[HOME] [สารบัญ] l 1 l 2 l 3 l 4 l 5 l 6 l 7 l 8 l 9 l 10 l 11 l 12 l 13 l 14 l 15 l 16 l 17 l 18 l 19 l 20 l 21 l 22 l 23 l 24 l 25 l 26
     l 27 l 28 l 29 l 30 l 31 l 32 l 33 l 34 l 35 l 36 l 37 l 38 l 39 l 40/1 l 40/2 l 41 l 42 l 43/1 l 43/2 l 44 l 45
     l 46 l 47 l 48 l 49/1 l 49/2 l 49/3 - fin l

บทที่ 19 ศึกเมืองไรโบเซ็น


โควตะได้นำทัพมาถึงดินแดนทางทิศเหนือดินแดนนี้เป็นประเทศราชที่ถูกผนวกเป็นที่มณฑลหนึ่งของอาณาจักรนากิ ทัพของโควตะมีกำลังพลถึง 30000 นาย คงเป็นเพราะทหารที่ยอมสวามิภักดิ์แก่เขานั้นเอง ไม่ใช่ว่าฝ่ายซาไอจะใช้กำลังพลอย่างฟุ่มเฟือยแต่เป็นเพราะว่าการบุกของทั้งสองไม่เหมือนกัน เป็นเพราะการสั่งการของราชินีมิโดริ ที่รู้จักซาไอดีที่สุดในหมู่แม่ทัพทั้งหมด และรวมกับความแค้นส่วนตัวไม่แปลกเลยที่จะส่งแม่ที่โหดร้ายมาลุยกับเธอมากมาย และในนามที่เป็นแม่ทัพอัจฉริยะย่อมใช้แผนที่เอาชนะใครต่อใครได้ง่ายดาย แม้บางครั้งจะเป็นแผนที่โหดร้าย แต่ด้วยที่เป็นผู้หญิงอารมณ์นั้นย่อมอ่อนไหวเป็นธรรมดา การที่ไม่เฉียบขาดกับคู่ต่อสู้ ทั้งที่รู้อยู่แก่ตนเป็นข้อเสียขั้นรุนแรงของซาไอ มากกว่าอารมณ์อ่อนไหวและนิสัยขี้กังวล คิดมากเสียอีก

กลับมาที่โควตะ เขาบุกตะลุยอ้อมมาจนถึงปราการเมืองหน้าด่านชั้นในของนากิทางทิศเหนือ เมืองขนาดกลางที่มีความแข็งแกร่งทางทหารที่มีชื่อว่า 'ไรโบเซ็น' ในวันแรกที่โควตะตั้งค่ายเพื่อต่อสู้นั้น เขาก็ได้ส่งสายไปสืบในเมือง กองทัพกู้ชาติทั้งสามกองทัพออกจะได้เปรียบสักหน่อย ตรงที่รู้จักชัยภูมิและลักษณะละเอียดเป็นอย่างดี ที่ไม่รู้ก็คือสถานการณ์นั้นแหละ หลังจากสายหายไปสามวันก็ออกมาแจ้งข่าวว่า ที่ไรโบเซ็นผู้ครองแคว้น คือ วารางิ ผู้เฒ่าที่ครองแคว้นนี้มากว่า 20 ปี แน่ล่ะ!!! โควตะเคยได้ยินชื่อของชายผู้นี้มาบ้าง เขาคือคนที่ส่งเครื่องบรรณาการเป็นสุราชั้นดีมาถวายบ่อยๆ และโควตะนี่ล่ะเป็นคนรับเครื่องบรรณาการเหล่านั้น พูดแล้วอย่างไปบอกใครล่ะ!! ที่จริงเขาก็เคยแอบจิ๊กสุราเหล้านั้นมาเสพเหมือนกัน เป็นสุราชั้นเยี่ยม เขาคงได้ดื่มอีก หากพระนางฮิโตมิไม่มาพบเสียก่อน โควตะคิดแล้วก็หัวเราะในใจ ที่พาลนึกไปในสมัยที่ตัวเองเป็นเด็ก และถอนใจที่วัยของเขาก็ล่วงเลยมาก ทำไมถึงเพิ่งมาฉุดคิดตอนนี้น่ะ เขายังไม่เคยมีคนรักแม้แต่ครั้งเดียว!!! ไอ้ที่เข้าหอนางโลมน่ะก็บ่อย แต่ผู้หญิงที่คิดจริงจังด้วยไม่มีแม้แต่คนเดียว อาจเป็นเพราะเขาเรื่องมากนั้นเอง และเขามีน้องสาวอย่างซาไอที่เพียบพร้อมด้วยความงาม ปัญญา และความอ่อนโยน(ที่หาได้ยากนักเดี๋ยวนี้) เขาจึงต้องการที่จะได้พบหญิงสาวแบบนั้น ต้องการที่มีความงาม และปัญญา(ที่ไม่ฉลาดเกินเขาอย่างซาไอ เอาแค่แบบพูดจาเข้าคอกันได้) มีความอ่อนโยนอย่างหญิงสาว และที่ขาดไม่ได้ ความเป็นแม่บ้านแม่ศรีเรือน โควตะนั่งเคลิ้มอยู่คนเดียวจนมาคุเข้ามา

