| |
TOP 

ลักษณะทั่วไป
ไข้รากสาดน้อย
พบได้บ่อยมาตั้งแต่สมัยโบราณ
ดังที่ชาวบ้านรู้จักกันดีว่า
ไข้หัวโกร๋น เพราะสมัย
นั้นยังไม่มียารักษา
เป็นไข้กันเป็นเดือนจนกระทั่งผมร่วง
พบได้ในทุกอายุ
แต่จะพบมากในคนอายุ
10-30 ปี อาจจะพบว่ามีคนในละแวก
ใกล้เคียงเคยเป็น
หรือกำลังเป็นโรคนี้ด้วย
พบมากในฤดูร้อน
แต่ก็พบได้เกือบทั้งปี
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อไทฟอยด์
เป็นแบคทีเรียที่มีชื่อว่า
"ซัลโมเนลลา ไทฟี" (Salmonella typhi)
ติดต่อโดยการ
กินอาหาร
หรือน้ำดื่มที่ติดเชื้อจากอุจจาระ
หรือปัสสาวะของผู้ป่วย
หรือที่มีแมลงวันตอม ระยะฟักตัว
ประมาณ 14 วัน (7-21 วัน)
อาการ
อาการจะค่อยเป็นค่อยไป
โดยเริ่มแรกจะมีอาการไข้ต่ำ ๆ
ครั่นเนื้อครั่นตัว
ปวดเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย
คล้ายไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่
แต่ไม่มีน้ำมูก
อาจมีเลือดกำเดาออก
บางครั้งอาจมีอาการไอ และเจ็บคอ
เล็กน้อย มักมีอาการท้องผูก
หรือไม่ก็ถ่ายเหลวเสมอ
อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน
ปวดแน่นท้อง ท้องอืด
และกดเจ็บเล็กน้อย
ต่อมาไข้จะค่อย ๆ สูงขึ้นทุกวัน
และจับไข้ตลอดเวลา
ถึงแม้จะกินยาลดไข้ก็อาจไม่
ลด
ทุกครั้งที่จับไข้จะรู้สึกปวดศีรษะมาก
อาการไข้มักจะเรื้อรัง
ถ้าไม่ได้รับการรักษา
อาจมีไข้สูงอยู่นาน
3 สัปดาห์ แล้วค่อย ๆ
ลดลงจนเป็นปกติเมื่อพ้น 4 สัปดาห์
บางรายอาจเป็นไข้อยู่นาน 6
สัปดาห์ก็ได้
บางรายอาจมีอาการหนาวสะท้านเป็นพัก
ๆ เพ้อ
หรือปวดท้องรุนแรงคล้ายไส้ติ่งอักเสบ
หรือถุงน้ำดี
อักเสบ
ผู้ป่วยจะซึมและเบื่ออาหารมาก
ถ้ามีอาการมากกว่า 5 วัน
ผู้ป่วยจะดูหน้าซีดเชียว
แต่เปลือก
ตาไม่ซีด
(เหมือนอย่างผู้ป่วยโลหิตจาง)
ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคที่เรียกว่า
หน้าไทฟอยด์
สิ่งตรวจพบ
ไข้ 38.5-40 ํซ. หน้าซีดเชียว
และเปลือกตาไม่ซีด ฝ่ามือซีด
ริมฝีปากแห้ง อาจมีอาการท้องอืด
กดเจ็บ
ใต้ชายโครงขวา
หรือท้องน้อยข้างขวา
ตับม้ามอาจโต
อาจพบจุดแดงคล้ายยุงกัด
เมื่อดึงหนังให้ตึงจะ
จางหายเรียกว่า โรสสปอต (Rose spots)
ที่หน้าอก หรือหน้าท้อง
ซึ่งมักจะขึ้นหลังมีไข้ได้ 5 วัน
และ
ขึ้นอยู่นาน 3-4 วัน
ในบางรายอาจมีอาการ ดีซ่าน
หรือซีด (ถ้าเป็นเรื้อรัง)
อาการแทรกซ้อน
ที่พบบ่อย และเป็นอันตราย ได้แก่
เลือดออกในลำไส้
(ถ่ายเป็นเลือดสด ๆ
อาจถึงช็อกได้) และลำไส้
ทะลุ (ท้องอืด ท้องแข็ง)
ซึ่งจะพบหลังมีอาการได้ 2-3
สัปดาห์
ที่พบรองลงไป ได้แก่ ปอดอักเสบ ,
โลหิตเป็นพิษ ,
กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ,
ถุงน้ำดีอักเสบ , ไตอักเสบ,
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ , โรคจิต
การกลับเป็นซ้ำ
บางรายแม้ว่าจะรักษาจนไข้หายแล้ว
อาจมีไข้กำเริบได้
ใหม่ หลังจากหยุดยาไปประมาณ 2
สัปดาห์
การรักษา
หากสงสัย ควรส่งตรวจเพิ่มเติม
ด้วยการตรวจเลือด ทำการ ทดสอบไวดาล (Widal test)
ตรวจนับ
จำนวนเม็ดเลือดขาว (มักต่ำกว่า
5,000 ตัวต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร),
นำเลือด อุจจาระ และปัสสาวะ
ไปเพาะหาเชื้อ
ถ้าพบว่าเป็นโรคนี้
ควรให้การรักษา ดังนี้
1.แนะนำให้ผู้ป่วยกินอาหารอ่อน,
ดื่มน้ำมาก ๆ ,
ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง,
ถ้ากินข้าวไม่ได้
นาน ๆ ให้ยาบำรุงพวก วิตามิน,
ให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล
2.ให้ยาปฏิชีวนะ โคไตรม็อกซาโซล
ครั้งละ 2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง
เช้าและเย็น (ในเด็กให้ 6
มิลลิกรัม
ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน
ของไตรเมโทพริม)
หรือให้คลอแรมเฟนิคอล วันละ 2
กรัม (ในเด็กให้ 75-100
มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1
กิโลกรัมต่อวัน)
แบ่งให้วันละ 4 ครั้ง หรือ
อะม็อกซีซิลลิน วันละ 2 กรัม
(ในเด็กให้ 50
มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1
กิโลกรัม
ต่อวัน) แบ่งให้ 4 ครั้ง
ถ้าดีขึ้น (กินข้าวได้มากขึ้น
ไข้ลด) ให้ยาต่อจนครบ 14 วัน
ถ้าไม่ดีขึ้นใน 4-7 วัน
หรือในรายที่สงสัยว่ามีอาการแทรกซ้อน
ควรส่งโรงพยาบาล
ในรายที่เชื้อดื้อยา
อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะไซโพรฟล็อกซาซิน
(Cyprofloxacin) 750 มก. วันละ 2 ครั้ง
ข้อแนะนำ
1.โรคนี้ต้องใช้เวลารักษาติดต่อกันอย่างน้อย
2 สัปดาห์ เมื่อได้รับการรักษา
ไข้จะค่อย ๆ ลดลง จน
กระทั่ง 4 วัน แล้วจึงจะไม่มีไข้
ถ้าให้คลอแรมเฟนิคอล
อาจใช้เวลาอย่างน้อย 4
วันกว่าไข้จะลดเป็น
ปกติ ถ้าให้โคไตรม็อกซาโซล
อาจใช้เวลา 6-10 วันกว่าไข้จะลด
ส่วนอะม็อกซีซิลลิน
อาจต้องใช้เวลา
นานกว่า 10 วัน
2. ผู้ป่วยบางรายเมื่อไข้หายแล้ว
อาจมีอาการไข้กำเริบได้ใหม่
ภายหลังการหยุดยาไปแล้วประมาณ
2 สัปดาห์
แต่อาการไม่รุนแรงเท่าครั้งแรก
ควรให้ยารักษาซ้ำอีกครั้ง
เป็นเวลา 1 สัปดาห์
3. ผู้ป่วยบางรายเมื่อหายแล้ว
อาจมีเชื้อไทฟอยด์หลบซ่อนอยู่ในถุงน้ำดี
โดยไม่มีอาการผิดปกติแต่
อย่างไร เราเรียกว่า พาหะนำโรค
(carrier)
ซึ่งมักจะปล่อยเชื้อออกมากับอุจจาระ
แพร่กระจายให้คนอื่น
ต่อไปเรื่อย ๆ
แพทย์สามารถตรวจพบโดยการนำอุจจาระไปเพาะเชื้อ
และอาจให้การรักษาโดยให้
โคไตรม็อกซาโซล หรือ
อะม็อกซีซิลลิน
หรือไซโพรฟล็อกซาซิน นาน 4
สัปดาห์ บางรายอาจต้องผ่าตัด
เอาถุงน้ำดีออก
4.
ผู้ป่วยบางรายอาจดื้อยาปฏิชีวนะ
โดยเฉพาะคลอแรมเฟนิคอล ดังนั้น
ถ้าหากให้ยา 4-7 วันแล้ว
อาการไม่ดีขึ้น
ควรแนะนำไปตรวจเพิ่มเติมที่โรงพยาบาล
การป้องกัน
1. ในเด็กอายุมากกว่า 6
ปีให้วัคซีนป้องกันไทฟอยด์
ถ้าใช้วัคซีนชนิดฉีด ให้ฉีด 2
เข็มห่างกัน 1 เดือน
และกระตุ้นซ้ำทุก 3 ปี
ควรฉีดเข้าใต้ชั้นผิวหนัง
วัคซีนชนิดนี้อาจทำให้มีไข้
หรือเกิดรอยบวมแดง
บริเวณที่ฉีดได้
ในปัจจุบันมีวัคซีนชนิดแคปซูลใช้แทนชนิดฉีดได้
ให้กินครั้งละ 1 แคปซูล
วันเว้นวัน
3 ครั้ง โดยต้องกลืนทั้งแคปซูล
อย่าถอดแคปซูลออก
เชื้ออาจถูกกรดในกระเพาะอาหารทำลายได้
และในช่วงที่กินวัคซีนอยู่
ไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะร่วมด้วย
ยาอาจฆ่าเชื้อในวัคซีนตายหมดได้
2. กินอาหารสุกที่ไม่มีแมลงวันตอม
และดื่มน้ำสะอาด
3.
ถ่ายอุจจาระลงในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ
4.
ล้างมือก่อนปรุงอาหารและเปิบข้าว
และหลังถ่ายอุจจาระทุกครั้ง
5. สำหรับผู้ป่วย
ควรแยกสำรับอาหาร
และเครื่องใช้ส่วนตัว
อย่าปะปนกับผู้อื่น
อุจจาระควรถ่ายลง
ในส้วม
และควรล้างมือให้สะอาดหลังถ่าย
ข้อแนะนำ
ถ้าเป็นไข้รากสาดน้อย
ควรให้ยาปฏิชีวนะอย่างน้อย 14 วัน

ลักษณะทั่วไป
ตับแข็ง เป็นโรคตับเรื้อรัง
ที่เซลล์ตับจำนวนมากถูกทำลายอย่างถาวร
จนกลายเป็นเยื่อพังผืด
ที่มีลักษณะแข็งกว่าปกติ
ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ร่างกายสร้างตาม
ธรรมชาติ
(เป็นเหตุทำให้มีอาการฝ่ามือแดง
จุดแดงรูปแมงมุม
นมโตและอัณฑะฝ่อในผู้ชาย),
การคั่งของสารบิลิรูบิน
(ทำให้ดีซ่าน),
การสังเคราะห์สารที่ช่วยห้ามเลือดได้น้อยลง
(มีภาวะเลือด
ออกง่าย),
มีภาวะความดันในหลอดเลือดดำของตับสูง
(ทำให้ท้องมาน
หรือมีน้ำคั่งในช่องท้อง,
เส้นเลือดขอดที่หลอดอาหาร,
ริดสีดวงทวาร)
ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของระบบต่าง
ๆ
อาการเริ่มแรก
มักเกิดในช่วงอายุระหว่าง 40-60 ปี
แต่ถ้าพบในคนอายุน้อย
อาจเกิดจากโรคตับ
อักเสบจากไวรัสชนิดรุนแรง
หรือเกิดจากการใช้ยาผิด
หรือสารเคมีบางชนิด
สาเหตุ
เซลล์ตับถูกทำลาย
มักมีสาเหตุจากการติดเชื้อ ไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี
การดื่มเหล้าจัด
(มากกว่าวันละ 80 กรัม นาน 5-10
ปีขึ้นไป) หรือการใช้ยาเกินขนาด
(เช่น พาราเซตามอล
เตตราไซคลีน
ยารักษาวัณโรคบางชนิด)
หรือสารเคมีบางชนิด (เช่น
คลอโรฟอร์ม, คาร์บอน
เตตราคลอไรด์, สารโลหะหนัก)
นอกจากนี้
ยังอาจเกิดจากภาวะขาดอาหาร
หรือเกิดจากภาวะ
แทรกซ้อนของโรคทาลัสซีเมีย ,
ภาวะหัวใจวายเรื้อรัง
ภาวะทางเดินน้ำดีอุดกั้น
เป็นต้น
บางคนอาจไม่มีประวัติเหล่านี้ชัดเจน
อาจเนื่องจากเป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือ
ซเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือ
ซซี มานาน โดยไม่รู้ตัวก็ได้
ลักษณะอาการ
ระยะเริ่มแรก
อาจไม่มีอาการผิดปกติชัดเจน
อาจมีเพียงอาการท้องอืด
ท้องเฟ้อ คล้ายอาหารไม่ย่อย
ต่อมาเป็นแรมปี
อาจเริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย
เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร
คลื่นไส้ อาเจียน เป็นบางครั้ง
น้ำหนักลด เท้าบวม
