 bytes)













ปอดอักเสบ Pneumonia

ลักษณะทั่วไป
ปอดอักเสบ หมายถึง การอักเสบของปอด ซึ่งถือเป็นภาวะร้ายแรงชนิดหนึ่ง ภาษาอังกฤษ เรียกว่า
นิวโมเนีย (pneumnoia ) ชาวบ้านเรียกว่า ปอดบวม
มักพบในคนที่ไม่แข็งแรง (มีภูมิต้านทานโรคต่ำ) เช่น เด็กคลอดก่อนกำหนด เด็กแฝด เด็กขาด
อาหาร หรือเด็กที่กินนมข้นกระป๋อง คนชรา คนเมาเหล้า คนที่เป็นโรคทางปอดเรื้อรัง (เช่น หืด
หลอดลมอักเสบ ถุงลมพอง) คนที่กินสเตอรอยด์เป็นประจำ, ผู้ป่วยเอดส์ อาจพบเป็นโรคแทรกซ้อน
ของไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ต่อมทอนซิลอักเสบ หัด อีสุกอีใส ไอกรน ฯลฯ
ผู้ป่วยที่ฉีดยาด้วยเข็มสกปรก หรือพวกที่ฉีดยาเสพติดด้วนตนเอง ก็มีโอกาสติดเชื้อกลายเป็นโรค
ปอดบวมชนิดร้ายแรง (จากเชื้อสแตฟฟีโลค็อกคัส) ได้ บางครั้งอาจพบในเด็กที่สำลักน้ำมันก๊าด

สาเหตุ
เกิดจากมีเชื้อโรค หรือสารเคมีเข้าไปทำให้มีการอักเสบของปอด ที่สำคัญได้แก่
1. เชื้อแบคทีเรีย ซึ่งพบเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ของโรคนี้ที่พบบ่อยและรักษาได้ง่ายได้แก่ เชื้อปอดบวม
หรือ นิวโมค็อกคัส (Pneumococus) ที่พบน้อยแต่ร้ายแรง ได้แก่ เชื้อสแตฟฟีโลค็อกคัส
(Staphylococcus), สเตรปโตค็อกคัส (Streptococcus), เคล็บซิลลา (Klebsiella)
2. เชื้อไวรัส เช่น หัด ไข้หวัดใหญ่ อีสุกอีใส ฯลฯ
3. เชื้อไมโคพลาสมา (Mycoplasma pneumoniae) ซึ่งทำให้เกิดปอดอักเสบชนิดที่เรียกว่า Atypical
pneumonia เพราะมักจะไม่มีอาการหอบอย่างชัดเจน
4. เชื้อรา พบได้ค่อนข้างน้อย แต่รุนแรง
5. เชื้อโปรโตซัว เช่น นิวโมซิสติสคาริไน (Pneumocystis carinii) ที่พบในผู้ป่วยโรคเอดส์
6. สารเคมี ที่พบบ่อยได้แก่ น้ำมันก๊าด ซึ่งผู้ป่วยสำลักเข้าไปในปอด มักจะเป็นที่ปอดข้างขวามาก
กว่าข้างซ้าย

การติดต่อ อาจติดต่อได้ทางใดทางหนึ่ง ดังนี้
ก. ทางเดินหายใจ โดยการไอ จาม หรือหายใจรดกัน
ข. โดยการสำลักเอาสารเคมี หรือเศษอาหารเข้าไปในปอด
ค. แพร่กระจายไปตามกระแสเลือด เช่น การฉีดยา ให้น้ำเกลือ การอักเสบในอวัยวะส่วนอื่น
เป็นต้น

อาการ
มักเกิดขึ้นทันทีทันใดด้วยอาการไข้สูง (อาจจับไข้ตลอดเวลา) หนาวสั่น (โดยเฉพาะในระยะที่เริ่ม
เป็น) และหายใจหอบ ในระยะแรกอาจมีอาการไอแห้ง ๆ ไม่มีเสมหะ ต่อมาจะไอมีเสลดขุ่นข้นออก
เป็นสีเหลือง สีเขียว สีสนิมเหล็ก หรือมีเลือดปน
ในเด็กโตและผู้ใหญ่ อาจมีอาการเจ็บแปล๊บในหน้าอก เวลาหายใจเข้า หรือเวลาไอแรง ๆ บางครั้ง
อาจปวดร้าวไปที่หัวไหล่ สีข้างหรือท้องในเด็กเล็กอาจมีอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเดิน อาเจียน
กระสับกระส่าย หรือชัก

