|
อิจิวนั้นเปรียบเพียงอำพัน แต่เมื่อถูกเจียระไนด้วยทหาร 2 แสน แม้อำพันสีใส ก็เปลี่ยนเป็นทับทิมสีชาดได้ ไม่แปลก!!! แล้วเมื่อทั้งคู่ล้วนเป็นอัญมณี การต่อยตี ผลจะออกมาเช่นไร!!!
"ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมเสบียงถึงยังไม่มาถึง!" ซาไอสบถอย่างเคร่งขรึมเมื่อม้าเร็วออกไปแล้ว ริมฝีปากขบรวบกับฟันแน่น โควตะพอจะเข้าใจว่า ทำไมน้ำใจนางถึงได้เปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้ คนทุกคนย่อมมีข้อเสียเป็นของตนเอง ซาไอก็เช่นกัน นิสัยคิดมาก ขี้ระแวงถูกขุนให้เพิ่มเป็นสองเท่าเมื่อเกิดเหตุการณ์กดดันเช่นนี้ ต้องชมเชยเธอที่ทนได้ เพราะหลายคนที่เครียดน้อยกว่านี้ ได้ฆ่าตัวตายไปก็มาก
สิ่งที่ทำให้เธอยังยืนได้คือประเทศชาติ ถ้าเธอเกิดเป็นอะไร นากิที่เธอรักจะต้องเลือนลอยหลุดไปอย่างแน่นอน
"ติดหล่ม!!! พวกมันจะทำอะไรกับเสบียงของพวกเรา" โควตะสบถ
"เก็บไว้
หรืออาจเผาทิ้งก็ได้" ซาไอต่อพลางเท้าคาง พลางใช้ปลายเล็บกรีดลงบนโต๊ะ
"อือ
เตรียมตัวเถอะซาไอ! ท่าทางสิ่งที่เจ้ากับมัน มันคงต้องการมาล้างแค้นกันคราวนี้แหละ" โควตะลุกขึ้นพลางสวมคว้าดาบมาถือข้างตัว
"อย่าห่วงเลยตราบใดที่ข้ายังแย่งนากิจากมิโดริไม่ได้ ข้าก็ยังไม่ยอมตายหรอก" ซาไอลุกตามโควตะออกไปนอกกระโจม
.
. . . . . . .
วิกฤตการณ์ที่เริ่มขึ้นเมื่ออิจิวสร้างความกดดันบนสนามรบ แสนต่อสองแสนที่น่ากลัวสำหรับซาไอได้เปิดฉากขึ้นแล้ว การเอาชนะโดยการรบซึ่งๆหน้า โดยมีกำลังมากกว่าสองเท่านั้น เรียกว่ายากมากที่จะเอาชนะได้ ฉะนั้นการเอาชนะที่ได้มาด้วยรบซึ่งๆหน้าจึงถูกตัดออกไปโดยปริยาย
.
คติที่ต้องนำมาใช้ในวิกฤตการณ์คือ
ไม่เอาด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่เอาด้วยมนต์ ก็ต้องเอาด้วยคาถา
แน่นอนล่ะ เพราะที่นี่คือสนามรบ การถืออาวุธขึ้นสู้ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการป้องกันตัวเองอย่างแน่นอน หากสมัยที่กล่าวถึงอยู่นี้มีการตั้งข้อหาเป็นอาชญากรทางสงครามล่ะก็
เกรงว่าการหาหลักฐานในการจับกุมจะยากเสียหน่อย!!!