อาจรู้สึกเจ็บบริเวณชายโครงขวาเล็กน้อย
ตาเหลือง คันตามผิวหนัง
ความรู้สึก
ทางเพศลดลง
ในผู้หญิงอาจมีอาการประจำเดือนขาดหรือมาไม่สม่ำเสมอ
มีหนวดขึ้น หรือมีเสียง
แหบแห้งคล้ายผู้ชาย
ในผู้ชายอาจรู้สึกนมโตและเจ็บ
(gynecomastia) อัณฑะฝ่อตัว บางคนอาจ
สังเกตเห็นฝ่ามือแดงผิดปกติ
หรือมีจุดแดงที่หน้าอก หน้าท้อง
ในระยะท้ายของโรค
(หลังเป็นอยู่หลายปี
หรือยังดื่มเหล้าจัด)
จะมีอาการท้องมาน เท้าบวม เส้น
เลือดขอดที่ขา
เส้นเลือดพองที่หน้าท้อง
อาจอาเจียนเป็นเลือดสด ๆ
เนื่องจากเส้นเลือดที่หลอด
อาหารขอดแล้วแตก
ซึ่งอาจถึงช็อกและตายได้
ผู้ป่วยมักจะลงเอยด้วยอาการซึม
เพ้อ มือสั่น และ
ค่อย ๆ ไม่รู้สึกตัว
จนกระทั่งหมดสติ
สิ่งตรวจพบ
ฝ่ามือแดง มีจุดแดงรูปแมงมุม
ที่หน้าอก จมูก ต้นแขน เท้าบวม
ท้องบวม อาจมีตาเหลืองเล็กน้อย
หรือไม่มีก็ได้อาจมีไข้ต่ำ ๆ
ต่อมน้ำลายข้างหู (Parotid gland)
อาจโตคล้ายคางทูม และอาจมีอาการ
ขนร่วง ในผู้ชายอาจพบอาการ
นมโตและเจ็บ ตับ อาจคลำได้
ค่อนข้างแข็ง ผิวเรียบ
ถ้าเป็นมาก
จะพบว่ารูปร่างผอมแห้ง ซีด
ท้องโตมาก
เส้นเลือดพองที่หน้าท้อง
มือสั่น ม้ามโต นิ้วปุ้ม มีจุดแดง
จ้ำเขียวตามผิวหนัง
อาการแทรกซ้อน
ภูมิต้านทานโรคลดลงทำให้เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย
(เช่น วัณโรค ปอดบวม)
ถ้าเป็นเรื้อรัง จะมีอาการ
อาเจียนเป็นเลือด
เนื่องจากเส้นเลือดขอดที่หลอดอาหาร
(Esophageal varices) เกิดแตก ซึ่งอาจ
ช็อกถึงตายได้
ในระยะสุดท้ายเมื่อตับทำงานไม่ได้
(ตับวาย) ก็จะเกิดอาการทางสมอง (Hepatic
encephalopathy) ในที่สุด
มีอาการหมดสติเรียกว่า
ภาวะหมดสติจากตับวาย (Hepatic coma)
นอกจากนี้ยังพบว่ามีโอกาสเป็น
มะเร็งในตับสูงกว่าคนปกติ
การรักษา
1. หากสงสัย
ควรแนะนำไปตรวจพิสูจน์เพิ่มเติม
อาจต้องตรวจเลือด
ทดสอบการทำงานของตับ
และหาเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบีและซี
อาจต้องตรวจอัลตราซาวนด์
หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ
เจาะเอาเนื้อตับไปพิสูจน์
ถ้าเป็นตับแข็งในระยะเริ่มแรก
อาจให้การรักษาตามอาการ
ให้วิตามินรวม
และกรดโฟลิกเสริมบำรุง
ข้อสำคัญ
ผู้ป่วยที่ดื่มเหล้าต้องงดเหล้าโดยเด็ดขาด
และหลีกเลี่ยงหรือระมัดระวังการใช้ยาที่อาจมี
ผลกระทบต่อตับ
ถ้ามีอาการบวมหรือท้องมาน
(มีน้ำในท้อง) ก็ให้ยาขับปัสสาวะ
สไปโรโนแล็กโทน
(spironolactone) หรือ ฟูโรซีไมด์
งดอาหารเค็ม,
จำกัดปริมาณน้ำที่ดื่ม
ถ้ามีภาวะซีดจากการขาด
ธาตุเหล็ก
ก็ให้ยาเม็ดบำรุงโลหิต
2. ถ้ามีอาการอาเจียนเป็นเลือด
ซึม เพ้อ ไม่ค่อยรู้ตัว
หรือมีเลือดออกตามที่ต่าง ๆ
ควรรีบส่ง
โรงพยาบาล อาจต้องให้เลือด
และรักษาภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
ผู้ป่วยอาจต้องเข้า ๆ ออก ๆ
โรงพยาบาลเป็นประจำ
จนในที่สุดเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
เช่น ตกเลือด ภาวะตับวาย
โรคติดเชื้อ เป็นต้น
ข้อแนะนำ
1. โรคนี้ไม่มีทางรักษาให้หายขาด
เพราะเซลล์ตับที่ถูกทำลายไปแล้ว
มิอาจหาทางเยียวยาให้ฟื้นตัว
ได้ อาการจึงมีแต่ทรงกับทรุด
ผู้ป่วยควรปฏิบัติตัว ดังนี้
1.1
ติดต่อรักษากับแพทย์คนใดคนหนึ่งเป็นประจำ
อาจต้องตรวจเลือด
ดูการเปลี่ยนแปลงของโรค
เป็นระยะ ๆ
1.2 ห้ามดื่มเหล้าโดยเด็ดขาด
เพื่อป้องกันมิให้เซลล์ตับส่วนที่ยังดีอยู่ถูกทำลายมากขึ้น
หากเป็นโรค
ตับแข็งในระยะเริ่มแรก
ก็อาจช่วยให้ชีวิตยืนยาวได้
1.3 กินอาหารพวกแป้ง และของหวาน ผัก
ผลไม้สด
และอาหารพวกโปรตีนเป็นประจำ
(ยกเว้น ใน
ระยะท้ายของโรค
ที่เริ่มมีอาการทางสมองร่วมด้วย
จำเป็นต้องลดอาหารพวกโปรตีนลงเหลือวันละ
30 กรัม
เพราะอาจสลายตัวเป็นสารแอมโมเนียที่มีผลต่อสมอง)
1.4 ถ้ามีอาการบวม หรือท้องมาน
ควรงดอาหารเค็ม
และห้ามดื่มน้ำเกินวันละ 2 ขวดกลม
หรือ
6 ถ้วย (1,500 มล.)
1.5 อย่าซื้อยากินเอง
เพราะอาจมีพิษต่อตับมากขึ้น
2. ผู้ป่วยตับแข็ง
ที่ตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี
ควรตรวจเลือดหา สารแอลฟาฟีโตโปรตีน
(alpha-fetoprotein) ทุก 6 เดือน
เพื่อตรวจกรองหาโรคมะเร็งตับระยะเริ่มแรก
เพราะเป็นกลุ่มที่เสี่ยง
ต่อการเป็นมะเร็งชนิดนี้สูง
3. โรคนี้ถ้าเป็นระยะเริ่มแรก
และปฏิบัติตัวได้เหมาะสม
จะสามารถมีชีวิตได้นานเกิน 5-10
ปีขึ้นไป
แต่ถ้าปล่อยให้มีภาวะแทรกซ้อนชัดเจน
เช่น ดีซ่าน ท้องมาน
อาเจียนเป็นเลือด ก็อาจอยู่ได้ 2-5
ปี
(ประมาณ 1 ใน 3 อาจอยู่ได้เกิน 5 ปี)
การป้องกัน
1. ไม่ดื่มเหล้าในปริมาณมาก
และถ้าตรวจพบว่าเป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี
ควรงดดื่ม
2.
ฉีดวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบจากไวรัสบี
ตั้งแต่แรกเกิด
3.
ระมัดระวังในการใช้ยาที่อาจมีพิษต่อตับ
รายละเอียด
ป้องกันโรคตับแข็งด้วยการไม่ดื่มเหล้า

ลักษณะทั่วไป
ตับอักเสบจากไวรัส (ไวรัสลงตับ
ก็เรียก) หมายถึง
การอักเสบของเนื้อตับ
เนื่องจากการติดเชื้อไวรัส
พบเป็นสาเหตุอันดับแรกสุดของอาการดีซ่าน
(ตัวเหลือง ตาเหลือง)
ที่เกิดขึ้นในเด็กโตและผู้ใหญ่
จนเป็นที่เข้าใจกันว่า
โรคดีซ่าน ก็คือ
ตับอักเสบจากไวรัส
โรคนี้พบได้ในคนทุกวัย
แต่พบมากในเด็ก
และคนหนุ่มสาว
บางครั้งอาจพบระบาด ตามหมู่บ้าน
โรงเรียน โรงงาน กองทหาร เป็นต้น
สาเหตุ
ในปัจจุบันพบว่าไวรัสที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด
ที่สำคัญมีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่
1. เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ (Hepatitis
A virus)
ซึ่งทำให้เกิดโรคตับอักเสบชนิดเอ
(Hepatitis A )
หรือ เดิมเรียกว่า Infectious hepatitis
สามารถติดต่อโดยทางระบบทางเดินอาหาร
กล่าวคือ โดยการ
กินอาหาร ดื่มนม
หรือน้ำที่เปื้อนอุจจาระของคนที่มีเชื้อโรคนี้
(เช่นเดียวกับโรคบิด อหิวาต์
ไทฟอยด์)
ดังนั้นจึงสามารถแพร่กระจายโรคได้ง่าย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบ้านเรา
ซึ่งการสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม
(เรื่องส้วม และน้ำดื่ม) ยังไม่ดี
บางครั้งอาจพบเป็นโรคระบาดได้
ระยะฟักตัว ของตับอักเสบชนิดเอ
15-45 วัน (เฉลี่ย 30 วัน)
ซึ่งนับว่าสั้นกว่าชนิดบี
2. เชื้อ ไวรัสตับอักเสบชนิดบี
(Hepatitis B virus)
ซึ่งทำให้เกิดโรคตับอักเสบชนิดบี
(Hepatitis B) หรือ
เดิมเรียกว่า Serum hepatitis
เชื้อนี้จะมีอยู่ในเลือด
และยังอาจพบมีอยู่ในน้ำลาย
น้ำตา น้ำนม ปัสสาวะ
เชื้ออสุจิ เป็นต้น
เชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายโดยทางเพศสัมพันธ์
หรือถ่ายทอดจากแม่ไปยังทารกขณะคลอด
หรือหลัง
คลอดใหม่ ๆ
(ทำให้ทารกมีเชื้อโรคนี้อยู่ในร่างกาย
ซึ่งสามารถแพร่ให้คนอื่นได้)
นอกจากนี้
โรคนี้ยังสามารถติดต่อโดยทางเลือด
เช่น การให้เลือด การฉีดยา
การฝังเข็ม การสักตาม
ร่างกาย การทำฟัน
การใช้เครื่องมือแพทย์ที่แปดเปื้อนเลือดของผู้ที่มีเชื้อไวรัสชนิดนี้
เป็นต้น ระยะฟักตัว
ของตับอักเสบชนิดบี 30-180 วัน
(เฉลี่ย 60-90 วัน)
นอกจากไวรัสทั้ง 2 ชนิดนี้แล้ว
ยังมีไวรัสชนิดอื่น ๆ
รวมเรียกว่า
ไวรัสชนิดไม่ใช่ทั้งเอและบี
ซึ่งทำให้เกิด
โรคตับอักเสบชนิดไม่ใช่ทั้งเอและบี
(Non-A, Non-B hepatitis) ในปัจจุบันพบเชื้อ ไวรัสตับอักเสบชนิดซี
(Hepatitis C virus)
ซึ่งสามารถติดต่อโดยทางเลือด
(การให้เลือด,
การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันในกลุ่มผู้ใช้
ยาเสพติด)
และเพศสัมพันธ์เช่นเดียวกับชนิดบี
(ระยะฟักตัวเฉลี่ย 6-7 สัปดาห์),
เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดอี
(Hepatitis E virus)
ซึ่งสามารถติดต่อโดยทางอาหารการกินเช่นเดียวกับชนิดเอ,
เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดจี
(Hepatitis G virus)
ซึ่งสามารถติดต่อโดยทางเลือด
(เช่น การให้เลือด,
การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันในผู้ใช้
ยาเสพติด)
นอกจากนี้ยังพบเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดดี
(Hepatitis D virus)
ซึ่งมักพบร่วมกับการติดเชื้อ
ไวรัสตับอักเสบชนิดบี
พบมากในกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดโดยการฉีดเข้าหลอดเลือดดำ
และอาจทำให้อาการ
ตับอักเสบจากเชื้อไวรัสบีมีความรุนแรงมากขึ้น
อาการ
ตับอักเสบจากไวรัสทุกชนิด
มักจะมีอาการแสดงคล้าย ๆ กัน
(จะแยกกันได้แน่ชัด
ก็โดยการตรวจหาเชื้อ
ในเลือด)
ระยะนำ
ผู้ป่วยมักมีอาการอื่น ๆ
นำมาก่อนจะมีอาการตาเหลือง
ประมาณ 2-14 วัน ด้วยอาการเบื่อ
อาหาร อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
อิดโรย คลื่นไส้ อาเจียน
และเป็นไข้ (ประมาณ 38-39 ํซ.)