"ท่านโควตะนั่งฝันหวานอะไรอยู่ขอรับ" มาคุล้อเลียนนายของตน พลางสะบัดเปียยาวของตนไปไว้ข้างหลัง มืออีกข้างวางสารข้อมูลไว้

"ฮึ…." โควตะหัวเราะ เขามองไปที่ข้อมูลในม้วนกระดาษที่มาคุนำมาให้ เป็นรายนามแม่ทัพที่มีอยู่ในเมืองไรโบเซ็น

"แน่นอนว่าตาเฒ่าวารางิไม่ออกรบเองแน่ ข้าน้อยจึงรวบรวมรายนามแม่ทัพที่คาดว่าจะมารบกับเราในครั้งนี้ขอรับ" มาคุเอ่ย โควตะรับม้วนกระดาษไปดู เขามองชื่อแม่ทัพที่มีเพียงไม่กี่คนในกระดาษ

"อังโคขุ อืม…ช่ำชองการรบบนหลังม้า
มิฮาโอะ….ฝีมือธนูเป็นเลิศ
ยามาดะ….ถนัดการใช้ทวน
จิโฮ….กำลังมหาสารมีอาวุธ 3 อย่างได้แก่ ขวาน หอก กระบอง 2 ท่อน
นัตสึกิ…อาวุธถนัด ง้าว…ถนัดการรบในช่องเขา ฝีปากเลิศ….เอ!!! มาคุทำไมต้องทำเครื่องหมายไว้ที่ชื่อของคนชื่อนัตสึกิด้วยล่ะ หึ!!!" มาคุชี้ชื่อของคนชื่อนัตสึกิ มาคุทำท่าเหมือนลืมอะไรแล้วกุลีกุจอเข้ามาหา

"ออ…เขียนไว้บอกว่าคนที่ชื่อนัตสึกิเป็นผู้หญิงน่ะขอรับ" มาคุบอก โควตะมีทีท่าสนใจ นานๆเขาจะได้เจอผู้หญิงที่เป็นนักรบสักที นอกจากซาไอ

"นางเป็นใคร?" โควตะถาม

"ธิดาองค์โตของวารางิขอรับ ติดตามบิดาขึ้นเหนือล่องใต้มานาน อายุก็ปาเข้าไป 30 ปี ปีนี้เอง" มาคุว่า โควตะเคาะศรีษะอย่างอารมณ์ดี อายุพอกับเขาเลยทีเดียว แม้เขาจะมากกว่าหลายปี

"ว้า…แล้วอย่างนี้สามีนางจะเป็นคนยังไงกันน่ะเนี่ย?" เขาตั้งคำถาม

"เรื่องนั้นยิ่งไม่ต้องห่วงเลยขอรับ นางไม่ยอมแต่งงาน" มาคุหัวเราะให้กับท่าทีงุนงงของโควตะ