เวลาคือสิ่งที่มีค่ายิ่งของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายของอิจิวนั้นไม่รอช้า แทรกซึมกำลังเข้ามาใกล้ค่ายทันที ในเวลาไม่ถึง 3 วัน การลอบทำร้ายก็เกิดขึ้น
เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายคือ ชาวบ้านที่เข้าร่วมกับกองทัพ ที่ออกไปล่าสัตว์ และเก็บผักผลไม้ เพื่อเป็นเสบียง ร่างไร้ชีวิตของชาวบ้านนับสิบที่นอนแผ่อย่างสงบ บาดแผลที่เกิดขึ้นนั้นน่ากลัวว่าเมื่อพวกเขาตายยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำกระมั้ง แผลเดียวที่คอหอย! แผลเดียวที่ท้ายทอย ไม่ก็ แผลเดียวที่อก!!! นายทหารบางคนที่พาร่างไร้ชีวิตของเพื่อนทหารใหม่มาวางไว้ถอยออกมา สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือเครือญาติของคนเหล่านั้น
ซาไอและโควตะยืนสงบอยู่เบื้องหลัง แม้ไม่มีใครโทษพวกเขา แต่ความรู้สึกผิดก็อัดแน่นเต็มอกทั้งสองแทบทะลักออกมา โควตะทอดสายตาออกไป ก่อนถอนใจแล้วย่างออกไป โดยทิ้งซาไอไว้เบื้องหลัง เดินเข้าไปในกลุ่มของคนที่เพิ่งสูญเสียคนที่ตนรักไปมาดๆ โควตะกอดเด็กบางคนเอาไว้ ปากก็เอ่ยแสดงความเสียใจกับผู้เป็นมารดาบ้าง ภรรยาบ้าง หรือแม้กระทั้งวงศาคณาญาติของผู้เสียชีวิตเหล่านั้น ซาไอที่ยืนอยู่ข้างหลังแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ สักพักโควตะก็เดินกลับมา ตบไหล่หญิงสาว 2-3 ที
"ไม่หรอก ไม่ใช่ความผิดของเจ้า
ไม่มีใครโทษเจ้า อิจิวต่างหากล่ะที่ผิด"
"ถ..ถ้าข้าไม่ตัดแขนอิจิว ไม่แน่
.มันอาจจะไม่ทำอย่างนี้ก็เป็นได้"
"อือ
แต่ไม่มีใครโทษเจ้าหรอกน่ะ
ทำต่อไปให้ดีที่สุดก็แล้วกัน"
"ขอบใจ
"
"ไม่ใช่คำพูดข้าหรอก
.พวกนางต่างหากที่พูดให้เจ้า" โควตะบุ้ยใบ้ไปทางกลุ่มผู้หญิงอีกด้าน หลายคนยิ้มให้ซาไอทั้งน้ำตา ก่อนที่จะหันกลับไปหาเหล่าทหารที่ช่วยแบกศพผู้ตายแล้วตามพวกเขาไป
"โควตะ
"
"อือ
"
"ถ้าเราฆ่ามิโดริตั้งแต่แรก เรื่องร้ายๆ คงไม่เกิดขึ้น.." ซาไอเงยมองโควตะ
"ไม่หรอก
.ชะตาลิขิตเอาไว้แล้ว ถ้าเจ้าฆ่านางตั้งแต่ตอนนั้น เจ้าอาจไม่เจอท่านเซอิจิก็ได้
" โควตะปลอบใจ ซาไอหยุดคิด
"อาจจะเป็นอย่างที่เจ้าว่าก็ได้ ขอบใจที่เตือน โควตะ
สิ่งที่ข้าต้องทำคือชนะมิโดริ เอานากิคืนมาให้ได้ ข้าจะได้รู้สึกผิดกับคนที่ตายไปน้อยลง" ซาไอกล่าว โควตะตบไหล่แม่ทัพหญิงอีกที ก่อนที่จะแยกออกไป ซาไอจึงออกเดินสะเปะสะปะไปเรื่อยๆ ในเขตค่ายทหาร จนล่วงเข้าไปในเขตค่ายที่พักของเซอิจิ โดยที่หญิงสาวไม่ได้สังเกตเลย
"ซาไอ!" เสียงทุ้มห้าวดังขึ้นข้างหลัง หญิงสาวหันเอี้ยวกลับไปทันที
"เพค่ะ
" หญิงสาวเอ่ยรับคำเมื่อมองเห็นคนเรียกสักครู่
"มาถึงนี้เชียวหรือ?" เซอิจิถาม