สิ่งตรวจพบ
ไข้สูง (39-40 ํซ.) หน้าแดง ริมฝีปากแดง ลิ้นเป็นฝ้า หายใจตื้นแต่ถี่ ๆ อาจมากกว่านาทีละ 30-40 ครั้ง
(เด็กอายุ 0-2 เดือน หายใจมากกว่า 60 ครั้งต่อนาที, 2 เดือนถึง 1 ปี หายใจมากกว่า 50 ครั้งต่อนาที,
1-5 ปี หายใจมากกว่า 40 ครั้งต่อนาที) ซี่โครงบุ๋ม รูจมูกบาน ถ้าเป็นมาก ๆ อาจมีอาการตัวเขียว
(ริมฝีปากเขียว ลิ้นเขียว เล็บเขียว) หรือภาวะขาดน้ำ บางรายอาจมีเริมขึ้นที่ริมฝีปาก ปอดอาจเคาะ
ทึบ (dullness) ใช้เครื่องฟังตรวจปอดอาจมีเสียงหายใจค่อย (diminished breath sound) หรือ
มีเสียงกรอบแกรบ (crepitation) ซึ่งมักจะได้ยินตรงใต้สะบักทั้ง 2 ข้าง

อาการแทรกซ้อน
อาจทำให้เป็นฝีในปอด (lung abscess), ภาวะมีหนองในช่องหุ้มปอด , ปอดแฟบ (atelectasis),
หลอดลมพอง, เยื่อหุ้มสมองอักเสบ, เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (pericarditis), เยื่อบุช่องท้องอักเสบ , ข้อ
อักเสบเฉียบพลัน, โลหิตเป็นพิษ ที่สำคัญคือภาวะขาดออกซิเจน และภาวะขาดน้ำ ซึ่งถ้าพบในเด็ก
เล็ก และคนแก่อาจทำให้ตายได้รวดเร็ว

การรักษา
1. ในรายที่เริ่มเป็น ยังไม่มีอาการหอบ ให้ดื่มน้ำมาก ๆ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง ให้ยาลดไข้ 
และให้ยาปฏิชีวนะ เช่น เพนวี , อะม็อกซีซิลลิน, อีริโทรไมซิน, เตตราไซคลีน
ถ้าไอมีเสลดให้ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ (วันละ 10-15 แก้ว) และอาจให้ยาขับเสมหะ เช่น มิสต์แอมมอนคาร์บ
ถ้าอาการดีขึ้นใน 3 วัน ควรให้ยาปฏิชีวนะต่อไปอีก 1 สัปดาห์ ถ้าไม่ดีขึ้น หรือกลับมีอาการหอบ ควร
แนะนำไปโรงพยาบาล
2. ถ้ามีอาการหอบ หรือสงสัยมีอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ รีบให้ยาปฏิชีวนะ แล้วส่งไปโรงพยาบาลด่วน
หากรักษาไม่ทันอาจตายได้ ถ้ามีภาวะขาดน้ำ ควรให้น้ำเกลือ ผู้ใหญ่ 5%D/NSS เด็กให้ 5%D/1/3 
NSS ระหว่างเดินทางไปด้วย มักจะต้องทำการตรวจโดยเอกซเรย์ปอด ตรวจเสมหะหาเชื้อที่เป็นสาเหตุ
 หรือเจาะเลือดไปเพาะเชื้อ และให้การรักษาโดยให้ออกซิเจน น้ำเกลือ และยาปฏิชีวนะซึ่งอาจให้
เพนิซิลลินฉีดเข้ากล้ามหรือเข้าเส้นเลือดในขนาดสูง ๆ หรือยาปฏิชีวนะตัวอื่น ๆ ตามแต่ชนิดของเชื้อที่
พบ เช่น เชื้อนิวโมค็อกคัส มักจะให้เพนวี   หรือเพนิซิลลินจี ชนิดฉีด, เชื้อสแตฟฟีโลค็อกคัสให้คล็อกซา
ซิลลิน , เชื้อไมโคพลาสมาให้ อีรีโทรไมซิน หรือเตตราไซคลีน, เชื้อนิวโมซิสติสคาริไน ให้โคไตรม็อก
ซาโซล เป็นต้น

ข้อแนะนำ
1. คนที่มีอาการไข้สูงและหอบ มักมีสาเหตุจากปอดอักเสบ แต่ก็อาจมีสาเหตุจากโรคอื่น ๆ ได้
2. โรคนี้ แม้ว่าจะมีอันตรายร้ายแรง แต่ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องก็มักจะหายขาดได้ ดังนั้น หากสงสัยผู้ป่วยเป็นโรคนี้ควรรีบให้ยาปฏิชีวนะ แล้วส่งไปโรงพยาบาลทันที

การป้องกัน
1. ปฏิบัติเช่นเดียวกับการป้องกันไข้หวัด
2. อย่าฉีดยาด้วยเข็มและกระบอกฉีดยาที่ไม่ได้ผ่านกรรมวิธีฆ่าเชื้อ
3. อย่าอมน้ำมันก๊าดเล่น ควรเก็บน้ำมันก๊าดให้ห่างมือเด็ก
4. เมื่อเป็นไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หัด อีสุกอีใส ฯลฯ ควรดูแลรักษาเสียแต่เนิ่น ๆ
5. ป้องกันมิให้เป็นโรคทางปอดเรื้อรัง (หลอดลมอักเสบ ถุงลมพอง) ด้วยการไม่สูบบุหรี่

bar5.jpg (6486 bytes)