"ใครๆก็หวังได้สมบัติจากการแต่งงานกับนาง นางเลยไม่แต่งมันเสียเลย ครองตัวเป็นสาวจนถึงบัดนี้" มาคุนั่งลงบนที่นั่ง

"เป็นผู้หญิงที่แปลกดีจริงๆ ซาไอตอนนี้ถ้ายังไม่มีคนรักข้าคงกลุ้มใจแย่!!!" โควตะว่า

"ท่านซาไอคงไม่ต้องห่วงหรอกขอรับ ท่านเป็นคนสวย แต่นัตสึกินี่ล่ะขอรับ หน้าตาธรรมดาแบบชาวบ้านทั่วไปเลยล่ะขอรับ" มาคุว่า พลางมองสีหน้าสนอกสนใจผู้หญิงที่ชื่อนัตสึกิ

"นี่!!! มาคุ" โควตะเอ่ย

"ขอรับ"

"ข้าอยากเห็นตัวจริงของหญิงสาวผู้นี้เหลือเกิน" โควตะเปรย อยากรู้ว่าจะสง่าเท่าซาไอหรือไม่ อยากรู้ว่านัยน์ตาของเจ้าหล่อนจะเป็นอย่างไรยามออกศึก มาคุนึกขำในคำพูดของโควตะ เขาเริ่มต้นสนอกสนใจบันทึกเสบียงต่อไป จะมีอะไรอีกเล่า? โควตะคิด ต้องเจอหน้าผู้หญิงคนนี้ให้ได้ เขาคิด….

สถานภาพทางกองทหารของโควตะนับว่าเข้มแข็งมาก เมืองขนาดกลางที่ทหารเพียง 7000 นายอย่างไรโบเซ็น ที่ยังถูกล้อมอยู่ ขาดการติดต่อจากนอกเมือง แน่ล่ะ วารางิย่อมจงรักภักดีกับราชาอิเอยาสึ แม้เขาจะรู้ว่ามันเป็นคำสั่งของมิโดริ และด้วยระยะห่างของเมือง เขาไม่รู้เลยว่า ราชาอิเอยาสึถูกยึดอำนาจไปแล้ว ไม่นานมานี้เขาส่งคนลอบออกไปแจ้งข่าวแก้เมืองหลวง ยังไมรู้เป็นตายร้ายดี พิราบสื่อสารอีกหลายสิบตัวถูกส่งออกไปเช่นกัน แต่ก็ไม่มีทีท่าของทัพหลวงจะมาช่วยเหลือ พูดง่ายๆ คือพระนางมิโดรทุ่มกำลังเพื่อขัดขวางซาไอเต็มที่ โดยไม่ค่อยจะสนใจอีกสองทัพสักเท่าไร นั้นล่ะคือข้อเสียยามสตรีริษยา

"มาคุ" โควตะเอ่ยอีกครั้ง

"ขอรับ!!"

"เอางี้ดีไหม เราถือโอกาสลอบเข้าเมืองไปดูสถานการณ์เสียหน่อย จะแอบแว้บไปดูหน้าแม่คนที่ชื่อนัตสึกิด้วย" โควตะเอ่ยอย่างคะนอง

"เสียเที่ยวล่ะขอรับ ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้สวยเลยนะขอรับ เผลอๆยังถูกค่อนไปทางอัปลักษณ์ด้วยซ้ำ" มาคุค้าน

"เอาน่าๆ เราแค่อยากเห็นเท่านั้นแหละ" โควตะตัดบทแล้วก็จบเพียงแค่นั้น มาคุรู้ว่าค้านไม่ได้เสียด้วยสิ คงต้องทำตามอย่างเดียว

ร่างบางในชุดนักรบเดินขวับไปตามจวนของเจ้าเมืองอย่างคล่องแคล้ว ไม่มีหญิงสาวตามแม้แต่คนเดียวเหมือนคุณหนูทั่วไป มีเพียงเด็กชายวัย 10 ขวบ 2-3 คนเดินตาม