"เพค่ะ" ซาไอตอบ พลางยิ้มอย่างจืดชืดที่สุดในสายตาเซอิจิ
"ทำอะไรอยู่หรือเพค่ะ?" ซาไอถาม
"ไหว้ศพ" เซอิจิเอ่ยเบาๆ
"มาด้วยกันหน่อยสิ" เซอิจิเดินำไป โดยไม่ต้องพูดซ้ำเหมือนเสียงเซอิจิมีอำนาจอะไรบางอย่างดึงซาไอให้ตามโดยปริยาย ซาไอเดินตามกษัตริย์หนุ่มต้อยๆ มือซ้ายของเซอิจินั้นกำดอกไม้เอาไว้กำใหญ่ มือขวาก็ถือธูปเอาไว้ แล้วเขาก็ไปหยุดใต้ต้นพุทราต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านทั่วสารทิศ ก่อนที่จะคุกเข่าลงอย่างสงบ
"ทรงออกมาไกลอย่างนี้ อาจมีอันตรายได้น่ะเพค่ะ" ซาไอเอ่ย พลางขมวดคิ้วอย่างหน่ายใจ เซอิจิโตขึ้นมาก มากจริงๆตั้งแต่เจอกันครั้งแรก ตอนนี้เขาสูงกว่าเธอเกือบ 20 ซม. แล้วก็หล่อมากด้วย คิ้วคมเป็นสันสวยงาม แววตาสีน้ำตาล กับผมสีทองนั้นสวยมาก แต่สิ่งที่ไม่ค่อยเปลี่ยนไปของเซอิจิคือความรั้น การปล่อยเขาไปอาจจะดีก็ได้ ซาไอคิดอย่างนั้น ซาไอก้มมองเซอิจิ เขาอายุน้อยกว่าเธอเสียอีก
ทั้งๆที่รักมากแค่ไหน เธอก็ทำอะไรได้ไม่มากนัก
"นั่งลงสิ!" เซอิจิกล่าว ซาไอนั่งลงช้าๆ พลางชายตามองกษัตริย์หนุ่มที่จุดธูปให้เธอแล้วส่งให้ ดอกไม้กำใหญ่ถูกวางไว้ข้างหน้าทั้งคู่ ซาไอมองเซอิจิก้มลง เขาพึมพำบางอย่างสักครู่ ก่อนที่จะปักธูปลงดิน
"ท่าน
" ซาไออ้าปาก
"ให้คนที่ตายไป
" เซอิจิตอบก่อนเซอิจิพูดจบ
"อย่างน้อยนี้คือสิ่งที่ข้าทำให้พวกเขาได้
เพราะข้าเกี่ยวข้องกับนาง ไม่ก็ให้พวกเขาอาฆาตนางน้อยลง
ให้เลิกแล้วต่อกัน
"
ซาไอลุกพรวดขึ้นทันที ถือดาบในมือกระชับแน่น มองเซอิจิอย่างเย็นชา
"ถ้า-ทรง-รัก-ราชินี มิโดรินักล่ะก็ ก็ทรงไปอยู่กับนางเลยสิ!!!!" ซาไอตวาดอย่างเกรียวกราด
"ไม่ใช่
" เซอิจิยืนขึ้นบ้าง
"ข้าต้องการเพียงหยุดสงครามแต่เพียงเท่านั้น
. ให้เลิกแล้วต่อกัน แล้วนากิและซูคังจะได้
."
"เลิกพูดได้แล้ว!!!" ซาไอพูดเสียงดังแทบตะคอก
"ประทานอภัยต่อนิสัยเสียมารยาทของหม่อมฉันด้วย และขอทูลลาพระองค์เดี๋ยวนี้เลย!!!" ซาไอกล่าวจบก็จะผละจากไป แต่มือของชายหนุ่มจับเอาไว้เสียก่อน
"เจ้าเข้าใจผิดไป
ข้าเพียงต้องการให้สงครามจบลง เราจะได้
"
"ไม่ต้องพูดแล้ว ไม่ต้องพูดอีก!!!" ซาไอพยายามสะบัดมือออก แต่เซอิจิเพียงถอนใจเบาๆ แล้วกระชากเธอกลับมาแล้วจับข้อมือทั้งสองข้างของเธอ แล้วบิดกายของหญิงสาวให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา ซาไอมองเซอิจิอย่างอึ้งๆ เขาแรงเยอะจริงๆ!!!
"ฟังน่ะ
ข้าต้องการให้สงครามบ้าๆนี้จบลง แล้วก็ความกระหายเลือดที่เจ้ามีด้วย กลับไปเป็นซาไอที่อ่อนโยนแบบเมื่อก่อนไม่ได้รึยังไง? ทำไมต้องทำอย่างนี้ด้วย ความพอใจรึ? หรือว่าประชด"
"ไม่รู้!!!" ซาไอร้อง
"รู้ต่างหาก" เซอิจิกลับ
"แต่ไม่พูด!!!"