อีสุกอีใส   Chickenpox/Varicella

ลักษณะทั่วไป
อีสุกอีใสเป็นโรคที่พบได้บ่อยในเด็กวัยเรียน ในผู้ใหญ่อาจพบได้บ้าง ซึ่งมักเป็นคนที่ไม่เคยเป็น
โรคนี้มาก่อน แล้วมักจะมีอาการ และภาวะแทรกซ้อนมากกว่าที่พบในเด็ก
มักพบระบาดในตอนปลายฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อน (มกราคมถึงเมษายน) เช่นเดียวกับหัด แต่ก็พบได้ประปรายตลอดทั้งป

สาเหตุ
เกิดจากเชื้ออีสุกอีใส ซึ่งเป็นไวรัสที่มีชื่อว่า วาริเซลลาไวรัส (Varicella virus) หรือ Human herpes
virus type 3 เป็นเชื้อตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดงูสวัด (188 ) ติดต่อโดยการสัมผัสถูกตุ่มน้ำโดยตรง
หรือสัมผัสถูกของใช้ (เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าห่ม ที่นอน) ที่เปื้อนถูกตุ่มน้ำของคนที่
เป็นอีสุกอีใสหรืองูสวัด หรือสูดหายใจเอาละอองของตุ่มน้ำ ผ่านเข้าทางเยื่อเมือกระยะฟักตัว
10-20 วัน

อาการ
เด็กจะมีไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลียและเบื่ออาหารเล็กน้อย ในผู้ใหญ่มักมีไข้สูง และปวดเมื่อยตามตัว
คล้ายไข้หวัดใหญ่ นำมาก่อน ผู้ป่วยจะมีผื่นขี้น ซึ่งจะขึ้นพร้อม ๆ กันกับวันที่เริ่มมีไข้ หรือ 1 วัน
หลังจากมีไข้ เริ่มแรกจะขึ้นเป็นผื่นแดงราบก่อน ต่อมาจะกลายเป็นตุ่มนูน มีน้ำใส ๆ อยู่ข้างใน
และมีอาการคัน ต่อมาจะกลายเป็นหนอง หลังจากนั้น 2-4 วัน ก็จะตกสะเก็ด ผื่นและตุ่มจะขึ้น
ตามไรผมก่อน แล้วลามไปตามหน้าลำตัว และแผ่นหลัง จะทยอยขึ้นเต็มที่ภายใน 4 วัน บางคน
มีตุ่มขึ้นในช่องปาก ทำให้ปากเปื่อย ลิ้นเปื่อย เจ็บคอ  บางคนอาจไม่มีไข้ มีเพียงผื่นและตุ่มขึ้น
ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเริม ได้ เนื่องจากผื่นตุ่มของโรคนี้จะค่อย ๆ ออกทีละระลอก (ชุด) ขึ้นไม่
พร้อมกันทั่วร่างกาย ดังนั้นจะพบว่า บางที่ขึ้นเป็นผื่นแดงราบ บางที่เป็นตุ่มใส บางที่เป็นตุ่ม
กลัดหนอง และบางที่เริ่มตกสะเก็ด ด้วยลักษณะนี้ ชาวบ้านจึงเรียกว่า อีสุกอีใส (มีทั้งตุ่มสุกตุ่มใส)

สิ่งตรวจพบ
มีผื่นแดงราบ ตุ่มใส ตุ่มหนอง กระจายตามหน้า ลำตัว และแผ่นหลัง มักพบว่ามีไข้

อาการแทรกซ้อน
พบได้น้อยในเด็ก แต่ถ้าเป็นในผู้ใหญ่ อาจมีภาวะแทรกซ้อนได้บ่อยและรุนแรงขึ้นที่พบได้บ่อย
คือ ตุ่มกลายเป็นหนองจากเชื้อแบคทีเรีย   พุพอง   ซึ่งอาจทำให้กลายเป็นแผลเป็นได้   บางคน
อาจกลายเป็นปอดอักเสบ   แทรกซ้อน ซึ่งอาจทำให้ตายได้ มักพบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก ที่ร้าย
แรง คือ สมองอักเสบ แต่พบได้น้อยมาก ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง มักเกิดในคนที่ใช้ยาที่ลด
ภูมิต้านทานโรค เช่น สเตอรอยด์   หรือยารักษามะเร็ง (เช่น เด็กที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว),
หรือผู้ป่วยเอดส์
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้แต่ค่อนข้างน้อยมาก ก็คือ หญิงตั้งครรภ์ในระยะไตรมาสแรกหรือ
ไตรมาสที่ 2 ที่ติดเชื้ออีสุกอีใส อาจทำให้ทารกในครรภ์พิการ (เช่น แขนพิการ สมองพิการ ตา
เป็นต้อกระจก เป็นต้น) นอกจากนี้ หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นอีสุกอีใสในระยะก่อนคลอด 5 วันหรือ
หลังคลอด 2 วัน ทารกที่เกิดมาอาจเป็นอีสุกอีใสชนิดรุนแรงได้ ทารกกลุ่มนี้ควรได้รับการฉีดสาร
อิมมูนโกลบูลิน (เช่น Varicella-zoster immune globulin) ป้องกันทันที