บางคนอาจมี
อาการปากคอจืด
และเหม็นเบื่อบุหรี่อย่างมาก
บางคนอาจมีอาการปวดเสียดหรือจุกแน่นแถวลิ้นปี่หรือ
ชายโครงขวา
บางคนอาจมีอาการถ่ายเหลวหรือท้องเดิน
หรือมีอาการเป็นหวัด เจ็บคอ ไอ
คล้ายไข้หวัด
หรือไข้หวัดไหญ่
หรืออาจมีอาการปวดตามข้อ
มีลมพิษ
ผื่นขึ้นก่อนมีอาการตาเหลือง 1-5
วัน ผู้ป่วยจะ
ปัสสาวะสีเหลืองเข้มเหมือนขมิ้น
และอุจจาระสีซีดกว่าปกติ
ระยะนี้มักจะพบว่าตับโต
และเคาะเจ็บ
ระยะตาเหลือง
เมื่อมีอาการตาเหลือง อาการต่าง
ๆ จะเริ่มทุเลา
และไข้จะลดลงทันที
(หากยังมีไข้
ร่วมกับตาเหลืองอีกหลายวัน
ควรนึกถึงสาเหตุอื่น
ดูแผนภูมิที่ 11)
ตาจะเหลืองเข้มมากที่สุดในสัปดาห์ที่
1
และ 2 แล้วจะค่อย ๆ จางหายไปใน 2-4
สัปดาห์
โดยทั่วไปผู้ป่วยมักจะมีอาการตาเหลืองอยู่ประมาณ
3-5 สัปดาห์
และน้ำหนักตัวอาจลดไป 2-3 กิโลกรัม
ในขณะที่ตาเหลืองเริ่มจางลง
ผู้ป่วยจะสังเกตเห็น
อุจจาระกลับมีสีเข้มเหมือนปกติ
และปัสสาวะสีค่อย ๆ จางลง
ระยะนี้ตับยังโตและเจ็บ
แต่จะค่อย ๆ ลด
น้อยลง
ต่อมน้ำเหลืองที่หลังคอและม้ามอาจโตได้
ระยะฟื้นตัว
หลังจากหายตาเหลืองแล้ว
ผู้ป่วยจะรู้สึกสบายขึ้น
แต่ยังอาจรู้สึกเหนื่อยล้า
ตับจะยังโต
และเจ็บเล็กน้อย กินเวลาประมาณ
2-6 สัปดาห์
ส่วนใหญ่อาการจะหายสนิทภายใน 3-4
เดือน หลังมี
อาการแสดงของโรคผู้ป่วยบางคนอาจไม่แสดงอาการตาเหลือง
(ดีซ่าน) ให้เห็น
หรือคลำตับไม่ได้ มี
เพียงอาการเพลียคล้ายไข้หวัดใหญ่
หรือปวดเสียดชายโครงขวา ท้องอืด
คลื่นไส้ อาเจียน
สิ่งตรวจพบ
ตาเหลือง ตับโต ลักษณะนุ่ม
ผิวเรียบ กดเจ็บเล็กน้อย
อาการแทรกซ้อน
ส่วนมากมักจะหายเป็นปกติ
โดยไม่มีอาการแทรกซ้อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ถ้าเป็นตับอักเสบชนิดเอ
ส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจมีอาการแทรกซ้อน
ซึ่งจะพบในผู้ป่วยที่เป็นตับอักเสบชนิดบีหรือซี
และมักเกิด
ในผู้ป่วยสูงอายุ
หรือมีโรคอื่น ๆ (เช่น หัวใจวาย
เบาหวาน มะเร็ง โลหิตจางรุนแรง
เป็นต้น) อยู่ก่อน
โรคแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายร้ายแรงถึงกับทำให้เสียชีวิตในเวลารวดเร็ว
(ซึ่งพบได้น้อยมาก) ได้แก่
ตับอักเสบชนิดร้ายแรง (Fulminant hepatitis)
ซึ่งเซลล์ของตับถูกทำลาย
จนเนื้อตับเสียเกือบทั้งหมด
ผู้ป่วยจะมีอาการตาเหลืองจัด
บวม และหมดสติ ประมาณ 10%
ของผู้ป่วยที่เป็นตับอักเสบชนิดบี
อาจกลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง
(chronic hepatitis)
ซึ่งจะมีอาการอ่อนเพลียและตาเหลืองอยู่นาน
กว่า 6 เดือน ถ้าเป็นชนิดคงที่
(chronic persistent hepatitis) อาการจะไม่รุนแรง
และมักจะหายได้เป็น
ปกติภายใน 1-2 ปี
แต่ถ้าเป็นชนิดลุกลาม (chronic active hepatitis)
ก็อาจกลายเป็นโรคตับแข็งได้
แพทย์สามารถแยกชนิดคงที่ออกจากชนิดลุกลามได้ด้วยการเจาะเอาเนื้อตับพิสูจน์
นอกจากนี้ยัง
พบว่า
ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอักเสบชนิดบีหรือซีแบบเรื้อรัง
หรือเป็นพาหะของเชื้อชนิดบีหรือซีอยู่นาน
30-40 ปีขึ้นไป
อาจมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ
ได้
การรักษา
หากสงสัย
ควรส่งตรวจเพิ่มเติมโดยการเจาะเลือดทดสอบการทำงานของตับ
(Liver function test) ซึ่ง
จะพบว่ามีระดับ เอนไซม์เอสจีโอที
(SGOT) และเอสจีพีที (SGPT)
สูงกว่าปกติเป็นสิบ ๆ เท่า
(ปกติมี
ค่าไม่เกิน 40 หน่วย) ตลอดจนระดับ
บิลิรูบิน (Bilirubin
ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ตัวเหลือง
ตาเหลือง) สูง
นอกจากนี้ยังอาจต้องเจาะเลือดตรวจดูชนิดของเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรค
(ว่าเป็น ตับอักเสบชนิดตับอักเสบชนิด
เอหรือบี หรือชนิดอื่น)
เมื่อพบว่าเป็นโรคนี้จริง
ควรให้การรักษาดังนี้
1. ถ้าพบในเด็กหรือคนหนุ่มสาว
ซึ่งอาการโดยทั่วไปดี
กินข้าวได้
ไม่ปวดท้องหรืออาเจียน ควรแนะนำ
ให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวดังนี้
1.1 พักผ่อนอย่างเต็มที่
ห้ามทำงานหนักจนกว่าจะรู้สึกหายเพลีย
1.2 ดื่มน้ำมาก ๆ ประมาณวันละ 10-15
แก้ว
1.3 กินอาหารพวกโปรตีน (เช่น เนื้อ
นม ไข่ ซุป ถั่วต่าง ๆ) ให้มาก ๆ
ส่วนอาหารมันให้กินได้ตามปกติ
ยกเว้นในรายที่กินแล้วคลื่นไส้อาเจียนให้งด
1.4
ถ้าเบื่ออาหารให้ดื่มน้ำหวานหรือน้ำตาลกลูโคส
(ถ้ากินอาหารได้ตามปกติ
ไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำหวาน
หรือกลูโคสให้มากขึ้น)
1.5
ถ้ามีอาการท้องอืดหรือคลื่นไส้
ควรงดอาหารมัน
1.6
แยกสำรับกับข้าวและเครื่องใช้ส่วนตัวออกจากผู้อื่น
1.7
ล้างมือหลังถ่ายอุจจาระทุกครั้ง
ส่วนยาไม่จำเป็นต้องให้
ยกเว้นในรายที่เบื่ออาหาร
อาจให้กินวิตามินรวม
หรือวิตามินบีรวม วันละ
2-3 เม็ด, หรือถ้าคลื่นไส้
อาจให้ยาแก้อาเจียน เช่น
เมโทโคลพราไมด์ (ย19.2), ถ้ากินไม่ได้
อาจให้
ฉีดกลูโคสหรือให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ
เป็นต้น
2. ถ้าอาการตาเหลืองไม่จางลงใน 2
สัปดาห์ หรือมีไข้สูง
อ่อนเพลียมาก น้ำหนักลดมาก
ปวดท้องมาก
หรืออาเจียนมาก
หรือพบในคนสูงอายุ
ควรแนะนำไปรักษาที่โรงพยาบาล
หากมีอาการมากอาจรับไว้
รักษาในโรงพยาบาลสักระยะหนึ่งในการติดตามผลการักษา
อาจต้องนัดตรวจเลือดเป็นระยะ ๆ
(ประมาณทุก 2-4 สัปดาห์)
จนกระทั่งแน่ใจว่าระดับเอนไซม์เอสจีโอที
และเอสจีพีทีลงสู่ปกติซึ่งแสดงว่า
หายดีแล้ว
ผลการรักษา ส่วนใหญ่จะหายดี
(ตาหายเหลือง หายเพลีย
กินข้าวได้มาก
และผลเลือดเป็นปกติ)
ภายใน 3-16 สัปดาห์
ส่วนน้อยอาจเป็นเรื้อรัง
ซึ่งถ้าเป็นนานเกิน 6 เดือน
ก็เรียกว่า ตับอักเสบเรื้อรัง
(มักเกิดกับตับอักเสบชนิดบีหรือซี)
ซึ่งอาจต้องทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม
เช่น ทำสะแกนตับ
(Liver scan) หรือเจาะเอาเนื้อตับ
พิสูจน์ (Liver biopsy)
เพื่อดูว่าเป็นตับอักเสบเรื้อรังชนิดลุกลาม
หรือมีโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น
ตับแข็งหรือมะเร็งตับหรือไม่
ถ้าเป็นตับอักเสบเรื้อรังชนิดลุกลาม
อาจต้องให้การรักษาด้วยยาสเตอรอยด์
เช่น เพร็ดนิโซโลน
ข้อแนะนำ
1. ผู้ป่วยโรคนี้ห้ามดื่มเหล้านาน
1 ปี เพราะอาจทำให้โรคเรื้อรัง
หรือกำเริบใหม่ได้
2. ระหว่างที่เป็นโรค
ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่อาจมีพิษต่อตับ
เช่น พาราเซตามอล , เตตราไซคลีน ,
ไอเอ็นเอช , อีริโทรไมซิน ,
ยาคุมกำเนิด เป็นต้น
3.
เข็มฉีดยาที่ใช้กับผู้ป่วยโรคนี้
ควรทิ้งไปเลย
ห้ามนำไปใช้ฉีดผู้อื่นต่อ
เพราะอาจแพร่เชื้อได้
4.
คนที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบ
ไม่จำเป็นต้องกลายเป็นโรคตับอักเสบเสมอไปทุกคน
บางคนอาจมี
เชื้ออยู่ในร่างกายเพียงชั่วคราว
โดยไม่เป็นโรคแล้วเชื้อหายไปได้เอง
บางคนอาจมีเชื้ออยู่ในร่างกายโดยไม่มีอาการแสดงแต่อย่างไร
แต่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่น
เราเรียกว่า
พาหะนำโรค (carrier) ที่สำคัญ คือ
โรคตับอักเสบชนิดบีซึ่งในบ้านเราพบคนที่เป็นพาหะนำโรคตับ
อักเสบชนิดบี ประมาณ 10%
ของคนทั่วไป (ประมาณ 50%
ของคนทั่วไปจะเคยได้รับเชื้อไวรัสตับ
อักเสบชนิดบี
และมีภูมิคุ้มกันแล้ว)
บางคนหลังได้รับเชื้อ
อาจมีอาการเป็นไข้
อ่อนเพลียคล้ายไข้
หวัดใหญ่ หรือคลื่นไส้อาเจียน
จุกเสียดท้อง
โดยไม่มีอาการตาเหลืองก็ได้
5.
ผู้ที่เป็นพาหะนำโรคตับอักเสบชนิดบีหรือซี
(พบเชื้อในกระแสเลือดโดยไม่มีอาการผิดปกติแต่
อย่างไร)
ควรหาทางพักผ่อนให้เพียงพอ
กินอาหารที่มีประโยชน์
ห้ามดื่มเหล้า ออกกำลังแต่พอควร
ห้ามหักโหมจนเกินไป
อย่าอดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก
งดบริจาคโลหิต
และหมั่นตรวจเลือดดูเชื้อ
และทดสอบการทำงานของตับทุก 6-12
เดือน
ผู้ที่เป็นพาหะมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจเกิดโรค
ตับแข็ง หรือมะเร็งตับแทรกซ้อน
โดยมากมักจะเกิดกับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสบีหรือซี
จากมารดามา
ตั้งแต่เกิด
แล้วเชื้อจะอยู่ในร่างกายจนย่างเข้าวัย
40-50 ปี ก็อาจเกิดผลแทรกซ้อนตามมา
โดย
เฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง
เช่น ดื่มเหล้า
หรือตรากตรำงานหนัก
6.
ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับคนที่เป็นโรคหรือเป็นพาหะนำโรคตับอักเสบชนิดบี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นสามี
หรือภรรยาควรตรวจเลือด
ถ้ายังไม่มีภูมิคุ้มกันโรค
ควรฉีดวัคซีนป้องกัน
7.
หญิงตั้งครรภ์ทุกคนจะต้องได้รับการตรวจเลือดดูว่ามีเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือไม่
ถ้าพบว่ามี
เชื้อ
ทารกที่เกิดมาทุกคนจะต้องได้รับการฉีดสารอิมมูนโกลบูลิน
(Hepatitis B immune globulin/HBIG)
และฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบจากไวรัสชนิดบี
จะช่วยป้องกันมิให้ทารกติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้
8.การตรวจเลือดวินิจฉัยตับอักเสบชนิดบี
สำหรับโรคตับอักเสบชนิดบี
ซึ่งอาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง
ในปัจจุบันมีวิธีการตรวจเลือด
เพื่อการ
วินิจฉัยโรคนี้
ซึ่งมีศัพท์เฉพาะหลายคำ
ที่ใคร่จะขอแนะนำไว้ในที่นี้
ดังนี้
HBsAg หมายถึง
แอนติเจนที่อยู่บนผิวของเชื้อไวรัสชนิดบี
เรียกว่า Hepatitis B surface antigen
เดิมเคยเรียกว่า Australia antigen หรือ
Hepatitis associated antigen (HAA)
HBcAg หมายถึง
แอนติเจนที่อยู่ตรงแกนกลางของเชื้อไวรัสชนิดบี
เรียกว่า Hepatitis B core antigen
HBeAg หมายถึง
แอนติเจนส่วนแกนกลางของไวรัสที่ละลายอยู่ในน้ำเลือด
(เซรุ่ม) สามารถตรวจพบ
ตั้งแต่ระยะฟักตัวของโรค
(ก่อนมีอาการแสดง)
Anti-HBs หมายถึง แอนติบอดี
(ภูมิต้านทาน) ต่อแอนติเจน HBsAg
ซึ่งจะตรวจพบตั้งแต่ระยะหลัง
ติดเชื้อประมาณ 4-6 เดือนไปแล้ว
ผู้ที่มี Anti-HBs
จะไม่ติดเชื้อไวรัสชนิดบีอีก
Ant-HBc หมายถึง แอนติบอดี
(ภูมิต้านทาน) ต่อแอนติเจน HBcAg
ซึ่งจะตรวจพบตั้งแต่ระยะหลัง
ติดเชื้อ 4-6 สัปดาห์ไปแล้ว
และจะพบอยู่ตลอดไป
โดยทั่วไปมักจะเจาะเลือดตรวจหา HBsAg, Anti-HBs และ Anti-HBc
ซึ่งจะช่วยในการวินิจฉัยโรค
ดังนี้
(1)
ถ้าตรวจไม่พบสารตัวใดตัวหนึ่งดังกล่าวเลย
ก็แสดงว่าไม่เคยติดเชื้อ
และไม่มีภูมิต้านทานต่อตับ
อักเสบจากไวรัสชนิดบี
ควรฉีดวัคซีนป้องกัน
(2) ถ้าตรวจพบ HBsAg เพียงอย่างเดียว
แสดงว่ากำลังติดเชื้อ
หรือเพิ่งเป็นโรคนี้
สามารถติดต่อให้
ผู้อื่นได้
(3) ถ้าตรวจพบ Anti-HBc เพียงอย่างเดียว
แสดงว่าเคยติดเชื้อมาไม่นาน
แต่เวลานี้ไม่มีเชื้อแล้วและ
ไม่ติดต่อ (แพร่เชื้อ)
ให้ผู้อื่น
(4) ถ้าตรวจพบ HBsAg ร่วมกับ Anti-HBc
แสดงว่ากำลังติดเชื้อ
อาจเป็นแบบเฉียบพลัน หรือเป็น
พาหะเรื้อรัง
สามารถติดต่อให้ผู้อื่นได้
สำหรับผู้ที่เป็นพาหะเรื้อรัง
การฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบชนิดบี
ไม่มีประโยชน์
เพราะไม่สามารถช่วยกำจัดเชื้อ
หรือกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อเชื้อนี้ได้
(5) ถ้าตรวจพบ Anti-HBc ร่วมกับ Anti-HBs
แสดงว่าเคยติดเชื้อมาก่อน
และมีภูมิต้านทานแล้ว จะ
ไม่ติดเชื้อซ้ำอีก
(6) ถ้าตรวจพบ Anti-HBs เพียงอย่างเดียว
แสดงว่าเคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้มาก่อน
จะไม่เป็นโรคนี้
การป้องกัน
สำหรับตับอักเสบชนิดเอ
ควรกินอาหารสุกที่ไม่มีแมลงวันตอม
ดื่มน้ำสะอาด ถ่ายลงส้วม
ล้างมือก่อน
เปิปข้าว
และหลังถ่ายอุจจาะทุกครั้ง
สำหรับตับอักเสบชนิดบี
1. ควรหลีกเลี่ยงการฉีดยา
หรือให้น้ำเกลือโดยไม่จำเป็น
ถ้าจำเป็นต้องฉีดยา
ควรเลือกใช้เข็มและ
กระบอกฉีดยาที่ทำให้ปราศจากเชื้อโรค
2. ในการให้เลือด
ควรหลีกเลี่ยงการใช้เลือดที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ
โดยการตรวจเช็กเลือดของผู้บริจาค
ทุกราย
3. แพทย์ พยาบาล
และบุคลากรสาธารณสุข
ควรระมัดระวังในการสัมผัสถูกเลือดของผู้ป่วย
เช่น
สวมถุงมือขณะเย็บแผล ผ่าตัด
หรือสวนปัสสาวะผู้ป่วย
4.