"ข้าอายุมากกว่าท่านน่ะ
ข้ารู้ว่าทำอะไรอยู่" ซาไอเถียง
"รู้
แต่ถ้าผิดเจ้าแก้ไขหรือ?" นัยน์ตาสีน้ำตาลจ้องลึกเข้าไปในตาสีมรกต ซาไอมองอย่างหวาดๆ
"ท่าน
." ซาไอพึมพำ
"ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว
เลิกมองข้าเป็นเด็กเสียทีเถอะ มองข้าว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งเสียบ้าง!" เซอิจิคลายมือออกจากซาไอ ซาไอลูบข้อมือตัวเองเล็กน้อย พลางจ้องหน้าเขา
"ทรงมีพระทัยงามมาก" ซาไอกล่าวแกมประชด
"แต่ขอทรงตระหนักไว้สักนิดว่า ทฤษฎีสวยหรูกับความจริงนั้นมันไปกันไม่ได้ ถ้าไม่ทรงยืน พระองค์จะถูกเหยียบย่ำซ้ำอย่างแน่นอน" เซอิจิขมวดคิ้ว
"งั้นหรือ?" เขารับด้วยท่าทีสงบเงียบ
"แต่ไม่มีใครอยากรบหรอก
เจ้าก็ด้วยใช่ไหม?" ทรงถามอย่างอ่อนโยน แววตาซาไออ่อนลงไปนิดหน่อย ก่อนที่จะกลับมาแข็งใหม่
"หม่อมฉันคือหม่อมฉัน หม่อมฉันรบเพราะอยากช่วยชาติ จะทรงคิดอย่างไรก็ตาม!!!" ซาไอรีบผละออกมา
"ทูลลา!" ประโยคสุดท้ายหลุดจากริมฝีปากหญิงสาว แล้วร่างสาวก็เดินปลิวลับหายไป เซอิจิยืนสงบนิ่งอยู่พักใหญ่ ให้กระแสลมไปโชยไปสักครู่
.
"นางไปแล้วล่ะ
." เซอิจิ จู่ๆก็พูดขึ้น
"ไม่ตามนางไปหรือ? ในเมื่อเจ้าก็ตามนางมาตั้งแต่เมื่อกี้!!!" เซอิจิแหงนหน้ามองท้องฟ้าอย่างไรจุดหมาย แต่มองดูคล้ายคอยอะไรมากกว่า
.
"ทรงรู้หรือพะยะค่ะ?" เสียงจากต้นพุทราดังขึ้น ก่อนใบไม้จะปลิวว่อนเพราะแรงกระแทก ร่างหนึ่งกระโดดลงมา
"ข้าพระองค์คิดว่าไม่ทรงรู้
" มาโซยะเอ่ย เซอิจิได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ
"ใจนิ่งกระมัง
" ตอบอย่างเบาๆ
"แหม
รู้สึกว่าข้าพระองค์เคยได้ยินคำพูดนี้ที่ไหนน่ะ" มาโซยะโคลงศรีษะ(ซาไอเคยพูดกับมาโซยะตอนที่มีเรื่องกับอากิโกะ : คนเขียน)
"แต่ช่างเถอะ
" มาโซยะพูดกับตัวเอง เซอิจิมองมาโซยะอย่างงงๆ สักพักก็ถอนใจ
"ข้าพูดถูกหรือเปล่า? หรือว่าทำผิด" เซอิจิถามมาโซยะ
"ไม่ผิดหรอกพะยะค่ะ ออกจะถูกไปด้วยซ้ำ แต่
สำหรับซาไอมันอาจจะขัดกันบ้าง" มาโซยะตอบ
"อือ
" เซอิจิลูบปลายคาง ลมกระชากครั้งใหญ่ทำเอาใบไม้ปลิวว่อน
. . . . . .
อิจิวผู้มีแขนเพียงข้างเดียว เดินสำรวจเสบียงที่ตนปล้นมาได้ เสบียงนี้เขากล้าพนันเลยว่ามันเป็นเสบียงที่ไปส่งกองทัพกู้ชาติ สายตาเจ้าจอมพลมองนายทหารในบัญชาของตนที่ได้รับคำสั่งให้จัดการเสบียงเสีย โดยการส่งมันกลับเข้าสู่เมืองหลวง เป็นการดี เพราะในเมืองหลวงก็กำลังขาดแคลนอาหารอยู่พอดี
"โอนเสบียงเรียบร้อยแล้วขอรับ" นายกองผู้หนึ่งวิ่งถลาเข้ามารายงาน
"อืม
ดีมาก ทีนี้ทำการจัดเสบียงเข้าสู่เมืองหลวงไปเลย แล้วแจ้งราชินีด้วยว่าบัดนี้ข้ากำลังล้อมพวกมันอยู่"
"ขอรับ!" นายกองรับคำสั่ง แล้วทำความเคารพก่อนที่จะหันหลังกลับไปแจ้งพวกทหารราบข้างหลัง แทบชนกับม้าเร็วที่เข้ามาใหม่ที่วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน
"รายงานท่านแม่ทัพอิจิว!"
"ว่ามา!!"
"ในค่ายของกองทัพกู้ชาติเสบียงใกล้หมดแล้วขอรับ!" ม้าเร็วรายงาน อิจิวยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียม แล้วโบกมือให้นายทหารนั้นไปได้
"ฮึๆ เจ้าต้องตาย ซาไอ!! เราอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้"
|