"อาจารย์ครับ ยังไม่เจอท่านเจ้าเมืองอีกหรือครับ" เด็กชายคนหน้าสุดร้อง

"เดี๋ยวน่ะจ๊ะ ซันจิ…." เธอลูบหัวเด็กน้อยอย่างเอ็นดู พลางสอดส่ายสายตาหาบิดาของตน ใช่แล้ว หญิงผู้นี้คือนัตสึกิ

"ท่านพ่อนะ ท่านพ่อ ไปไหนกันล่ะเนี่ย?" เธอบ่นพึมพำ มองซ้ายมองขวาทำให้เดินชนกับหนุ่มร่างยักษ์คนหนึ่ง

"ขอโทษที นัตสึกิ" ชายหนุ่มร่างยักษ์เอื้อมมือเข้าจับแขนหญิงสาว

"ไม่เป็นไร จิโฮ!!!" เธอพยุงตัวเอง ตาสีดำสนิท จ้องมองไปที่ชายร่างยักษ์ เป็นสิ่งเดียวที่ทรงเสน่ห์ บนใบหน้าธรรมดาของเธอ

"เห็นท่านพ่อบ้างไหม?" เธอถาม

"ท่านวารางิหรือ!!! ตรงห้องพระน่ะ" เขาบอก นัตสึกิพึมพำขอบคุณแล้ว เดินตรงไปทันที เด็กน้อยทั้ง 3 วิ่งตามแทบไม่ทัน ทันทีที่มาถึงหน้าห้องที่เป็นประตไม้ไผ่ขัดเงา เธอหันกลับมาหาลูกศิษย์ทั้งสาม

"รออาจารย์อยู่นี้น่ะ เดี๋ยวอาจารย์เฝ้าท่านเจ้าเมืองเสร็จจะออกมา" เธอสั่งเสียเสร็จก็เดินเข้าไปในห้อง

"ท่านพ่อ!!!" เธอเรียกชายเฒ่าที่อยู่ในชุดลำลองชั้นดีที่กำลังกราบไหว้พระพุทธรูป

"ทัพของพวกกบฎเคลื่อนเข้ามาอีกแล้วค่ะ" เธอแจ้ง

"ขนาดอังโคขุ กับมิฮาโอะยังแพ้เลย อย่าฝืนเลยค่ะ กระบวนทัพของเราสู้ไม่ได้ ให้ลูกไปเถอะค่ะ" เธอร่ำร้อง ชายชราเพียงแต่หันมาช้าๆแล้วเอ่ยปากอย่างเยือกเย็น

"คนนำทัพมาคือโควตะ ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่น้องกับซาไอแม่ทัพอัจฉริยะ ฝีไม้ลายมือก็พอสมควร ทั้งยังเป็นหนุ่มฉกรรจ์ เจ้าเป็นผู้หญิงคิดหรือว่าจะรอดมือเขา" พ่อเฒ่าเอ่ยด้วยคำเยือกเย็น นัตสึกิคุกเข่าลง

"ท่านพ่อ ข้าฉลาดพอที่จะสู้กับคนที่ชื่อโควตะนั้น ถึงกระนั้นมันกล้าทำอะไรข้าหรือ เมื่อข้าไม่ได้สวยยั่วใจเลยแม้แต่น้อย อย่างมากก็ทรมานแล้วฆ่าทิ้ง…"

"เจ้า!!!" ชายชราตวาด

"หรือไม่จริงค่ะ ท่านพ่อ!!! ได้โปรดให้ลูกออกรบด้วยเถิด" นัตสึกิกอดขาบิดา

"หยุดน่ะ!!! นัตสึกิ ออกไปได้แล้ว ออกไปซะ" ชายเฒ่าตวาด หญิงสาวก้มหน้านิ่งก่อนที่จะทำความเคารพแล้วออกจากห้อง เด็กชายที่หน้าห้อวทำท่าตกใจ กอดขาอาจารย์แล้วถามกันวุ่น

"เกิดอะไรขึ้นขอรับอาจารย์"