ปัจจุบันมีวัคซีนที่ใช้ฉีดป้องกันตับอักเสบชนิดบี
แต่เนื่องจากราคาค่อนข้างแพง
ยังไม่แนะนำให้ฉีด
ในคนทั่วไป
จะเลือกฉีดให้แก่บุคคลที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดโรคนี้สูง
เช่น แพทย์, พยาบาล, ผู้ป่วย
โรคเลือดที่ต้องรับการถ่ายเลือดบ่อย
ๆ สำหรับทารกแรกเกิดทุกคน
สถานบริการของกระทรวง
สาธารณสุขจะฉีดวัคซีนชนิดนี้โดยไม่คิดมูลค่า
ตั้งแต่วันแรกที่เกิด
วัคซีนชนิดนี้จะฉีดให้ 3 ครั้ง
ครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3
จะห่างจากครั้งแรก 1 และ 6
เดือนตามลำดับ
สำหรับผู้ใหญ่ก่อนฉีดวัคซีนชนิดนี้
ควรตรวจเลือดเสียก่อน
หากพบว่าเป็นพาหะหรือมีภูมิคุ้มกันแล้ว
ก็ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนให้สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์
รายละเอียด
เข็มฉีดยาอาจเป็นตัวแพร่เชื้อไวรัสตับอักเสบได้
หมายเหตุ ไวรัสตับอักเสบชนิดซี
จะมีการติดต่อ ลักษณะอาการ
และมีภาวะแทรกซ้อน แบบไวรัสตับ
อักเสบชนิดบีทุกประการ
ส่วนไวรัสตับอักเสบชนิดอี
จะมีการติดต่อ ลักษณะอาการ
และความรุนแรง
แบบเดียวกับชนิดเอทุกประการ

ลักษณะทั่วไป
ทารกแรกเกิด ที่เข็งแรงเป็นปกติ
ประมาณ 60% อาจมีอาการดีซ่าน
(ตาเหลือง ตัวเหลือง
ปัสสาวะเหลืองเข้มเหมือนขมิ้น)
ได้ ซึ่งถือเป็นภาวะปกติ
ทั้งนี้เนื่องจากตับของทารกยังทำงาน
ไม่ได้เต็มที่ คือ
ยังไม่สามารถขจัดสารสีเหลือง
ได้แก่ บิลิรูบิน (bilirubin)*
ออกจากกระแสเลือด
จึงทำให้มีการคั่งของสารนี้
จนเกิดอาการดีซ่านโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ถ้าหากทารกดูดนม หรือน้ำ
ได้น้อยเกินไป
ก็ยิ่งมีโอกาสทำให้เกิดดีซ่านได้มากขึ้น
ทารกที่คลอดก่อนกำหนด
และทารกที่
ตัวเล็กกว่าปกติ
มีโอกาสเป็นดีซ่านมากกว่าทารกที่คลอดปกติ
อาการ
เด็กจะมีอาการตาเหลือง
ตัวเหลือง
ปัสสาวะสีเข้มเหมือนขมิ้น
เมื่ออายุประมาณ 2-5 วัน จะ
เหลืองเข้มที่สุดในราววันที่ 5-7
หลังคลอด แล้วจะค่อย ๆ
จางหายไปภายใน 1-2 สัปดาห์ โดย
ที่เด็กดูแข็งแรงดี ไม่มีไข้
ไม่ซึม ไม่งอแง ไม่ซีด ดูดนม
และน้ำได้ดี ถ่ายอุจจาระสีปกติ
สิ่งตรวจพบ
ตาเหลือง ตัวเหลือง
ปัสสาวะสีเหลืองเหมือนขมิ้น
อาการแทรกซ้อน
โดยทั่วไปภาวะเช่นนี้
มักจะไม่มีอันตรายต่อทารกแต่อย่างใด
ยกเว้นในรายที่มีการตาเหลือง
ตัวเหลืองมากอาจทำให้
สมองพิการ ได้
เนื่องจากมีการสะสมสารบิลิรูบินในสมอง
ดังที่เรียกว่า
เคิร์นอิกเตอรัส (Kernicterus)
ทารกจะมีอาการซึม ไม่ดูดนม
อาเจียน หลังแอ่น ตาเหลือก ชัก
และอาจตายได้ หากไม่ตายก็
อาจกลายเป็นเด็กพิการ
การรักษา
1. ถ้าพบอาการดีซ่านในทารกแรกเกิด
ซึ่งเริ่มมีอาการในวันที่ 2-5
หลังคลอด ควรตรวจดูทารก
อย่างละเอียด
เมื่อแน่ใจว่าไม่มีสาเหตุจากอย่างอื่น
และทารกท่าทางแข็งแรงดี
ก็แนะนำให้เด็ก
ดูดนม และน้ำให้มากขึ้น
ควรให้เด็กตากแดดอ่อน ๆ ตอนเช้า
และใช้แสงไฟนีออนส่อง
จะช่วยลดอาการเหลืองได้ ถ้าหาก
พบว่า
ทารกตัวเหลืองเข้มขึ้นเรื่อย ๆ
เป็นเวลานานกว่า 1 สัปดาห์
หรือฝ่ามือฝ่าเท้าเหลืองด้วย
ควรส่งโรงพยาบาลภายใน 24 ชั่วโมง
2. ถ้าพบว่าทารกมีอาการไข้, ซีด,
ท้องเสีย, ซึมผิดปกติ,
ตัวอ่อนปวกเปียก, ไม่ดูดนม,
อาเจียน, ชัก,
หรือเริ่มมีอาการดีซ่านภายใน 24
ชั่วโมงหลังคลอด
หรือเมื่อมีอายุมากกว่า 7 วัน
ควรส่งโรงพยาบาล
ภายใน 24 ชม. อาจต้องตรวจเลือด
ตรวจปัสสาวะหรือตรวจพิเศษอื่น ๆ
เพื่อค้นหาสาเหตุ และให้
การรักษาตามสาเหตุในรายที่เป็นภาวะตัวเหลืองปกติ
แต่เหลืองจัด
ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสมองเด็ก
อาจต้องทำการถ่ายเลือด
รายละเอียด
* บิลิรูบิน (bilirubin)
เป็นสารสีเหลือง
ซึ่งเกิดจากการสลาย (แตก)
ตัวของเม็ดเลือดแดง โดยปกติตับ
จะทำหน้าที่ดึงเอาสารนี้ออกจากกระแสเลือด
และนำไปสร้างน้ำดี
น้ำดีส่วนหนึ่งจะเก็บสะสมอยู่ใน
ถุงน้ำดี
ซึ่งต่อมาจะไหลผ่านท่อน้ำดีร่วม
( common bile duct)
ลงไปในลำไส้เล็กเพื่อช่วยย่อยอาหาร
พวกไขมัน
น้ำดีส่วนที่เหลือจะไหลโดยตรงจากตับผ่านท่อตับ
ท่อน้ำดี ลงไปที่ลำไส้เล็ก
ถ้าหากเกิด
ความผิดพลาดเกี่ยวกับขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการดังกล่าว
เช่น เม็ดเลือดแดงแตกตัวมาก
เกินไป (เช่น
ที่พบในโรคเม็ดเลือดแดงแตก),
ท่อน้ำดีอุดตัน, ตับอักเสบ,
ตับไม่สามารถขจัดสารบิลิรูบิน
เป็นต้น
ก็จะทำให้มีการคั่งของสารบิลิรูบินในกระแสเลือด
กลายเป็น ดีซ่าน มีอาการตาเหลือง
ตัวเหลือง
ปัสสาวะเหลืองเหมือนขมิ้น

นิ่วในถุงน้ำดี
- Gall Stone / ถุงน้ำดีอักเสบ - Cholesystitis |
ลักษณะทั่วไป
นิ่วในถุงน้ำดี
มักพบในคนอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป
(มักไม่พบในคนอายุต่ำกว่า 20 ปี)
พบในผู้หญิง
มากกว่าผู้ชายประมาณ 1 1/2 เท่า
หากปล่อยไว้
อาจกลายเป็นโรคถุงน้ำดีอักเสบได้
สาเหตุ
นิ่วที่อยู่ในถุงน้ำดี
เกิดจากการตกผลึกของหินปูน
(แคลเซียม), โคเลสเตอรอล (cholesterol) และ
บิลิรูบิน (bilirubin)
ที่มีอยู่ในน้ำดี
ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดการตกผลึกของสารเหล่านี้
เชื่อว่าเกี่ยวกับ
การติดเชื้อของทางเดินน้ำดี
และความไม่สมดุลของส่วนประกอบ
(เช่น โคเลสเตอรอล, บิลิรูบิน)
ในน้ำดี
การตกผลึกของสารเหล่านี้
อาจทำให้เกิดเป็นก้อนนิ่วเพียงก้อนเดียว
หรือก้อนเล็ก ๆ หลายๆ
ก้อนก็ได้คนที่มีระดับโคเลสเตอรอลในเลือดสูง,
หญิงที่มีบุตรแล้ว,
ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน,
ทาลัสซีเมีย,
โลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก
มีโอกาสเป็นนิ่วในถุงน้ำดีมากกว่าคนทั่วไปส่วนถุงน้ำดีอักเสบ
มัก
เป็นโรคแทรกซ้อนของนิ่วในถุงน้ำดี
มีเพียงส่วนน้อยที่อาจไม่พบร่วมกับนิ่วในถุงน้ำดี
แต่อาจพบใน
โรคอื่น ๆ เช่น ไทฟอยด์ ,
ตับอ่อนอักเสบ ,
ความผิดปกติของท่อส่งน้ำดี
เป็นต้น
อาการ
1. นิ่วในถุงน้ำดี
ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อย
จะไม่มีอาการผิดปกติแสดงให้เห็นแต่อย่างใด
และมักจะตรวจ
พบโดยบังเอิญ
จากการตรวจเช็กร่างกายด้วยโรคอื่น
บางคนอาจมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อบริเวณเหนือ
สะดือ เรอ คลื่นไส้ อาเจียน
คล้ายอาการของอาหารไมย่อย
ซึ่งมักจะเป็นหลังกินอาหารมัน ๆ
ในรายที่
ก้อนนิ่วเคลื่อนไปอุดในท่อส่งน้ำดี
(bile duct)
จะมีอาการปวดบิดรุนแรงเป็นพัก ๆ
ตรงบริเวณใต้ลิ้นปี่
หรือใต้ชายโครงขวา
ซึ่งอาจปวดร้าวมาที่ไหล่ขวา
หรือบริเวณหลังตรงใต้สะบักขวา
มักปวดนานเป็น
ชั่วโมงๆ และมีอาการคลื่นไส้
อาเจียนร่วมด้วย
บางคนอาจปวดรุนแรงจนเหงื่อออก
เป็นลม อาการ
ปวดท้องมักเป็นหลังกินอาหารมัน
ๆ หรือกินอาหารมื้อหนัก
บางคนอาจมีอาการดีซ่าน (ตาเหลือง)
เกิดขึ้นตามหลังอาการปวดท้อง
2. ถุงน้ำดีอักเสบ
ในรายที่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย
ทำให้เกิดการอักเสบของถุงน้ำดีเฉียบพลัน
ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง
หนาวสั่น
ปวดตรงบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา
คลื่นไส้ อาเจียน
ในรายที่เป็นถุงน้ำดีอักเสบ
เรื้อรัง
อาจมีอาการปวดตรงใต้ลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา
คลื่นไส้ อาเจียน เป็น ๆ หาย ๆ
เรื้อรัง
คล้ายอาการของอาหารไม่ย่อย
โดยมากจะมีอาการปวดบิดเป็นพัก ๆ
แบบเดียวกับอาการปวด
ของนิ่วในถุงน้ำดี
การตรวจร่างกาย
มักไม่พบความผิดปกติชัดเจน
ยกเว้นในบางรายอาจมีอาการ
กดเจ็บตรงใต้ชายโครงขวาเล็กน้อย
สิ่งตรวจพบ
นิ่วในถุงน้ำดี
การตรวจร่างกาย
มักไม่พบสิ่งผิดปกติ
มักไม่มีไข้
บางครั้งอาจตรวจพบอาการกดเจ็บเล็กน้อยบริเวณ
ใต้ลิ้นปี่ และใต้ชายโครงขวา
บางคนอาจมีอาการตาเหลือง
ถุงน้ำดีอักเสบ
การตรวจร่างกาย
จะพบอาการไข้และกดเจ็บมากเป็นบริเวณกว้างที่ใต้ชายโครงขวา
อาจมีอาการ
ตาเหลืองร่วมด้วย
อาการแทรกซ้อน
นิ่วในถุงน้ำดี อาจทำให้เกิด
ถุงน้ำดีอักเสบ, ท่อน้ำดีอักเสบ ,
ตับอ่อนอักเสบ
ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน
อาจทำให้เกิดภาวะมีหนองในถุงน้ำดี
(empyema of gallbladder), ถุงน้ำดีเน่า (gangrene of gallbladder),
ถุงน้ำดีทะลุ,
เยื่อบุช่องท้องอักเสบ ,
ท่อน้ำอักเสบ
ถุงน้ำดีอักเสบเรื้อรัง
อาจทำให้เกิดนิ่วในท่อส่งน้ำดี
ตับอ่อนอักเสบ
และอาจมีโอกาสทำให้เป็นมะเร็งของถุงน้ำดี
การรักษา
1.
ถ้ามีอาการปวดท้องที่ชวนสงสัยว่าเป็นนิ่วในถุงน้ำดี
ควรแนะนำให้ไปตรวจที่โรงพยาบาลภายใน
1-2 สัปดาห์
ระหว่างนั้นอาจให้การรักษาตามอาการไปพลางก่อน
เช่น ถ้ามีอาการท้องอืดเฟ้อ
ให้กินยา
ลดกรด หรือ
ยาแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ
ถ้ามีอาการปวดบิดเป็นพัก ๆ
ให้แอนติสปาสโมดิก เช่น
อะโทรพีน
ไฮออสซีน
ซึ่งอาจใช้ชนิดฉีดหรือกินก็ได้
สุดแต่สภาพการณ์ของผู้ป่วย
ควรให้ผู้ป่วยงดอาหารมัน ๆ
2. ถ้ามีไข้ ดีซ่าน
หรือกดเจ็บมากตรงบริเวณใต้ชายโครงขวา
ควรส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลภายใน
24 ชั่วโมง
อาจให้การรักษาเบื้องต้น
โดยให้ยาลดไข้ และให้น้ำเกลือ
(ถ้ามีภาวะขาดน้ำ)อาจต้องทำ
การตรวจพิเศษ เช่น
เอกซเรย์หรืออัลตราซาวนด์ (ultrasound scan)
และให้การรักษาโดยการผ่าตัด
เอาถุงน้ำดีออก
ในปัจจุบันมีวิธีการผ่าตัด
โดยเจาะเป็นรูที่หน้าท้อง
และใช้กล้องส่องผ่านรูเข้าไปผ่าตัด
(Laparoscopic cholecystectomy)
สามารถกลับบ้านภายใน 1-2 วัน
และมีแผลเพียงเล็กน้อย ในกรณี
ที่มีการอักเสบของถุงน้ำดี
มักจะให้ยาปฏิชีวนะควบคุมอาการก่อนจะทำการผ่าตัด
ข้อแนะนำ
1. ผู้ป่วยที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี
ที่ยังไม่มีอาการแสดงอะไร
(แต่บังเอิญตรวจพบขณะที่ตรวจรักษาโรคอื่น)
ไม่จำเป็นต้องรีบทำผ่าตัด
สามารถรอได้จนเมื่อเริ่มมีอาการปวดท้อง
จึงค่อยรับการผ่าตัด
2.