การรักษา
1. แนะนำการปฏิบัติตัวแก่ผู้ป่วย เช่น พักผ่อน, ดื่มน้ำมาก ๆ, ถ้ามีไข้สูง ห้ามอาบน้ำเย็น, ควรใช้ผ้า
ชุบน้ำเช็ดตัวบ่อย ๆ, ถ้าปากเปื่อยลิ้นเปื่อยใช้น้ำเกลือกลั้วปาก, ควรอาบน้ำฟอกสบู่ให้สะอาด (อาจ
ใช้สบู่ที่มียาฆ่าเชื้อ เช่น ไฟโซเฮกช์ ก็ได้) เพื่อป้องกันมิให้ตุ่มกลายเป็นหนอง
ผู้ป่วยควรตัดเล็บให้สั้น และพยายามอย่าแกะ หรือเกาตุ่มคัน อาจทำให้เกิดติดเชื้อกลายเป็นตุ่ม
หนองได้
2. ให้ยารักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้ , ทายาแก้ผดผื่นคัน , ถ้าคันมากให้ยาแก้แพ้ หรือไดอาซีแพม
เป็นต้น (ในเด็กควรหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน เพราะอาจทำให้เป็นเรย์ซินโดรม ซึ่งมีอันตรายร้ายแรงได้)
3. ถ้าตุ่มกลายเป็นหนอง ให้ทาด้วยขี้ผึ้งเตตราไซคลีน หรือ เจนเชียนไวโอเลต ถ้าเป็นมากให้กินยา
ปฏิชีวนะ เช่น คล็อกซาซิลลิน หรือ อีริโทรไมซิน
4. ถ้ามีอาการรุนแรงเช่น หอบ ชัก ซึม ไม่ค่อยรู้ตัว ควรส่งโรงพยาบาลด่วน

ข้อแนะนำ
1. โรคนี้ส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรง และหายได้เอง โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี ไข้อาจ
มีอยู่เพียงไม่กี่วัน ส่วนตุ่มจะตกสะเก็ดหลุดหายใน 1-3 สัปดาห์ ผู้ใหญ่ที่เป็นโรคนี้ อาจเป็นนาน และมีความรุนแรงมากกว่าผู้ป่วยเด็ก
2. โรคนี้เมื่อเป็นแล้ว มักมีภูมิต้านทานไปจนตลอดชีวิต จะไม่เป็นซ้ำอีก แต่อาจมีโอกาสเป็นงูสวัด
ในภายหลังได้
3. ไม่ควรใช้ยาที่เข้าสเตอรอยด์ทั้งยากิน (เช่น ยาชุด) และยาทา เพราะอาจทำให้โรคลุกลามได้
4. ควรแยกผู้ป่วยออกต่างหาก ระยะแพร่เชื้อติดต่อให้คนอื่นได้ คือ ตั้งแต่ระยะ 24 ชั่วโมงก่อนมีผื่นขึ้น จนกระทั่งระยะ 6 วันหลังผื่นตุ่มขึ้น
5. ไม่มีของแสลงสำหรับโรคนี้ ควรให้ผู้ป่วยกินอาหารพวกโปรตีน (เช่น เนื้อ นม ไข่ ถั่วต่าง ๆ) ให้มาก ๆ เพื่อให้มีภูมิต้านทานโรค
6. ในปัจจุบันมียาต้านไวรัส - อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) ผู้ใหญ่ให้ครั้งละ 800 มก. วันละ 5 ครั้ง (เด็ก
อายุต่ำกว่า 12 ปีให้ในขนาด 20 มก.ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อครั้งทุก 6 ชั่วโมง) นาน 5-7 วัน
ควรให้หลังมีอาการภายใน 24 ชั่วโมงจะช่วยลดความรุนแรง และระยะของโรคลงได้ แต่จะพิจารณาใช้
ในรายที่จำเป็น เช่น มีภาวะภูมิต้านทานต่ำ, เป็นปอดอักเสบจากเชื้ออีสุกอีใส

การป้องกัน
ในปัจจุบันมีวัคซีนฉีดป้องกันโรคอีสุกอีใสใช้แล้ว แต่ราคาค่อนข้างแพง จึงแนะนำให้ฉีดในคนที่มีอายุ
มากกว่า 15 ปีขึ้นไปที่ยังไม่เคยเป็นโรคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดโรคนี้สูง เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ดูแลเด็กในสถานเลี้ยงเด็ก ครูอนุบาลหรือชั้นประถมศึกษา เป็นต้น ควรเจาะเลือดตรวจหาแอนติบอดีต่อโรคนี้ก่อน (ถ้าตรวจพบแสดงว่าเคยได้รับเชื้อแล้ว ไม่จำเป็นต้อง
ฉีดวัคซีน) ส่วนคนที่อายุต่ำกว่า 15 ปี ส่วนใหญ่จะมีโอกาสติดเชื้อโดยธรรมชาติอยู่แล้ว และมักจะเป็น
ไม่รุนแรง จึงมีความจำเป็นในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้ไม่มาก  