"เสียงอะไรครับ"

"ท่านเจ้าเมืองว่าอะไร?" เด็กๆรุมถาม

"ไม่มีอะไรจ๊ะ" นัตสึกิกลืนน้ำเสียงผิดหวังไว้ แล้วเงียบไปพลางกวาดตามองเด็ก

"วันนี้ไปเล่นก่อนได้นะ อาจารย์ไม่ค่อยสบาย" นัตสึกิสั่งเด็กที่พากันวิ่งออกไป ส่วนตนเองก็เดินช้าๆไปที่คอกม้า ชักม้าสีน้ำตาลออกมาเพื่อไปขี่เล่นในเมื่อคลายเศร้า เสียงขลุ่ยเป่าลอยมา เจ้าเทมบุเป่าขลุ่ย เธอคิด

"วันนี้คุณหนูใหญ่เศร้าจังเลย" เสียงเด็กหนุ่มดังลอยมา นัตสึกิหันหลังกลับไปก็พบกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่บนกองฟางในมือถือขลุ่ยที่เพิ่งละออกจากปาก

"ใช่แล้วหนุ่มน้อย" เธอพูดกับเด็กวัย 16 อย่างใจดี

"เรื่องอะไรครับ" เด็กชายที่ควรอยู่ในวัยคะนองเอ่ยถามหญิงสาวด้วยความเคารพ

"ไม่มีอะไรหรอกหนุ่มน้อย" เธอก้มลง "แต่ถ้าข้าจะขอยืมขลุ่ยหน่อยได้ไหมล่ะ? เทมบุ" เธอถาม

"โอ๋..ด้วยความยินดีครับ" เทมบุยื่นขลุ่ยให้หญิงสาวที่รับไปพันกับเชือกดาบตัวเอง พลางลุกขึ้นเดินตามหญิงสาวที่ชักม้าออกไป

"ไปไหนครับ?" เขาถาม

"หนีไปเที่ยวน่ะ เทมบุ" นัตสึกิพูดขำๆ เทมบุเข้าใจถึงการพูดเล่นเป็นอย่างดี การเยี่ยมประชาชนในฐานะทายาทของเจ้าเมืองนั้นเอง

"ระวังด้วยนะครับ กองทัพคงยังล้อมอยู่…" เขาบอก หญิงสาวหันกลับมาพลางทรุดตัวลง

"ไม่มีทาง ตราบใดที่นัตสึกิแห่งไรโบเซ็นยังอยู่ พวกกบฎอย่าหวังทำร้ายราษฎร" เธอตบไหล่เทมบุที่ยิ้มเศร้าๆแล้วขึ้นควบม้าออกไป

กลางตลาดผู้คนยังทำมาหากินกันตามปกติ แต่ก็เบาบางไปถนัดตาเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน เรื่องสัพเพเหระที่เคยคุยกัน กลายเป็นเรื่องสงครามที่เคร่งเครียด เด็กๆที่เคยเล่นกันอย่างสนุกสนานถูกผู้ใหญ่สั่งให้ขลุกแต่ในบ้าน นัตสึกิทรุดตัวลงอย่างเศร้าๆบริเวณรูปปั้นกลางเมือง เด็กยากจนหลายคนวิ่งเข้ามาหาและร้องขออาหาร เธอควักเงินออกมาให้ แล้วลูบหัวของเด็กๆอย่างเอ็นดู เธอถอนหายใจเศร้าๆแล้วหยิบขลุ่ยขึ้นมาเป่า

เสียงขลุ่ยของคุณหนูใหญ่นัตสึกินั้นเป็นที่ขึ้นชื่อว่าไพเราะที่สุดในเมือง เหล่าผู้คนที่พูดคุยอย่างเคร่งเครียดต่างหยุดฟัง เด็กๆต่างล้อมวงเต้นรำ เหล่าผู้ใหญ่นั้นก็ปลดเปลื้องความทุกข์นั้น หันมาฟังขลุ่ยที่บรรเลงเพลงแทน…..