ในปัจจุบันมีการค้นพบยาที่ใช้ละลายนิ่วในถุงน้ำดีมีชื่อว่า
กรดชีโนดีออกซีโคลิก (chenodeoxycholic
acid)
ซึ่งได้ผลดีกับผู้ป่วยบางราย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในรายที่มองเห็นบนภาพถ่ายเอกซเรย์ด้วยวิธีการ
กินสารทึบรังสี (oral cholecystography)
และมีลักษณะก้อนนิ่วเล็ก ๆ
หลายก้อน โดยอาจต้องกินยานาน
เป็นปี ๆ
ขณะนี้ราคายายังค่อนข้างแพง
ดังนั้นจึงควรให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางโรคนี้เป็นผู้พิจารณาสั่งใช้
เท่านั้น
การป้องกัน
โรคนี้อาจป้องกันได้ด้วยการควบคุมระดับโคเลสเตอรอลในเลือด
และโรคเบาหวานให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

ลักษณะทั่วไป
ท้องเดิน (ท้องร่วง ท้องเสีย
อุจจาระร่วง) หมายถึง
ภาวะที่ผู้ป่วยมีอาการถ่ายเป็นน้ำ
หรือถ่ายเหลว
มากกว่า วันละ 3 ครั้ง
หรือถ่ายเป็นมูก
หรือมูกปนเลือดเพียงครั้งเดียว
ในทารกที่กินนมแม่ ปกติอาจ
ถ่ายอุจจาระเหลว ๆ
บ่อยครั้งได้
เราไม่ถือว่าเป็นอาการของท้องเดิน
แต่ถ้าถ่ายเป็นน้ำจำนวนมาก
และบ่อยครั้งกว่าที่เคยเป็น
ก็ถือว่าผิดปกติ
ท้องเดินเป็นอาการที่พบได้บ่อย
และมีสาเหตุได้หลาย
ประการ
ส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรง
และมักจะหายได้เอง
ส่วนน้อยอาจมีอาการรุนแรงทำให้มี
ภาวะขาดน้ำและเกลือแร่
เป็นอันตรายถึงตายได้
โดยเฉพาะในเด็กเล็กและคนแก่
นอกจาก
อาการถ่ายเป็นน้ำ ถ่ายเหลว
หรือถ่ายมีมูกเลือดปนแล้ว
อาจมีอาการไข้ ปวดท้อง
อาเจียนร่วมด้วย
ซึ่งสุดแล้วแต่สาเหตุที่เป็น
สาเหตุ
ก. ถ้าเป็นท้องเดินชนิดเฉียบพลัน
อาจเกิดจาก
1. การติดเชื้อ
ซึ่งพบได้บ่อยกว่าสาเหตุอื่น
อาจเกิดจากเชื้อไวรัส (เช่น
โรตาไวรัส) บิด , ไทฟอยด์ ,
อหิวาต์ , มาลาเรีย
,พยาธิบางชนิด (เช่น ไกอาร์เดีย,
พยาธิแส้ม้า)
2. สารพิษจากเชื้อโรค
โดยการกินพิษของเชื้อโรคที่ปะปนอยู่ในอาหาร
ซึ่งมักจะพบว่า ในกลุ่มคนที่
กินอาหารด้วยกัน
มีอาการพร้อมกันหลายคน
3.สารเคมี เช่น ตะกั่ว,
สารหนู,ไนเทรต, ยาฆ่าแมลง ฯลฯ
มักจะทำให้มีอาการอาเจียน
ปวดท้องรุนแรง
และชักร่วมด้วย
4. ยา เช่น ยาถ่าย, ยาลดกรด,
ยาปฏิชีวนะ (เตตราไซคลีน,
อะม็อกซีซิลลิน, อีริโทรไมซิน),
คอลชิซีน
(ยารักษาโรคเกาต์) เป็นต้น
5. พืชพิษ เช่น เห็ดพิษ, กลอย
ข. ถ้าเป็นเรื้อรัง (ถ่ายนานเกิน 3
สัปดาห์ หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย)
อาจเกิดจาก
1. กลุ่มอาการลำไส้ไวต่อสิ่งเร้า
มักทำให้มีอาการเป็น ๆ หาย ๆ
เป็นแรมเดือนแรมปี
โดยที่ร่างกาย
แข็งแรงดี
2. การติดเชื้อ เช่น บิดอะมีบา ,
ไกอาร์เดีย, วัณโรคลำไส้,
พยาธิแส้ม้า , เอดส์ ฯลฯ
3. โรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ,
คอพอกเป็นพิษ
4. การขาดเอนไซม์แล็กเทส (lactase)
ที่ใช้ย่อยน้ำตาลแล็กโทส (lactose)
ซึ่งมีอยู่ในนมสด จึงทำให้
เกิดอาการท้องเดินหลังดื่มนม
5.
ความผิดปกติเกี่ยวกับการดูดซึมของลำไส้
(malabsorption) ทำให้ถ่ายบ่อย
อุจจาระมีลักษณะ
เป็นมันลอยน้ำ
และมีกลิ่นเหม็นจัด
(เนื่องจากไขมันไม่ถูกดูดซึม)
และอาจมีอาการของโรคขาดอาหาร
ร่วมด้วย
6. เนื้องอก
หรือมะเร็งของลำไส้หรือตับอ่อน
7. ยา เช่น กินยาถ่าย
หรือยาลดกรดเป็นประจำก็ทำให้มีอาการท้องเดินเรื้อรังได้
8. อื่น ๆ เช่น
หลังผ่าตัดกระเพาะอาหาร
ทำให้การดูดซึมอาหารผิดปกติ
ทำให้เกิดอาการท้องเดินบ่อย
หรือภายหลังการฝังแร่รักษามะเร็งปากมดลูก
อาจทำให้ลำไส้ใหญ่อักเสบ (colitis)
ถ่ายเป็นมูกเลือด
เรื้อรังได้
อาการ
ขึ้นกับสาเหตุที่เป็น
โดยทั่วไปจะมีอาการปวดท้อง
ถ่ายเป็นน้ำ
หรือถ่ายเหลวบ่อยครั้ง
บางคนอาจมีไข้ หรือคลื่นไส้
อาเจียนร่วมด้วย
หรืออาจถ่ายเป็นมูก
หรือมูกปนเลือด
สิ่งตรวจพบ
ถ้าเป็นรุนแรง อาจมีภาวะขาดน้ำ
บางคนอาจมีไข้
อาการแทรกซ้อน
ที่สำคัญคือ
ภาวะขาดน้ำและเกลือแร่
ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะช็อก,
ภาวะเลือดเป็นกรด, ภาวะ
โพแทสเซียมในเลือดต่ำ,
ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ
เป็นอันตรายถึงตายได้
ความรุนแรงของ
โรคขี้นกับขนาดของภาวะขาดน้ำเป็นสำคัญ
ภาวะขาดน้ำ สามารถแบ่งออกเป็น 3
ขนาด ได้แก่
1. ภาวะขาดน้ำเล็กน้อย (mild dehydration)
น้ำหนักตัวลดประมาณ 5%
ผู้ป่วยเริ่มรู้สึกกระหายน้ำ
และอ่อนเพลียเล็กน้อย
แต่อาการทั่วไปดี หน้าตาแจ่มใส
เดินได้
ชีพจรและความดันโลหิตอยู่ใน
เกณฑ์ปกติ
2. ภาวะขาดน้ำปานกลาง (moderate dehydration)
น้ำหนักตัวลดประมาณ 5-10%
ผู้ป่วยจะรู้สึก
เพลียมาก เดินแทบไม่ไหว
แต่ยังนั่งได้
และยังรู้สึกตัวดี
เริ่มมีอาการตาโบ๋ (ตาลึก)
ปากแห้ง ผิวหนัง
เหี่ยว และขาดความยืดหยุ่น
ชีพจรเบาเร็ว ความดันโลหิตต่ำ
ในทารกนอกจากอาการดังกล่าวแล้ว
ยังพบว่า กระหม่อมบุ๋ม
และท่าทางเซื่องซึม
ไม่วิ่งเล่นเหมือนปกติ
3. ภาวะขาดน้ำรุนแรง (severe dehydration)
น้ำหนักตัวลดมากกว่า 10 %
ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลีย
มาก ลุกนั่งไม่ได้ ต้องนอน
ไม่ค่อยรู้สึกตัวหรือช็อก
(กระสับกระส่าย ตัวเย็น
มือเท้าเย็นชืด ชีพจรเบา
เร็ว ความดันต่ำมาก
ปัสสาวะออกน้อย หรือไม่ออกเลย)
และมีอาการตาโบ๋มาก
ผิวหนังเหี่ยวมาก
ริมฝีปากและลิ้นแห้งผาก
หายใจเร็วและลึกในทารกนอกจากอาการดังกล่าวแล้ว
ยังพบว่ากระหม่อม
บุ๋มมาก แน่นิ่ง
และตัวอ่อนปวกเปียก
การรักษา
ในที่นี้จะกล่าวถึง
หลักการรักษาอาการท้องเดินโดยทั่วไป
1. ควรงดอาหารแข็ง อาหารรสจัด
และอาหารที่มีกาก ( เช่น ผัก ผลไม้)
ให้กินอาหารอ่อน หรือ
อาหารเหลว เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก
น้ำข้าว น้ำหวานแทน
ในทารกให้ดื่มนมแม่ตามปกติ
ถ้าดื่มนมผง
ในระยะ 2-4 ชั่วโมงแรก
ให้ผสมนมเจือจางลงเท่าตัว
แล้วค่อยให้กินนมผสมตามปกติ
2. ให้น้ำเกลือ
2.1 ผู้ป่วยยังกินได้
ไม่อาเจียนหรืออาเจียนเพียงเล็กน้อย
ให้กินสารละลายน้ำตาลเกลือแร่
โดยผสมผงน้ำตาลเกลือแร่ขององค์การเภสัชกรรม
กับน้ำสุกดื่มกินต่างน้ำบ่อย
ๆ ครั้งละ 1/2 - 1 ถ้วย
(250 มล.)
หรือจะใช้น้ำเกลือผสมเองก็ได้
โดยใช้น้ำสุก 1 ขวดแม่โขงกลม
(หรือขวดน้ำปลาใหญ่ คือ
ขนาดประมาณ 750 มล.)
ผสมกับน้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ (25-30
กรัม) และเกลือป่น 1/2 ช้อนชา
(1.7 กรัม)
หรือจะใช้น้ำอัดลมหรือน้ำข้าวต้มใส่เกลือ
(ใส่เกลือ 1/2
ช้อนชาในน้ำอัดลมหรือน้ำข้าว
1 ขวดแม่โขง) ก็ได้ ในเด็กเล็ก
ในช่วง 4 ชั่วโมงแรก
ให้สารละลายน้ำตาลเกลือแร่ในปริมาณ
50 มล.
ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
(สำหรับภาวะขาดน้ำเล็กน้อย) และ 100
มล. ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม
(สำหรับภาวะขาดน้ำเห็นได้ชัด)
2.2
ถ้าผู้ป่วยมีอาการอาเจียนเล็กน้อย
แต่ยังพอดื่มน้ำเกลือหรือน้ำข้าวต้มได้
ให้คอยสังเกตว่าได้
รับน้ำเข้าไปมากกว่าส่วนที่อาเจียนออกหรือไม่
ถ้าอาเจียนออกมามากกว่าส่วนที่ดื่มเข้าไป
ควรให้
น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำแทน
ผู้ใหญ่ ให้น้ำเกลือชนิด 5%
เดกซ์โทรสในนอร์มัลซาไลน์ (5% D/NSS)
หรือนอร์มัลชาไลน์ (NSS)
1,000-2,000 มล.ใน 12-24 ชั่วโมง
ถ้ามีภาวะขาดน้ำปานกลางหรือรุนแรงในระยะ
1-2 ชั่วโมง ควร
ให้น้ำเกลือหยดเร็ว ๆ
จนกระทั่งชีพจรเต้นช้าลงและแรงขึ้น
ความดันกลับคืนเป็นปกติ
จึงค่อยหยด
ช้าลง
เด็ก ให้น้ำเกลือขนาด 5%
เดกซ์โทรสใน 1/3 นอร์มัลซาไลน์ (5% D/1/3
NSS) ขนาด 100 มล. ต่อ
น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมใน 24
ชั่วโมง ถ้ามีภาวะขาดน้ำรุนแรง
ในระยะ 1-2 ชั่วโมงแรก ให้ขนาด 20 มล.
ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมใน 1
ชั่วโมง ขณะให้น้ำเกลือ
ควรเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด
และใช้ครื่องฟัง
ตรวจฟังปอดบ่อย ๆ
ถ้ามีอาการหน้าบวม หอบตัวเขียว
หรือฟังปอดมีเสียงกรอบแกรบ (crepitation)
แสดงว่าให้น้ำเกลือเร็วหรือมากเกินไปควรหยุดน้ำเกลือ
และฉีดลาซิกส์ 1/2 - 1 หลอด เข้าหลอด
เลือดดำ
ถ้าไม่ดีขึ้นให้รีบส่งโรงพยาบาล
3. ยาแก้ท้องเดิน
ไม่มีประโยชน์ในการรักษาอาการท้องเดิน
และถ้าใช้ผิด ๆ อาจเกิดโทษได้
โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในเด็กเล็กและผู้ป่วยที่มีสาเหตุจากโรคติดเชื้อ
ดังนั้นในปัจจุบันจึงไม่แนะนำให้ใช้ยาแก้ท้องเดิน
แต่เน้นที่การให้สารละลายน้ำตาลเกลือแร่
ดังในข้อ 2.1 ให้ได้พียงพอ
อาการท้องเดินก็จะค่อย ๆ ดีขี้น
4. ยาปฏิชีวนะ ส่วนใหญ่ไม่ต้องให้
ควรให้เฉพาะรายที่สงสัยเป็นบิด ,
อหิวาต์ หรือไทฟอยด์
เท่านั้น
5. ถ้าทราบสาเหตุของท้องเดิน
ให้รักษาตามสาเหตุ
6.