รายละเอียด
เด็กที่เป็นอีสุกอีใส ควรตัดเล็บให้สั้น และอย่าเกาตุ่มคัน อาจทำให้กลายเป็นแผลเป็นได้

bar5.jpg (6486 bytes)











หัดเยอรมัน Rubella

ลักษณะทั่วไป
หัดเยอรมันเป็นโรคที่พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ มีอาการไข้ และออกผื่นคล้ายหัด แต่มีความรุนแรงและโรคแทรกซ้อนน้อยกว่าหัด เนื่องจากแพทย์ชาวเยอรมันเป็นผู้อธิบายว่า โรคนี้เป็นโรคใหม่ที่ต่างจากหัดเป็นคนแรก โดยทั่วไป จึงเรียกโรคนี้ว่า หัดเยอรมัน     ส่วนใน
บ้านเรามีชื่อเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า เหือด โรคนี้ไม่ใช่โรคร้ายแรง ถ้าเป็นกับเด็กหรือผู้ใหญ่ทั่วไป
มักจะหายได้เอง โดยไม่มีโรคแทรกซ้อนที่รุนแรง
ที่สำคัญคือ ถ้าเกิดในหญิงตั้งครรภ์ในระยะ 3 เดือนแรก เชื้ออาจแพร่กระจายเข้าทารกในครรภ์
ทำให้ทารกพิการได้ โรคนี้มักพบระบาดในโรงเรียน โรงงาน ที่ทำงาน ที่มีคนอยู่กันมาก ๆ ในช่วง
เดือนมกราคมถึงเมษายน

สาเหตุ
เกิดจากเชื้อหัดเยอรมัน เป็นไวรัสที่มีชื่อว่า รูเบลลา (Rubella) ซึ่งมีอยู่ในน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย
ติดต่อโดยการ ไอ จาม หรือ หายใจรดกัน เช่นเดียวกับไข้หวัด หรือหัด    ระยะฟักตัว 14-21 วัน

อาการ
มีไข้ต่ำ ๆ ถึงปานกลาง ร่วมกับมีผื่นเล็ก ๆ สีชมพูอ่อนขึ้นกระจายทั่วไป ผื่นมักอยู่แยกจากกันชัดเจน (แต่อาจแผ่รวมกันเป็นแผ่นได้) เริ่มขึ้นที่หน้าผากตรงชายผม รอบปาก และใบหูก่อน แล้วลงมาที่คอ
ลำตัว และแขนขา ผื่นอาจมีอาการคันหรือไม่ก็ได้ ผื่นอาจขึ้นในวันเดียวกับที่มีไข้ หรือหลังมีไข้ 1-2 วัน และมักจะจางหายภายใน 3-5 วัน โดยจางหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทิ้งรอยแต้มดำ ๆ ให้เห็นเหมือนผื่น
ของหัดบางคนอาจมีผื่นขึ้นโดยไม่มีไข้ หรือมีไข้โดยไม่มีผื่น
บางคนอาจมีอาการแสบตาเคืองตา เจ็บคอเล็กน้อย ปวดเมื่อยตามตัวเล็กน้อย อาการโดยทั่วไปมัก
ไม่ค่อยรุ่นแรง และดูท่าทางค่อนข้างสบาย
บางคนอาจติดเชื้อหัดเยอรมัน โดยไม่มีอาการแสดงใด ๆ เลยก็ได้

สิ่งตรวจพบ
ไข้ 37.5 - 38.5 ํ ซ. ผื่นแดงเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วตัว ตาแดงเล็กน้อย
ที่สำคัญซึ่งบ่งชี้ถึงลักษณะของโรคนี้ คือ มีต่อมน้ำเหลืองโต (คลำได้เป็นเม็ดตะปุ่มตะป่ำ)
ตรงหลังหู หลังคอ ท้ายทอย และข้างคอทั้ง 2 ข้าง

อาการแทรกซ้อน
อาจทำให้ข้อนิ้วมือนิ้วเท้าอักเสบเล็กน้อย
สมองอักเสบอาจพบได้บ้าง แต่น้อยมาก
ข้อสำคัญ คือ ถ้าเป็นในหญิงมีครรภ์ 3 เดือนแรก อาจทำให้ทารกในครรภ์พิการได้ (ครรภ์ภาย
ในเดือนที่ 1 พบทารกพิการถึง 10% - 50%, ภายในเดือนที่ 2 พบได้ 14%-25%, ภายในเดือนที่
3 พบได้ 6%-17% และหลังเดือนที่ 3 พบได้ 0-5%) ทำให้ทารกที่คลอดออกมาเป็นต้อกระจก
ต้อหิน หูหนวก หัวใจพิการแบบต่าง ๆ (ที่พบบ่อยคือ patent ductus arteriosus) เด็กน้ำหนักตัว
น้อยกว่าปกติ ตับอักเสบ (ดีซ่าน) ซีด มีจ้ำเขียวขึ้นตามตัว สมองอักเสบ ปัญญาอ่อน เป็นต้น ความพิการเหล่านี้อาจเกิดร่วมกัน หรือเป็นเพียงอย่างเดียวก็ได้ การช่วยเหลือให้สู่ภาวะปกติ
ทำได้น้อยราย เราเรียกทารกที่ติดเชื้อหัดเยอรมันขณะอยู่ในครรภ์ดังกล่าวนี้ว่า โรคหัดเยอรมัน
โดยกำเนิด (Congenital rubella)