ควรติดตามดูการเปลี่ยนแปลงของโรค
ถ้าถ่ายรุนแรง อาเจียนรุนแรง
มีภาวะขาดน้ำมากขึ้น มีภาวะ
ขาดน้ำรุนแรงหรือช็อก
อย่างใดอย่างหนึ่ง
ควรส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
โดยให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด
มาระหว่างทางด้วย
อาการที่แสดงว่าผู้ป่วยดีขึ้น
ได้แก่
- ถ่ายและอาเจียนน้อยลง
- ภาวะขาดน้ำลดน้อยลง
- ปัสสาวะออกมากขึ้น
- น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
- หน้าตาแจ่มใส ลุกนั่ง
หรือเดินได้
เด็กเล็กเริ่มวิ่งเล่นได้
7. ในรายที่เป็นเรื้อรัง
ถ้ามีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร
น้ำหนักลด
หรือถ่ายเป็นมูกหรือมูกปนเลือด
หลังเข้านอนกลางคืนต้องตื่นขึ้นถ่ายท้องตอนดึก
หรือมีอาการอุจจาระราด
(กลั้นไม่อยู่) ควรแนะนำ
ไปตรวจหาสาเหตุที่โรงพยาบาล
ถ้าไม่มีอาการเหล่านี้อาจให้รักษาตามอาการ
ข้อแนะนำ
1. โรคนี้
ถ้าพบในเด็กเล็กและคนแก่อาจมีอันตรายถึงตายได้
ถ้าให้การรักษาขั้นต้นแล้ว
อาการไม่ดีขึ้น
ควรส่งโรงพยาบาล
2. อันตรายที่เกิดจากโรคนี้ คือ
การเสียน้ำและเกลือแร่
จึงควรแนะนำให้ประชาชนทั่วไปรู้จักใช้ผงน้ำตาล
เกลือแร่ น้ำเกลือ ผสมเอง
น้ำอัดลม
หรือน้ำข้าวต้มใส่เกลือ ดื่มกิน
ทันทีที่มีอาการท้องเดิน
จะช่วยป้องกัน
มิให้อาการรุนแรงได้สิ่งนี้นับเป็น
"ยาแก้ท้องเดิน"
ที่จำเป็นที่สุด
3. ในเด็กเล็ก
อาการท้องเดินมีความสัมพันธ์กับโรคขาดอาหารอย่างมาก
กล่าวคือ ท้องเดินบ่อยอาจทำให้
ขาดอาหาร
และโรคขาดอาหารอาจทำให้ท้องเดินบ่อย
จึงควรรักษาทั้ง 2
โรคนี้อย่างจริงจัง
4. ควรอธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจถึง
สาเหตุของโรคท้องเดินในเด็กเล็กว่าไม่ได้เกี่ยวกับการยืดตัวของเด็กดัง
ที่เข้าใจกันทั่วไป
แต่เกิดจากการติดเชื้อ
ชึ่งสามารถป้องกันได้
การป้องกัน
1. กินอาหารสุกที่ไม่มีแมลงวันตอม
และดื่มน้ำสะอาด
2. ล้างมือก่อนเปิบข้าว
และหลังถ่ายอุจจาระ
3. ถ่ายอุจจาระลงในส้วมที่มิดชิด
เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
4. สำหรับทารก
- ควรเลี้ยงทารกด้วยนมแม่
- ถ้าใช้ขวดนมเลี้ยงทารก
ควรต้มขวดในน้ำเดือดเพื่อฆ่าเชื้อโรคเสียก่อน
- ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรค
พื้นฐานต่าง ๆ
ตามกำหนดเวลาและให้อาหารเสริมแก่ทารก
เพื่อให้
สุขภาพแข็งแรงและ
ไม่เป็นโรคขาดอาหาร
รายละเอียด
อันตรายจากโรคท้องเดิน คือ
การเสียน้ำและเกลือแร่
ดังนั้นควรให้ผู้ป่วยดื่มสารละลายน้ำตาล
เกลือแร่ทันทีตั้งแต่มีอาการ

ลักษณะทั่วไป
คำว่า "โรคกระเพาะ"
ตามความหมายของแพทย์ หมายถึง
แผลที่เกิดบนเยื่อบุกระเพาะอาหาร
(stomach)
หรือลำไส้เล็กส่วนต้นหรือดูโอดีนัม
(duodenum) ตรงกับคำว่า แผลเพ็ปติก (Peptic ulcer)
แต่เนื่องจากเรามักจะวินิจฉัย
ผู้ที่มีอาการปวดท้องตรงยอดอกหรือใต้ลิ้นปี่ที่เกิดก่อนหรือหลังกินอาหาร
ว่าเป็น "โรคกระเพาะ"
โดยไม่มีการตรวจยืนยันด้วยการส่องกล้องตรวจ
หรือเอกซเรย์โดยการกลืนแป้ง
แบเรียม ดังนั้น
จึงมีความหมายครอบคลุมกว้างขวางมากกว่า
แผลเพ็ปติกเพียงอย่างเดียว
และคง
ใกล้เคียงกับความหมายของคำว่า
"อาหารไม่ย่อย"
ซึ่งมีสาเหตุอันหลากหลายดังนั้นในที่นี้
จะขอใช้
คำว่า แผลเพ็ปติก
เมื่อกล่าวถึงโรคแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้นหรือแผลดียู
(Duodenal ulcer/DU) และ
โรคแผลที่กระเพาะอาหาร
หรือแผลจียู (Gastric ulcer/GU) แผลเพ็ปติก
เป็นโรคที่พบได้บ่อย ประมาณ
10-20%
ของคนทั่วไปจะมีโอกาสเป็นโรคนี้ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต
แผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น (ดียู)
พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
ประมาณ 2-4 เท่า
และพบมากในช่วงอายุประมาณ 30-55 ปี
ขณะที่
แผลที่กระเพาะอาหาร
พบในผู้ชายพอ ๆ กับผู้หญิง
และพบในช่วงอายุประมาณ 55-70 ปี
แต่ทั้ง 2
โรคนี้ก็สามารถพบได้ในคนทุกวัย
สาเหตุ
แผลเพ็ปติก
เกิดจากความเสียสมดุลระหว่าง
ปริมาณกรดที่หลั่งในกระเพาะอาหาร
กับความต้านทาน
ต่อกรดของเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้
ถ้าหากมีการหลั่งกรดมากเกิน
หรือความต้านทานต่อกรด
ลดลง
ก็ทำให้เกิดแผลเพ็ปติกขึ้นได้
ในปัจจุบัน
พบว่าสาเหตุสำคัญของการเกิดแผลเพ็ปติก
ได้แก่
1. การติดเชื้อเอชไพโลไร (H.
pylori)
ซึ่งเป็นแบคทีเรียแกรมลบ
สันนิษฐานว่า
ติดต่อโดยการกินอาหาร
หรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระของผู้ติดเชื้อ
แล้วเข้าไปฝังตัวอยู่ใต้เยื่อบุกระเพาะ
ในระยะแรก อาจ
ทำให้เกิดกระเพาะอาหารอักเสบ
ซึ่งจะเป็นเรื้อรังนานเป็นแรมปีหรือนับเป็นสิบ
ๆ ปี ต่อมา ทำให้กลายเป็น
แผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น
(พบเชื้อนี้ในผู้ที่เป็นแผลชนิดนี้
ถึง 95-100%) และแผลที่กระเพาะอาหาร
(พบเชื้อนี้
ในผู้ที่เป็นแผลชนิดนี้ถึง 75-85%)
ในการติดตามผลการรักษาผู้ป่วยแผลเพ็ปติกด้วยการส่องกล้องตรวจ
กระเพาะอาหารและลำไส้ พบว่า
การรักษาโรคแผลเพ็ปติกโดยวิธีดั้งเดิม
(ให้ยาลดกรด และยาลดการสร้าง
กรด) นั้น
ผู้ป่วยจะมีแผลกำเริบถึง 70-85% ใน 1
ปี
แต่ในกลุ่มที่ได้ยาปฏิชีวนะกำจัดเชื้อเอชไพโลไร
ตามวิธีการรักษาแนวใหม่
จะมีแผลกำเริบน้อยกว่า 5% ใน 1
ปัดังนั้นในวงการแพทย์ปัจจุบัน
จึงยอมรับว่า
เชื้อนี้เป็นตัวการสำคัญของโรคแผลเพ็ปติก
ถึงแม้จะยังไม่มีความชัดเจน
ในกลไกของการทำให้เกิดแผล
เพ็ปติกจากเชื้อนี้ก็ตาม
(บ้างสันนิษฐานว่า เชื้อชนิดนี้
ทำให้กลไกในการต้านทานต่อกรดของเยื่อบุ
กระเพาะอาหารลดลง)
2.
การใช้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์
ได้แก่ แอสไพริน
และกลุ่มยาแก้ปวดข้อ (เช่น
อินโดเมทาซิน,
ไอบูโพรเฟน, นาโพรเซน ฯลฯ)
พบว่าผู้ที่ใช้ยากลุ่มนี้เป็นประจำ
จะมีโอกาสเป็นแผลที่กระเพาะอาหาร
10-30% และแผลที่ลำไส้ส่วนต้น 2-20%
และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน
เช่น เลือดออก แผลทะลุ
มากกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้ยากลุ่มนี้ถึง
3 เท่า ประมาณ 1-2%
ของผู้ใช้ยากลุ่มนี้เป็นประจำ
จะเกิดภาวะแทรก
ซ้อนภายใน 1 ปี
ยานี้จะระคายต่อเยื่อบุกระเพาะอาหารโดยตรง
และทำลายกลไกในการต้านทานต่อ
กรด
ของเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้
กลุ่มที่เสี่ยงต่อการเกิดแผลเพ็ปติกจากยากลุ่มนี้
ได้แก่ ผู้สูง
อายุ,
ผู้ที่ใช้ยากลุ่มนี้ในขนาดสูง,
ผู้ที่ใช้ยากลุ่มนี้นาน ๆ,
ผู้ที่ใช้ยากลุ่มนี้ร่วมกับสเตอรอยด์,
ผู้ที่มีประวัต
ิเป็นแผลเพ็ปติกมาก่อน,
ผู้ที่มีภาวะเจ็บป่วยรุนแรง
3. ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ
บางอย่างอาจมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคนี้
แต่บางอย่างอาจไม่มีความสัมพันธ์
โดยตรง เช่น
-
ประวัติการมีญาติพี่น้องเป็นแผลเพ็ปติก
(อาจเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์)
ทำให้มีโอกาสเป็นโรคนี้มากขึ้น
เป็น 3 เท่า
- การสูบบุหรี่
เพิ่มโอกาสของการเป็นแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น
ทำให้การรักษาได้ผลช้า
และทำให้เกิดภาวะ
แทรกซ้อนได้มากขึ้น
- ผู้ที่มีเลือดกลุ่มโอ
อาจเสี่ยงต่อการเป็นแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้นมากกว่าปกติ
- ความเครียดทางอารมณ์
ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่า
เป็นสาเหตุของการเกิดแผลเพ็ปติกโดยตรง
แต่เป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้ป่วยโรคนี้เป็นแผลกำเริบได้
- แผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น
ยังอาจพบร่วมกับโรคอื่น ๆ เช่น
ภาวะต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากเกิน
(Hyperparathyroidism)
ซึ่งจะมีภาวะแคลเซียมสูง
และแคลเซียมกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรด
มาก,
กลุ่มอาการซอลลิงเกอร์-เอลลิสัน
(Zollinger-Ellison syndrome)
ซึ่งเป็นเนื้องอกในตับอ่อนและลำไส้
เล็กส่วนต้น
ทำให้มีการหลั่งกรดและน้ำย่อยมากเกิน,
ภาวะไตวายเรื้อรัง,
ตับแข็งจากพิษแอลกอฮอล์,
ถุงลมพอง เป็นต้น
- แอลกอฮอล์
(ซึ่งเป็นสาเหตุของกระเพาะอักเสบชนิดเยื่อบุกร่อน
ทำให้มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร)
สเตอรอยด์และกาเฟอีน
ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นสาเหตุของแผลเพ็ปติกโดยตรง
แต่ก็อาจทำให้
ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้เป็นแผลกำเริบได้
จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้สารเหล่านี้ในผู้ป่วยแผลเพ็ปติก
- อาหารทุกชนิด
ไม่เป็นสาเหตุโดยตรงของการเกิดแผลเพ็ปติก
แต่ถ้ากินแล้วทำให้มีอาการกำเริบ
(เช่น
อาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด
น้ำส้ม น้ำผลไม้)
ก็ควรจะหลีกเลี่ยง
อาการ
มักมีอาการปวดท้องเป็น ๆ หาย ๆ
เรื้อรัง ตรงบริเวณกลางยอดอก
หรือใต้ลิ้นปี่
บางคนอาจค่อนมาทาง
ขวาหรือซ้ายก็ได้
เวลาที่ปวดมักจะสัมพันธ์กับมื้ออาหาร
เช่น ก่อนหรือหลังอาหาร
ลักษณะการปวด
อาจปวดแสบ ปวดตื้อ จุกเสียด
หรือมีความรู้สึกหิวข้าวก่อนเวลาอาหาร
บางครั้งอาจมีอาการคลื่นไส้
อาเจียน
หรือเรอเปรี้ยวร่วมด้วย
ในผู้ป่วยที่มีแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น
มักมีอาการปวดท้อง หลังอาหาร
ประมาณ 1-3 ชั่วโมง
หรือขณะท้องว่าง
โดยมากจะเริ่มปวดตอนสาย ๆ
หลังกินข้าวแล้ว จะปวดมากขึ้น
ในช่วงบ่าย ๆ เย็น ๆ
และอาจปวดมากตอนดึก ๆ
จนต้องตื่นนอนหรือนอนไม่หลับ
อาการปวดมักจะดี
ขึ้นทันทีหลังกินอาหาร ดื่มนม
กินยาลดกรด หรืออาเจียน
ถ้าแผลลุกลามไปที่ตับอ่อน
อาจทำให้มี
อาการปวดหลังร่วมด้วย
และไม่หายปวดท้องหลังกินอาหาร
ในผู้ป่วยที่มีแผลที่กระเพาะอาหาร
มักมี
อาการปวดท้องหลังอาหาร ประมาณ
1/2-1 ชั่วโมง
บางคนอาจมีอาการเบื่ออาหาร
(ไม่อยากกิน เพราะ
กลัวปวดท้อง) และน้ำหนักลด
อาการปวดท้องมักเป็นอยู่นานหลายสัปดาห์
แล้วอาจหายไปได้เอง
แต่ก็มักจะมีอาการกำเริบภายใน 1-2
ปี เป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม
ลักษณะอาการของผู้ป่วยแผล
ที่ลำไส้เล็กส่วนต้น
กับแผลที่กระเพาะอาหาร
บางครั้งก็อาจจะแยกกันไม่ได้ชัดเจนเช่น
อาการปวด
ท้องตอนดึก
ก็อาจเกิดในผู้ป่วยแผลที่กระเพาะอาหารก็ได้เช่นกัน
ผู้ป่วยบางคนอาจเป็นแผลเพ็ปติก
โดยไม่มีอาการแสดงก็ได้ เช่น
พบว่า
กลุ่มที่เป็นแผลจากยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์
มีประมาณ
50% ที่ไม่ปรากฎอาการ
หรือผู้ป่วยที่มีภาวะแทรกซ้อน
(เช่น ถ่ายดำ)
โดยไม่มีอาการปวดท้องมา
ก่อนก็ได้
การวินิจฉัยที่แน่นอน
ต้องอาศัยการส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหารและลำไส้
หรือเอกซเรย์
โดยการกลืนแป้งแบเรียม
สิ่งตรวจพบ
ส่วนมากมักตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติอะไร
บางคนอาจรู้สึกกดเจ็บเล็กน้อย
ตรงบริเวณลิ้นปี่
ในรายที่มีเลือดออก (เช่น ถ่ายดำ)
อาจตรวจพบอาการซีด
อาการแทรกซ้อน
ถ้าปล่อยให้เป็นเรื้อรัง
อาจมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้
ที่พบบ่อย ก็คือ
ภาวะเลือดออกในกระเพาะ
อาหาร หรือ ลำไส้เล็กส่วนต้น
ผู้ป่วยจะมีอาการอาเจียนเป็นเลือด
หรือถ่ายอุจจาระดำ ส่วนมากเลือด
จะออกไม่มากและหยุดได้เอง
ส่วนน้อยอาจมีเลือดออกมาก
จนบางครั้งเกิดภาวะช็อก
ถ้าเลือดออก
เรื้อรัง
ก็อาจเกิดภาวะโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็กได้
บางรายแผลอาจกินลึกจนเป็นรูทะลุ
เรียกว่า แผลเพ็ปติกทะลุ (Peptic
perforation)
ซึ่งอาจทำให้มีเยื่อบุช่องท้องอักเสบร่วมด้วยได้
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องรุนแรง
และหน้าท้องแข็ง
ควรได้รับการผ่าตัด
แก้ไขโดยด่วน บางรายอาจ
มีภาวะกระเพาะหรือลำไส้ตีบตัน
มีอาการปวดท้องรุนแรง
อาเจียนรุนแรง
และท้องผูกในรายที่แผล
กินลึกไปถึงตับอ่อน
อาจทำให้มีอาการปวดหลัง
หรือมีอาการของตับอ่อนอักเสบร่วมด้วย
ผู้ที่เป็น
แผลที่กระเพาะอาหารเรื้อรังจากเชื้อเอชไพโลไร
ก็อาจมีโอกาสกลายเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร
ได้
การรักษา
1.