การรักษา
1. สำหรับหัดเยอรมันที่พบในเด็ก และผู้ใหญ่ทั่วไป (ที่ไม่ได้ตั้งครรภ์) ให้การรักษาตามอาการ
เช่น ยาลดไข้ , ถ้าคันทายาแก้ผดผื่นคัน   โดยทั่วไปมักจะหายภายใน 3-5 วัน
2. ถ้าพบในหญิงตั้งครรภ์ระยะ 3 เดือนแรก ควรแนะนำไปโรงพยาบาล อาจต้องตรวจเลือดพิสูจน์ ถ้าเป็นจริงควรแนะนำให้ทำแท้ง

ข้อแนะนำ
1. ควรอธิบายให้ประชาชนทั่วไปทราบว่า โรคนี้ไม่ใช่โรคร้ายแรงที่เกิดกับคนทั่วไป ความรุนแรงมีน้อยกว่าหัดด้วยซ้ำไป แต่ที่สร้างปัญหา คือ ส่วนที่เกิดกับหญิงตั้งครรภ์อ่อน ๆ
(ภายในระยะ 3 เดือน) เท่านั้น ที่ทำให้ทารกในครรภ์เกิดมาพิการ
2. โรคนี้เป็นแล้วจะไม่เป็นซ้ำอีก เพราะภูมิต้านทานโรคไปชั่วชีวิต
3. หญิงที่เป็นหัดเยอรมัน ให้คุมกำเนิดไว้ 3 เดือน เพื่อความแน่ใจว่าทารกจะปลอดภัย
4. ในระยะที่มีการระบาดของโรค สำหรับหญิงที่แต่งงานแล้ว ซึ่งยังไม่เคยฉีดวัคซีน หรือเคยเป็น
โรคนี้มาก่อน ควรคุมกำเนิดไว้ก่อนจนพ้นระยะระบาด ระหว่างนี้ควรฉีดวัคซีนป้องกัน
5. หญิงมีครรภ์ที่มีอาการไข้และมีผื่นขึ้น หรืออยู่ใกล้ชิดกับคนที่เป็นโรคหัดเยอรมัน (แม้จะไม่มี
อาการอะไรเลยก็ตาม) ควรไปพบแพทย์ แพทย์มักจะเจาะเลือดตรวจ โดยเจาะอย่างน้อย 2 ครั้ง
ห่างกัน 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน สุดแล้วแต่แพทย์เห็นสมควร
ถ้าพบว่าเป็นหัดเยอรมัน สำหรับหญิงที่ตั้งครรภ์ในระยะ 3 เดือนแรก แพทย์จะแนะนำให้ทำแท้ง ส่วนครรภ์ในระยะเดือนที่ 7-9 ทารกมักจะปลอดภัย ส่วนครรภ์ในระยะเดือนที่ 4-6 ทารกอาจมี
โอกาสพิการ แต่น้อยมาก แพทย์จะตัดสินใจเป็นราย ๆ ว่าจำเป็นต้องทำแท้งหรือไม่

การป้องกัน
โรคนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ถ้าฉีดครั้งแรกตอนอายุ 9-15 เดือน ควรฉีดกระตุ้นอีกครั้ง
เมื่ออายุ 12-16 ปี แต่ถ้าเริ่มฉีดเข็มแรกตอนโต ก็ไม่จำเป็นต้องฉีดกระตุ้น
คนที่ควรแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้มากที่สุด คือ กลุ่มเด็กหญิงวัยรุ่น และกลุ่มหญิงวัยเจริญพันธุ์
ถ้าเป็นหญิงที่แต่งงานแล้ว แนะนำให้ฉีดวัคซีนในระยะที่มีประจำเดือน และคุมกำเนิดอย่างน้อย 8
สัปดาห์ เหตุผลไม่ใช่เพราะว่า วัคซีนมีอันตรายต่อทารกในครรภ์ แต่เนื่องจากวัคซีนจะสร้างภูมิคุ้มกัน
โรคได้จริง ๆ หลังฉีด 6-8 สัปดาห์ไปแล้ว ถ้าระหว่างนี้มีการติดเชื้อจากผู้อื่นอาจบดบังอาการของโรคได้ และอาจมีอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้

รายละเอียด
หัดเยอรมัน อาจทำให้ทารกในครรภ์พิการได้

bar5.jpg (6486 bytes)













คออักเสบ Pharyngitis
ต่อมทอลซิลอักเสบ   Tonsilitis

ลักษณะทั่วไป
การอักเสบภายในลำคอและต่อมทอนซิล มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ทำให้มีไข้สูง
และเจ็บคอ
คออักเสบที่เกิดจากไวรัส ที่พบได้บ่อย เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ พวกนี้มักจะมีน้ำมูกใส ๆ ต่อมทอนซิล
ไม่แดงมาก และไม่มีหนอง
เมื่อพูดถึงต่อมทอนซิลอักเสบ เรามักจะหมายถึง การอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เชื้อบีตาสเตรปโตค็อกคัส กลุ่ม เอ ซึ่งอาจทำให้มีโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ โรคนี้พบได้บ่อยในกลุ่มเด็ก
วัยเรียน และพบได้เป็นครั้งคราวในผู้ใหญ่

สาเหตุ
เกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ซึ่งมีอยู่หลายชนิด
ที่สำคัญ คือ เชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า บีตาสเตรปโตค็อกคัส กลุ่ม เอ (Beta Streptococcus group A) ซึ่งทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่สำคัญ คือ ไข้รูมาติก และหน่วยไตอักเสบ   ติดต่อโดยการหายใจ
ไอหรือจามรดกัน (เช่นเดียวกับไข้หวัด) ระยะฟักตัว ประมาณ 1-5 วัน

อาการ
ในรายที่เป็นเฉียบพลัน จะมีไข้สูงเกิดขึ้นทันทีทันใด และมีอาการปวดศรีษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
ครั่นเนื้อครั่นตัว หรือหนาวสะท้าน รู้สึกแห้งผากในลำคอ หรือเจ็บในคอมาก บางคนอาจเจ็บคอมาก
จนกลืนน้ำและอาหารลำบาก ในเด็กเล็กอาจมีอาการอาเจียน ไอ ปวดท้อง หรือท้องเดินร่วมกัน เด็กบางคนอาจมีไข้สูงจนชัก หรือร้องกวนไม่ยอมนอน บางครั้งอาจสังเกตเห็นมีก้อนบวมและเจ็บ
(ก้อนลูกหนู หรือต่อมน้ำเหลืองอักเสบ) ที่บริเวณใต้คางข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง
ในรายที่เป็นเรื้อรัง จะมีอาการเจ็บคอบ่อย ๆ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ไอแห้ง ๆ หรือมีเสมหะเล็กน้อย
มักไม่มีไข้ หรือบางครั้งอาจมีไข้ต่ำ ๆ

สิ่งตรวจพบ
ไข้สูง (39-40 ํ ซ.)
ในรายการที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย มักจะพบต่อมทอนซิลบวมโต มีสีแดงจัด และมีหนองขาว ๆ
เหลือง ๆ เป็นจุด ๆ อยู่บนต่อมทอนซิล ซึ่งเขี่ยออกง่าย
ถ้าพบเป็นแผ่นขาวปนเทา ซึ่งเขี่ยออกยาก และมีเลือดออก ควรนึกถึงคอตีบ
นอกจากนี้ อาจพบต่อมน้ำเหลืองที่ใต้คางบวม และเจ็บ
ในรายการที่ต่อมทอนซิลโตมาก ๆ จนดันลิ้นไก่เบี้ยวไปอีกข้างหนึ่ง ควรนึกถึงโรคฝีของทอนซิล
ในรายที่เป็นเรื้อรัง พบว่าต่อมทอนซิลโต ผิวขรุขระแต่ไม่แดงมาก และพบตุ่มน้ำเหลืองบนผนังคอ
เป็นลักษณะแดงเรื่อ และสะท้อนแสงไฟ ต่อมน้ำเหลืองที่ใต้คางมักจะโต และเจ็บเรื้อรัง

อาการแทรกซ้อน
1. เชื้ออาจลุกลามไปยังบริเวณใกล้เคียงทำให้หูชั้นกลางอักเสบ , ต่อมน้ำเหลืองที่คออักเสบ,
จมูกอักเสบ , ไซนัสอักเสบ , ฝีของทอนซิล (peritonsillar abscess), ปอดอักเสบ
2. เชื้ออาจแพร่กระจายเข้ากระแสเลือด ทำให้เป็นข้ออักเสบเฉียบพลัน กระดูกอักเสบ
(osteomyelitis) เยื่อหุ้มสมองอักเสบ
3. โรคแทรกที่สำคัญ คือ ไข้รูมาติก และหน่วยไตอักเสบ ซี่งมักจะเกิดหลังต่อมทอนซิลอักเสบ
1-4 สัปดาห์ เกิดจากปฏิกิริยาจากแอนติบอดี (ที่ถูกกระตุ้นด้วยเชื้อบีตาสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ)