ถ้ามีอาการอาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายดำ
ควรส่งโรงพยาบาลภายใน 24 ชั่วโมง
(ถ้ามีอาการหน้ามืด
เป็นลม หรือช็อก
ควรส่งโรงพยาบาลทันที)
ถ้าเสียเลือดมาก
อาจต้องให้เลือด
แล้วทำการตรวจหาสาเหตุ
และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ
2. ถ้ามีอาการปวดท้องรุนแรง
ปวดท้องติดต่อกันนานเกิน 6
ชั่วโมง อาเจียนรุนแรง
หรือมีอาการท้องแข็ง
ควรส่งโรงพยาบาลด่วน
ถ้าตรวจพบว่ามีภาวะแผลเพ็ปติกทะลุ
หรือ กระเพาะหรือลำไส้ตีบตัน
จำเป็นต้อง
ผ่าตัดด่วน
3. ถ้ามีอาการปวดแสบ
หรือจุกเสียดตรงใต้ลิ้นปี่ก่อนหรือหลังอาหาร
หรือตอนดึก ๆ เป็นครั้งแรก ให้ยา
ลดกรด
ร่วมกับยาลดการสร้างกรด-ไซเมทิดีน
นาน 2 สัปดาห์
ถ้าดีขึ้นกินต่อจนครบ 6-8 สัปดาห์
ถ้า
ไม่ดีขึ้น หรือมีอาการกำเริบ
หรือน้ำหนักลด
ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
เพื่อตรวจหาสาเหตุในการ
วินิจฉัยแผลเพ็ปติก
จำเป็นต้องอาศัยการตรวจพิเศษ
เช่น การส่องกล้อง (endoscope)
ตรวจดูกระเพาะ
อาหาร และลำไส้,
การเอกซเรย์กระเพาะลำไส้โดยการกลืนแป้งแบเรียม,
การตัดชิ้นเนื้อพิสูจน์ (biopsy),
การเพาะเชื้อหาเชื้อเอชไพโลไร
เป็นต้น
การรักษานอกจากให้ยาลดกรด
บรรเทาอาการแล้ว
ยังต้องให้ยารักษาแผลเพ็ปติกกลุ่มอื่น
ๆ ซึ่งขึ้นกับ
สาเหตุของ การเกิดโรค
ตามแนวทางโดยคร่าว ๆ ดังนี้
ก.
แผลเพ็ปติกที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชไพโลไร
การรักษามีจุดมุ่งหมายเพื่อบรรเทาอาการปวดท้อง
รักษาแผลให้หายและกำจัดเชื้อเอชไพโลไร
โดยให้ยาดังนี้
(1) ยาลดการสร้างกรดออกฤทธิ์แรง
(กลุ่ม proton pump inhibitors) ได้แก่ โอเมพราโซล
(Omeprazole)
มีชื่อทางการค้า เช่น โลเซก (Losec),
ไมราซิด (Miracid) ครั้งละ 20 มก. (1 แคปซูล)
วันละ 2 ครั้ง ก่อน
อาหารเช้าและเย็นร่วมกัน
(2) ยาปฏิชีวนะ 2 ชนิดร่วมกัน
สูตรใดสูตรหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(โดยกินพร้อมอาหาร)
(2.1) เมโทรไนดาโซล ครั้งละ 500 มก.
วันละ 2 ครั้ง และคลาริโทรไมซิน
(Clarithromycin) ครั้งละ
500 มก. วันละ 2 ครั้ง หรือ
(2.2) อะม็อกซีซิลลิน ครั้งละ 1,000 มก.
วันละ 2 ครั้ง และคลาริโทรไมซิน
ครั้งละ 500 มก. วันละ 2 ครั้ง
หรือ
(2.3) อะม็อกซีซิลลิน ครั้งละ 1,000 มก.
วันละ 2 ครั้ง และเมโทรไนดาโซล (ย4.8)
ครั้งละ 500 มก.
วันละ 2 ครั้ง
(2.4) เตตราไซคลีน 500 มก. วันละ 4
ครั้ง และเมโทรไนดาโซล ครั้งละ
250 มก. วันละ 4 ครั้ง ร่วมกับ
บิสมัท ซับซาลิไซเลต (Bismuth subsalicylate)
ครั้งละ 2 เม็ด วันละ 4 ครั้ง
ทั้งหมดนี้ กินทุกวัน ติดต่อ
กันนาน 7 วัน หลังจากนั้น
ให้กินโอเมพราโซล หรือ
ยาต้านเอช-2 (เช่น ไซเมทิดีน,
รานิทิดีน) นาน
4-8 สัปดาห์
ข.
แผลเพ็ปติกที่ไม่สัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชไพโลไร
เป็นแผลเพ็ปติกที่ตรวจไม่พบการอักเสบจาก
เชื้อเอชไพโลไร
อาจมีสาเหตุจากการใช้ยาแอสไพริน
หรือยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์
ควรให้การ
รักษาด้วยยาชนิดใดชนิดหนึ่ง
ดังต่อไปนี้
(1) โอเมพราโซล 20 มก. วันละครั้ง นาน 4
สัปดาห์
(สำหรับแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น
ที่ไม่มีภาวะ
แทรกซ้อน) หรือ 20 มก. วันละ 2 ครั้ง
นาน 6-8 สัปดาห์
(สำหรับแผลที่กระเพาะอาหาร
หรือแผลเพ็ปติก
ที่มีภาวะแทรกซ้อน)
(2) ยาต้านเอช-2 เช่น ไซเมทิดีน 800
มก. หรือรานิทิดีน (Ranitidine) 300 มก.
วันละครั้ง ก่อนนอน
นาน 6 สัปดาห์
(สำหรับแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้นที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน)
หรือไซเมทิดีน 400 มก. หรือ
รานิทิดีน 150 มก. วันละ 2 ครั้ง นาน
8-12 สัปดาห์
(สำหรับแผลที่กระเพาะอาหาร)
ส่วนแผลเพ็ปติก
ที่มีภาวะแทรกซ้อน
ไม่แนะนำให้ใช้ยากลุ่มนี้
(3) ซูคราลเฟต (Sucralfate)
ซึ่งเป็นยาปกป้องเยื่อบุกระเพาะลำไส้
ให้ครั้งละ 1 กรัม วันละ 4 ครั้ง
สำหรับแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้นที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน
ค. ในรายที่เป็นเรื้อรัง
หรือเคยมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น
หรือผู้สูงอายุ
หรือยังสูบบุหรี่ อาจจำเป็นต้อง
กินยาต้านเอช-2 เช่น ไซเมทิดีน
400-800 มก. หรือรานิทิดีน 150-300 มก.
วันละครั้ง ก่อนนอน ทุกวัน
ติดต่อกันไปอีกสักระยะหนึ่ง (3-6
เดือนหรือเป็นปี)
และอาจต้องใช้กล้องส่องตรวจ
และตัดชิ้นเนื้อพิสูจน์
ซ้ำ จนกว่าแผลจะหายดี
ถ้าแผลเรื้อรัง ไม่ยอมหาย
อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด
ข้อแนะนำ
1.
ผู้ป่วยที่เริ่มให้การรักษาด้วยยารักษาแผลเพ็ปติก
ถ้ายังมีอาการปวดท้อง
ควรให้ยาลดกรด ช่วย
บรรเทาอาการครั้งละ 15-30 มล.
เวลามีอาการ
ร่วมกับยารักษาแผลเพ็ปติกกลุ่มอื่น
ๆ จนกว่าจะหาย
ปวดท้อง
2. สำหรับผู้ป่วย ควรมีข้อปฏิบัติ
ดังนี้
2.1 กินอาหารให้ตรงเวลาทุกมื้อ
อย่าปล่อยให้หิว
2.2 งดบุหรี่ แอลกอฮอล์ ชา
กาแฟหรือเครื่องดื่มกาเฟอีน
น้ำอัดลม
2.3 หลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน
ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่เสตอรอยด์,
ยาสเตอรอยด์
2.4 อาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด
น้ำส้ม น้ำผลไม้
ถ้ากินแล้วมีอาการปวดท้องกำเริบ
ควรงดจนกว่า
จะหายดี
2.5 ออกกำลังกายเป็นประจำ
และหาวิธีผ่อนคลายความเครียด
(ถ้าเครียด)
2.6 ควรกินยาอย่างต่อเนื่อง
และพบแพทย์ตามนัด
การกินยาไม่ต่อเนื่อง
อาจทำให้กลายเป็นแผลเรื้อรัง
และรักษายาก
หรือมีภาวะแทรกซ้อนได้
การป้องกัน
ผู้ป่วยที่กินยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์
ที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดแผลเพ็ปติก
(เช่น ผู้สูงอายุ,
ผู้ที่ต้องใช้ยานี้ในขนาดสูง
หรือนาน ๆ
หรือใช้ร่วมกับยาสเตอรอยด์,
ผู้ที่เคยเป็นแผลเพ็ปติกมาก่อน )
ควรให้กินยาป้องกันควบคู่ด้วย
เช่น ไมโซพรอสตอล (Misoprostol) 100-200
ไมโครกรัม วันละ 4 ครั้ง
ยานี้จัดอยู่ในกลุ่มพรอสตาแกลนดิน
กินแล้วอาจทำให้ปวดท้อง
ท้องเดิน
และไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์
เพราะอาจทำให้แท้งได้
ในกรณีที่ผู้ป่วยกินยาดังกล่าวไม่ได้
หรือมีผลข้างเคียงมาก
ให้ใช้โอเมพราโซล
ครั้งละ 20 มก. วันละ 2 ครั้ง
หรือกินยาลดกรด 30 มล. วันละ 7 ครั้ง
นอกจากนี้ ยังอาจจำเป็นต้อง
เปลี่ยนไปใช้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์
ตัวใหม่ ๆ
ที่มีผลต่อการเกิดแผลเพ็ปติกน้อย
เช่น
ซาลซาเลต (Salsalate), อีโทโดแล็ก
(Etodolac), นาบูมีโทน (Nabumetone) เป็นต้น

ลักษณะทั่วไป
ริดสีดวงทวาร
เป็นภาวะที่หลอดเลือดดำที่มีอยู่ตามธรรมชาติของคนทั่วไป
ในบริเวณทวารหนักเกิดการ
ปูดพองเป็นหัว
เรียกว่าหัวริดสีดวง
แล้วมีการปริแตกของผนังหลอดเลือดขณะเบ่งถ่ายอุจจาระ
ทำให้มี
เลือดออกเป็นครั้งคราว
อาจพบเป็นเพียงหัวเดียวหรือหลายหัวก็ได้
ถ้าเกิดจากหลอดเลือดดำที่อยู่ใต้ผิว
หนังตรงปากทวารหนัก เรียกว่า
ริดสีดวงภายนอก (external hemorrhoid)
ซึ่งอาจมองเห็นจากภายนอก
ได้
ถ้าเกิดจากหลอดเลือดที่อยู่ลึกเข้าไปเรียกว่า
ริดสีดวงภายใน (internal hemorrhoid)
ซึ่งจะตรวจพบ
เมื่อใช้เครื่องมือส่องทวารหนัก
เป็นโรคที่พบได้บ่อย
และพบเป็นสาเหตุอันดับแรก ๆ
ของอาการถ่าย
อุจจาระเป็นเลือดสด
โดยทั่วไปจะไม่ค่อยมีอาการรุนแรง
หรืออันตราย แต่อาจเป็น ๆ หาย ๆ
เรื้อรัง น่า
รำคาญ หรือทำให้วิตกกังวล
โดยมากมักจะมีอาการเวลาท้องผูก
หรือท้องเดินบ่อยครั้ง
สาเหตุ
หลอดเลือดดำที่ใต้เยื่อเมือกและผิวหนังในบริเวณทวารหนัก
มีการปูดพองเป็นหัว
เนื่องจากมีภาวะความดันในหลอดเลือดดำสูงจากสาเหตุต่าง
ๆ เช่น การเบ่งถ่ายอุจจาระ,
ท้องผูก,
การนั่งนาน ๆ, ภาวะตั้งครรภ์,
น้ำหนักมาก (อ้วน),
การกินอาหารที่มีกากใยน้อย,
ไอเรื้อรัง เป็นต้น
นอกจากนี้
ยังอาจพบร่วมกับโรคในช่องท้อง
เช่น ตับแข็ง (44)
ทำให้มีภาวะความดันในหลอดเลือดดำ
ตับสูง
ซึ่งส่งผลกระทบมาที่หลอดเลือดดำที่ทวารหนัก,
ก้อนเนื้องอกในท้อง,
มะเร็งลำไส้ใหญ่, ต่อม
ลูกหมากโต เป็นต้น
อาการ
ส่วนมากจะมีอาการเลือดออกทางทวารหนัก
เป็นเลือดแดงสด
เกิดขึ้นขณะถ่ายอุจจาระ
อาจสังเกต
มีเลือดเปื้อนกระดาษชำระ
หรือปนมากับอุจจาระ
หรือมีเลือดไหลออกเป็นหยดโดยไม่รู้สีกเจ็บปวดแต่
อย่างไร
บางคนอาจรู้สึกเจ็บที่ทวารหนัก
และถ่ายอุจจาระลำบาก
หรืออาจมีอาการคันก้น
ถ้าริดสีดวง
อักเสบ หรือหลุดออกมาข้างนอก
อาจทำให้รู้สึกปวดรุนแรง
จนถึงกับนั่งยืน
หรือเดินไม่สะดวก และคลำ
ได้ก้อนเนื้อนุ่ม ๆ สีคล้ำ ๆ
ที่ปากทวารหนัก
ถ้ามีเลือดออกมากหรือเรื้อรัง
อาจมีอาการซีดได้
สิ่งตรวจพบ
อาจคลำได้ก้อนเนื้อนุ่ม ๆ สีคล้ำ
ๆ ที่ปากทวารหนัก
อาการแทรกซ้อน
อาจทำให้มีภาวะโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก
การรักษา
1. ระวังอย่าให้ท้องผูก
ควรดื่มน้ำมาก ๆ
และกินผักผลไม้มาก ๆ
ถ้ายังท้องผูก ให้กินยาระบาย
เช่น
ยาระบายแมกนีเซีย , ดีเกลือ ,
อีแอลพี หรือสารเพิ่มกากใย
อย่ายืนนาน ๆ
หรือนั่งเบ่งถ่ายนาน ๆ
2. ถ้าปวดมากเนื่องจากมีการอักเสบ
ให้กินยาแก้ปวด ,
นั่งแช่ในน้ำอุ่นจัด ๆ วันละ 2-3
ครั้ง ๆ ละ
15-30 นาที
และใช้ยาเหน็บริดสีดวงทวาร เช่น
อะนูซอล (Anusal), เชอริพร็อกต์ (Scheriproct),
พร็อกโตซีดิล (Proctosedyl) เหน็บวันละ 2-3
ครั้ง (เช้า ก่อนนอน
และหลังถ่ายอุจจาระ) จนอาการ
บรรเทา ปกติใช้เวลาประมาณ 10 วัน
3. ถ้าซีดให้ เฟอร์รัสซัลเฟต
วันละ 3 ครั้ง ๆ ละ 1 เม็ด
4. ถ้าหัวริดสีดวงหลุดออกข้างนอก
ให้ใส่ถุงมือใช้ปลายนิ้วชุบสบู่ให้หล่อลื่น
แล้วดันหัวกลับเข้าไป
ถ้าไม่ได้ผล
ควรแนะนำไปโรงพยาบาล
5. ถ้ามีเลือดออกนานกว่า 1 สัปดาห์
หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย
หรือสงสัยมีโรคอื่นร่วมด้วย
หรือพบ
ในคนอายุมากกว่า 40 ปี
ควรแนะนำไปโรงพยาบาล
อาจต้องใช้เครื่องส่องตรวจทวารหนัก
(proctoscope)
ถ้าหากสงสัยเป็นมะเร็งของลำไส้ใหญ่
อาจต้องเอกซเรย์ลำไส้ใหญ่ด้วยการสวนแป้ง
แบเรียม (Barium enema)
หรือใช้เครื่องส่องตรวจลำไส้ใหญ่ถ้าเป็นริดสีดวงทวาร
โดยไม่มีสาเหตุที่
ร้ายแรง
ก็มักจะให้การรักษาดังได้กล่าวข้างต้น
ถ้าเป็นมากอาจรักษาด้วยการฉีดยาเข้าที่หัวริดสีดวง
ให้ฝ่อไป วิธีนี้สะดวก ปลอดภัย
ไม่มีความเจ็บปวด
มักจะฉีดสัปดาห์ละครั้ง ประมาณ 3-5
ครั้ง ช่วย
ให้หายขาดได้ 60% ส่วนอีก 40%
อาจกำเริบได้ใหม่
หรืออาจรักษาโดยวิธีใช้ยางรัด
(rubber band
ligation) ทำให้หัวริดสีดวงฝ่อ
หรือใช้แสงเลเซอร์รักษา (laser
photocoagulation) ถ้าเป็นมาก หรือมี
ภาวะแทรกซ้อน อาจต้องผ่าตัด
ข้อแนะนำ
1. ริดสีดวงทวาร โดยตัวมันเอง
ไม่ใช่โรคที่ร้ายแรง
(มีเพียงส่วนน้อยที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด)
แต่
อาจเป็นเรื้อรังได้
ถึงแม้เคยผ่าตัดรักษามาแล้ว
ก็อาจเกิดริดสีดวงหัวใหม่
ทำให้มีเลือดออกได้อีก ผู้
ที่เป็นโรคนี้
ควรระวังอย่าให้ท้องผูก
หรือท้องเดินบ่อย ๆ
2. มะเร็งของลำไส้ใหญ่
ก็อาจทำให้มีอาการของริดสีดวงทวารได้
ดังนั้น
ถ้าพบว่ามีเลือดออกนานกว่า
1 สัปดาห์
หรือพบได้คนอายุมากกว่า 40 ปี
ควรแนะนำไปตรวจที่โรงพยาบาลให้แน่ใจ
3. อาการถ่ายอุจจาระะเป็นเลือด
อาจมีสาเหตุได้หลายอย่าง
รายละเอียด
มีอาการถ่ายเป็นเลือดนานกว่า 1
สัปดาห์ หรือพบในคนอายุมากกว่า 40
ปี ควรปรึกษาแพทย์

ลักษณะทั่วไป
ไส้ติ่งอักเสบ
เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้องรุนแรงที่ต้องผ่าตัด
หากพบมี
อาการปวดเจ็บตรงท้องน้อยข้างขวา
ควรนึกถึงโรคนี้ไว้ก่อนเสมอ
เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทุกวัย
สาเหตุ
เกิดจากการอุตตันของไส้ติ่ง
เช่น
มีเศษอุจจาระตกลงไปในไส้ติ่ง
ทำให้มีเชื้อเบคทีเรียเข้าไปทำให้
เกิดการอักเสบ
อาการ
มักมีอาการปวดท้องมาก
เริ่มแรกอาจปวดเป็นพัก ๆ
รอบสะดือคล้ายโรคกระเพาะ
หรือท้องเดิน อาจจะ
เข้าส้วมบ่อย แต่ถ่ายไม่ออก
บางคนอาจสวนด้วยยาถ่าย
แต่บางคนก็อาจมีอาการท้องเดินร่วมด้วย
อาการปวดถึงแม้จะกินยาแก้ปวดอะไรก็ไม่หาย
ต่อมาอีก 3-4 ชั่วโมง
อาการปวดจะย้ายมาที่ท้องน้อย
ข้างขวา
ลักษณะปวดเสียดตลอดเวลา
ต้องนอนนิ่ง ๆ
เคลื่อนไหวตัวจะทำให้ปวดมาก
ผู้ป่วยจะ
มีอาการคลื่นไส้อาเจียนและมีไข้ต่ำ
ๆ
บางคนถ้าเป็นมากต้องนอนงอขาตะแคงไปข้างหนึ่ง
หรือเวลา
เดินต้องเดินตัวงอจึงจะรู้สึกสบายขึ้น
อาการจะเป็นอยู่นับชั่วโมงถึงหลายวัน
บางคนอาจมีอาการ
ปวดท้องน้อยข้างขวา
โดยไม่มีอาการอื่นนำมาก่อนเลยก็ได้
ในเด็กประวัติอาการอาจไม่แน่นอน
สิ่งตรวจพบ
ไข้ต่ำ ๆ (37.5-38 ํซ. มักไม่เกิน 38.5 ํซ.)
บางคนอาจไม่มีไข้
ลิ้นเป็นฝ้าหนา
กดเจ็บตรงท้องน้อยข้าง
ขวา โดยเฉพาะตรงจุดไส้ติ่ง
หรือจุดแม็กเบอร์เนย์ถ้าใช้มือค่อย
ๆ กดตรงบริเวณนั้นลึก ๆ แล้วปล่อย
มือทันทีให้ผนังหน้าท้องกระเด้งกลับทันที
ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บมาก
เรียกว่า อาการกดปล่อยแล้วเจ็บ
(rebound tenderness) ถ้าไส้ติ่งแตก
จะมีอาการปวดเจ็บทั่วบริเวณท้องน้อย
ท้องแข็ง อาจคลำได้
ก้อน และไข้สูง
ข้อแนะนำ
1.
คนที่มีอาการปวดเหนือสะดือคล้ายโรคกระเพาะ
ถ้ากินยาแล้วไม่ดีขึ้น
อาจเป็นไส้ติ่งอักเสบระยะแรกได้
2.
คนที่มีไข้สูงนำมาก่อนหลายวันแล้วค่อยปวดท้องคล้ายไส้ติ่งอักเสบ
อาจเป็นอาการของไข้ไทฟอยด์ ได้
3. อาการของไส้ติ่งอักเสบ
อาจไม่มีไข้
หรืออาการอย่างอื่นนำมาก่อนก็ได้
4. ในผู้หญิง
ถ้ามีอาการปวดท้องน้อยข้างขวา
และมีไข้สูงหนาวสั่นตั้งแต่ระยะเริ่มแรก
อาจเป็นปีก
มดลูกอักเสบ
รายละเอียด
ถ้ามีอาการปวดและกดเจ็บตรงท้องน้อยข้างขวา
ควรนึกถึงโรคไส้ติ่งอักเสบไว้เสมอ

ลักษณะทั่วไป
ก. ในทารกแรกเกิดและเด็กเล็ก
อาจมีสาเหตุที่สำคัญและพบบ่อย
ดังนี้
1. เด็กกลืนขี้เทาหรือเลือดแม่
จะมีอาการเกิดขึ้นภายใน 48
ชั่วโมงแรกหลังคลอด เนื่องจาก
การกลืนเอาขี้เทา (meconium)
หรือเลือดแม่เข้าไปทำให้มีการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร
เด็กจะมีอาการอาเจียนไม่มาก
และไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ
มักจะหายได้เอง
ระหว่างที่มีอาการ
อาเจียน
ควรให้ทารกดูดน้ำกลูโคส
หรือน้ำผสมน้ำตาลทีละน้อย
แต่บ่อย ๆ
2. ทารกได้รับบาดเจ็บระหว่างคลอด
มักมีประวัติการคลอดลำบาก
หลังคลอดจะมีอาการอาเจียน
ซึม ชัก กระหม่อมโป่งตึง
หากสงสัยควรส่งโรงพยาบาลด่วน
3. กระเพาะหรือลำไส้อุดตัน
กระเพาะส่วนปลายตีบโดยกำเนิด
ลำไส้กลืนกันเอง
มักมีอาการอาเจียน
รุนแรง หรือปวดท้องรุนแรง
หากสงสัยควรส่งโรงพยาบาลด่วน
4. โรคติดเชื้อ ในเด็กเล็ก
เมื่อมีโรคติดเชื้อเกิดขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นในหรือนอกระบบทางเดินอาหาร
มักจะ
มีอาการอาเจียนร่วมด้วยเสมอ
สาเหตุที่ร้ายแรง เช่น
เยื่อหุ้มสมองอักเสบ , ปอดอักเสบ ,
โลหิตเป็นพิษ )
เป็นต้น สาเหตุที่ไม่ร้ายแรง
เช่น ไข้หวัด, ต่อมทอนซิลอักเสบ,
หลอดลมอักเสบ, ไอกรน, บิด ,
ท้องเดิน ,
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นต้น
รายละเอียดดูตามหัวข้อของโรคที่เป็นสาเหตุร่วม
5. ลิ้นเป็นฝ้าขาวจากเชื้อรา
อาการอาเจียนมักไม่รุนแรง
มักตรวจพบมีฝ้าขาวที่ลิ้น
โดยไม่มีอาการผิด
ปกติอื่น ๆการรักษา
ใช้เจนเชียนไวโอเลต
ป้ายลิ้นวันละ 2-3 ครั้ง
6. เด็กเล็กสำรอกนม
มักเกิดจากทารกกินนมอิ่มเกินไป
หรือกลืนอากาศเข้าไประหว่างดูดนม
ทำให้มี
ลมจุกแน่นในกระเพาะ
เด็กจะสำรอกหรือขย้อนเป็นคราบนมปนน้ำออกมา
โดยที่เด็กสามารถดูดนมได้
ดี
ท่าทางแข็งแรงไม่มีอาการผิดปกติอื่น
ๆ และ น้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็นปกติ
อาการสำรอกนมถือว่าเป็นภาวะ
ที่ไม่มีอันตรายร้ายแรงแต่อย่างไร
ควรแนะนำให้แม่เด็กอย่าป้อนนมลูกจนอิ่มเกินไป
และหลังให้นมเด็ก
ควรอุ้มเด็กขึ้นพาดบ่าสักครู่
เพื่อให้เด็กเรอเอาลมออกมาจากกระเพาะเสียก่อน
ข. ในเด็กโต อาจมีสาเหตุ ดังนี้
1. ลำไส้อักเสบ จะมีอาการคลื่นไส้
อาเจียน ปวดท้อง ท้องเดิน
มักเกิดจากการติดเชื้อ
ให้รักษาแบบ
อาการท้องเดิน
2. การหมุนตัวผิดปกติของลำไส้
(malrotation of intestines)
ซึ่งมักจะเป็นมาแต่กำเนิด
เป็นภาวะที่พบ
ได้น้อย แต่รุนแรง
เด็กมักมีอาการอาเจียนและปวดท้องรุนแรงแบบเดียวกับลำไส้อุดตัน
อาเจียนมัก
มีน้ำดี (สีเขียวและขม)
ปนออกมาด้วย
บางคนอาจมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ
เรื้อรังได้ ถ้าสงสัยควรส่ง
โรงพยาบาลด่วน
เพื่อทำการผ่าตัด
3. ไส้ติ่งอักเสบ
หรือเยื่อบุช่องท้องอักเสบ
มักมีอาการปวดรุนแรง
กดเจ็บที่หน้าท้อง
อาเจียนและมีไข้
ร่วมด้วย
ถ้าสงสัยควรส่งโรงพยาบาลด่วน
4. โรคพยาธิไส้เดือน
เด็กบางคนอาจมีอาการปวดท้องและอาเจียนแบบไม่รุนแรง
เป็นครั้งคราว โดย
มากมักจะเป็นหลังกินอาหารสักพัก
มีอาการอยู่ชั่วประเดี๋ยวก็หายได้เอง
แต่จะเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง
บางครั้งอาจอาเจียน
หรือถ่ายเป็นตัวไส้เดือน
ออกมาด้วย ควรให้ถ่ายพยาธิ
5. ความเครียดทางจิตใจ
เด็กบางคนเมื่อมีความเครียดทางจิตใจ
(เช่น
เด็กที่พึ่งเข้าโรงเรียนในปีแรก
ๆ)
อาจมีอาการอาเจียนได้
ซึ่งมักจะไม่มีอาการรุนแรง
แต่อาจ เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรังได้
การรักษา
ก. ในทารกแรกเกิดและเด็กเล็ก
ในทารกแรกเกิดและเด็กเล็กที่มีอาการอาเจียน
ควรให้การดูแลรักษา ดังนี้
1. ถ้ามีอาการอาเจียนพุ่งแรง
ปวดท้องรุนแรง มีภาวะขาดน้ำ
ซึมมาก คอแข็ง ชัก
กระหม่อมโป่งตึงหรือ
หอบ ควรส่งโรงพยาบาลด่วน
ถ้ามีภาวะขาดน้ำ
ควรให้น้ำเกลือไประหว่างทางด้วย
2. ถ้าตรวจพบสาเหตุที่แน่ชัด (เช่น
โรคติดเชื้อ)
ให้รักษาตามสาเหตุที่พบ
3. ถ้าอาการไม่แน่ชัด
และท่าทางเด็กยังดูสบายดี
ควรงดอาหารแข็งหรืออาหารที่ย่อยยาก
ให้ดื่มน้ำหวาน
น้ำกลูโคส
หรือสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ทีละน้อย
แต่บ่อย ๆ ถ้าอาการไม่ดีขึ้นใน 24
ชั่วโมง ควรแนะนำไป
โรงพยาบาล
ข.ในเด็กโต
ในเด็กโตที่มีอาการอาเจียน
ควรให้การดูแลรักษาดังนี้
1.ถ้ามีอาการรุนแรง เช่น
อาเจียนรุนแรง ปวดท้องรุนแรง
ท้องแข็ง หน้าท้องกดเจ็บ
มีภาวะขาดน้ำ
รุนแรง คอแข็ง ชัก เป็นต้น
ควรส่งโรงพยาบาลด่วน
ถ้ามีภาวะขาดน้ำ
ควรให้น้ำเกลือไประหว่างทาง
2.ถ้าพบสาเหตุที่แน่ชัด
ให้รักษาตามสาเหตุ
3.ถ้าอาการไม่ชัดเจน
ให้งดอาหารแข็งหรืออาหารที่ย่อยยาก
ให้กินอาหารเหลวหรือน้ำหวานหรือ
สารละลายน้ำตาลเกลือแร่ทีละน้อย
แต่บ่อยครั้ง
และให้ยาแก้อาเจียน
ถ้าไม่ดีขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง
ควรส่งโรงพยาบาล
4.ในรายที่เป็นเรื้อรัง
ถ้ามีอาการอาเจียนพุ่งแรง
หรือมีน้ำดีปน
หรือปวดท้องรุนแรง ควรส่งโรง
พยาบาลภายใน 1 สัปดาห์
ถ้าอาการไม่รุนแรง
อาจมีสาเหตุจากความเครียดทางจิตใจ
หรือโรคพยาธิ
ไส้เดือน
ให้รักษาตามสาเหตุที่พบ
ถ้าไม่แน่ใจ
ลองให้ยาถ่ายพยาธิมีเบนดาโซล
รายละเอียด
โรคพยาธิไส้เดือน
อาจทำให้เด็กปวดท้องและอาเจียนเรื้อรังได้


ThaiL@bOnLine - CRYSTAL
DIAGNOSTICS
E-mail : vichai-cd@usa.net
|