การรักษา
1. แนะนำให้ผู้ป่วยพักผ่อน ดื่มน้ำมาก ๆ และใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง ควรให้ผู้ป่วยกินอาหาร
อ่อน และดื่มน้ำหวานบ่อย ๆ   ควรกลั้วคอด้วยน้ำเกลือ (ผสมเกลือป่นประมาณ 1/2 ช้อนโต๊ะ ในน้ำ
อุ่น 1 แก้ว) วันละ 2 -3 ครั้ง
2. ให้ยาลดไข้ เด็กเล็กที่เคยชัก ให้ยากันชัก ร่วมด้วย
3. ในรายที่ต่อมทอนซิลอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งต่อมทอนซิลมักจะมีลักษณะสีแดงจัด หรือ
จุดหนอง หรือมีต่อมน้ำเหลืองที่ใต้คางบวมและเจ็บ ให้รักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ตัวที่แนะนำ คือ
เพนวี  หรือ อะม็อกซีซิลลิน   ถ้าแพ้ยานี้ให้ใช้ อีริโทรไมซิน แทน ให้ยาสัก 3 วันดูก่อน ถ้าดีขี้นควรให้
ต่อจนครบ 10 วัน เพื่อป้องกัน มิให้เกิด ไข้รูมาติก หรือหน่วยไตอักเสบแทรกซ้อน
4. ถ้าอาการไม่ดีขึ้นใน 3 วัน หรือ กินยาไม่ได้ หรือสงสัยมีโรคแทรกซ้อนรุนแรง ให้แนะนำผู้ป่วยไป
โรงพยาบาล   ในรายที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย และไม่มีประวัติการแพ้เพนิซิลลิน อาจต้องใช้ยาฉีด
ประเภทเพนิซิลลิน ที่สะดวก ได้แก่ เบนซาทีน เพนิซิลลิน หรือเพนาเดอร์ ซึ่งใช้ยาฉีดเพียงเข็มเดียว
เท่านั้น  ถ้าเป็นฝีของทอนซิล อาจต้องผ่าหรือเจาะเอาหนองออก
5. ในรายที่เป็นเรื้อรัง ควรแนะนำไปโรงพยาบาล อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดต่อมทอนซิล
(tonsillectomy) ถ้าเป็นปีละหลายครั้ง (มากกว่า 4 ครั้งขึ้นไป) จนเสียงาน หรือหยุดเรียนบ่อย หรือมีอาการอักเสบของหูบ่อย ๆ นอกจากนี้ในรายที่เป็นฝีของทอนซิลแทรกซ้อน อาจต้องรักษาด้วย
การผ่าตัดทอนซิล เพราะถ้าทิ้งเอาไว้ก็อาจมีการอักเสบเรื้อรังได้ การผ่าตัดทอนซิลมักจะทำในช่วง
อายุ 6-7 ปี

ข้อแนะนำ
1. โรคนี้พบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ เด็กบางคนอาจเป็นได้บ่อย แต่เมื่อโตขึ้น ร่างกายมีภูมิต้านทานดีขึ้น
ก็อาจค่อย ๆ เป็นห่างขึ้นได้
2. อาการเจ็บคอ อาจมีสาเหตุได้หลายประการ ไม่จำเป็นต้องเป็นต่อมทอนซิลอักเสบเสมอไป ดังนั้นถ้าพบคนที่มีอาการเจ็บคอ ควรซักถามอาการอย่างละเอียด และตรวจดูคอทุกราย เพื่อแยกแยะ
สาเหตุ
3. ถ้าสงสัยว่าเกิดจากเชื้อบีตาสเตรปโตค็อกคัส กลุ่มเอ เช่น มีไข้สูงร่วมกับต่อมทอนซิลโตแดง หรือ
เป็นหนอง หรือมีต่อมน้ำเหลืองที่ใต้คางบวมและเจ็บ ควรให้เพนิซิลลินวี หรือ อะม็อกซีซิลลิน หรือ
อีริโทรไมซิน  ให้ได้ครบ 10 วันเป็นอย่างน้อย เพื่อป้องกันมิให้เกิดไข้รูมาติก หรือหน่วยไตอักเสบ
แทรกซ้อน การรักษาอย่างผิด ๆ หรือกินยาไม่ครบขนาด เช่น ซื้อยาชุดกินเอง ถึงแม้ว่าจะช่วยให้อาการ
ทุเลา แต่ก็มีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนดังกล่าวได้
สำหรับไข้รูมาติก ซึ่งพบมากในช่วงอายุ 5-15 ปี ถ้าไม่ได้รักษาหรือปล่อยให้เป็นเรื้อรัง จะทำให้เกิดโรค
หัวใจรูมาติก (Rheumatic heart disease) หรือลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบได้ บางรายอาจต้องลงเอยด้วยการ
ผ่าตัดหัวใจ ซึ่งทำให้สิ้นเปลืองเงินทองและเวลามาก

การป้องกัน
ปฏิบัติเช่นเดียวกับไข้หวัด และหมั่นรักษาสุขภาพฟันและช่องปาก

รายละเอียด
เมื่อสงสัยต่อมทอนซิลอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย ควรให้ยาปฏิชีวนะอย่างน้อย 10 วัน

bar5.jpg (6486 bytes)


wpe5.jpg (2165 bytes)
ThaiL@bOnLine - Crystal Diagnostics
Email : vichai-cd@usa.net