|
หลังจากนั้น 1 ปีให้หลัง เซอิจิก็เริ่มซ่องซุ้มกำลังจนได้พลทหารพร้อมเพรียง จึงยกมาตีอาณาจักรนากิ เขาตีรัดตั้งแต่ชายแดนทะลวงเข้ามาเพื่อความรวดเร็วและใช้ระยะเวลาสั้นที่สุด ทำให้นากิที่เพิ่งฟื้นฟูถูกตีแตกไปอย่างง่ายดาย ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนก็สามารถล้อมเมืองหลวงได้!!!
ขณะนี้เซอิจิที่มีผิวขาวนวลและดูอ่อนต่อโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงในชั่วเวลาครึ่งปี บัดนี้เขากลายเป็นคนที่แข็งแกร่งและเป็นแม่ทัพที่เหี้ยมหาญกว่ากาลเวลาที่ผ่านมา ผิวที่เคยเป็นที่ขาว ตอนนี้กลายเป็นคล้ำเนื่องจากการกร่ำศึกมานานนับเดือน บาดแผลมากมายจากการรบพิสูจน์ได้อย่างสมบูรณ์ว่าเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทั้งๆที่อายุเพียง 20 ปี แต่เขาดูเหมือนแม่ทัพผู้ใหญ่คนหนึ่งทีเดียว!!! ผมที่ทองยาวถูกรวบไว้ข้างหลัง ร่างกายที่ฝึกฝนตลอดหนึ่งทำให้เขาดูทั้งสง่า และสูงโปร่ง กษัตริย์แห่งซูคังใส่ชุดเกราะที่ไม่เคยใส่มาเลยก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้เขามีเกราะและดาบเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว
ตอนนี้เขากำลังแหงนหน้ามองกำแพงเมืองหลวง มันเป็นที่ที่เขาจากมากว่า ปีกว่าแล้ว เขากำลังนึกถึงเหตุผลที่เขามาที่นี้ เหตุผลที่คนรักสงบอย่างเขาจะต้องก่อสงคราม เหตุผลที่เขาทิ้งเกียรติ และข้อผูกมัดต่างๆ แล้วตั้งกองทัพมาที่นี้
..ซาไอ
..ตอนนี้นางทำอะไรอยู่
.
ความคิดก็หยุดลงเมื่อจิเคตะเดินเข้ามา จิเคตะเป็นมือสำคัญในครั้งนี้ ระบำล้างนรกของเขาตอนนี้เป็นที่เลื่องลือไปทั่ว จนกระทั้งหลายเมืองทีเดียวที่ยอมแพ้ทั้งๆที่ยังไม่ได้สู้
"พระองค์พะยะค่ะ
ได้ข่าวกลับมาแล้ว!!! ไม่มีการเคลื่อนไหวในเมืองหลวง" เซอิจิพยักหน้ารับ ขุนพลของเขานั้นที่มีสำคัญก็มี 4 คน คนแรกจิเคตะที่มีชื่อเลื่องลือ คนที่ 2 เดเอคิแม่ทัพที่มีแรงเหนือคน และคนที่ 3 มือธนูล่องหน โทะโดะ แม่ทัพหลายคนของนากิถูกยิงตายก่อนรบเพราะฝีมือธนูทะลวงของคนผู้นี้!!! สุดท้ายคนที่จะขาดไม่ได้ คืออากิโกะ คนที่มีความสามารถในการส่งเสบียงอาหาร แม้ว่าเมื่อเจอเธอครั้งใหม่นั้น อากิโกะจะดูแปลกไปบ้างแต่เธอก็ยืนยันว่าเธอเหมือนเดิมและจะเข้าร่วมการรบกับเซอิจิ ในตอนแรกก็ไม่ค่อยวางใจ แต่อากิโกะก็แสดงให้เห็นถึงฝีมือการจัดเตรียมเสบียงอาหารของเธอ ที่ไม่เคยพลาดซักครั้ง
หลายครั้งเซอิจิก็ไม่รู้ว่าอากิโกะคนนี้อยู่เบื้องหลังการหาข่าว และการเข้าร่วมรบอีกด้วย!!!
"มีแนวโน้มมากน่ะที่ฝ่ายโน้นจะยอมแพ้!!!" เซอิจิออกความเห็น
"ทูตที่ข้าให้เตรียมไว้เป็นอย่างไรบ้าง?" ทรงหมายถึงราชทูตที่จะเข้าไปเจรจากับราชาโควตะ มีมูลสำคัญคือเงื่อนไขการยุติสงคราม
"เรียบร้อยแล้วพะยะค่ะ
"
"งั้นก็ดี
ส่งทูตเข้าไปในเมืองหลวง อ้อ
อย่าลืมล่ะ
บอกทูตด้วยว่า ให้กราบทูลราชาโควตะด้วยว่า
หากทำตามเงื่อนไขเป็นอันจบกันไป แต่ถัาเล่นลูกไม้หรือปฏิเสธละก็
เราจะบุกเข้าไปทันที" น้ำเสียงเฉียบขาด ฟังดูน่ากลัวสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับจิเคตะ
เขาชินเสียแล้ว ชายผมแดงถวายบังคมลาและก้าวออกมาจากที่นั้น เขารู้ว่าเซอิจิหัวใจสลายแค่ไหน กับการปฏิเสธตอนนั้น จิเคตะก้าวออกหมายจะไปหาทูต
"ท่านเซอิจิเป็นยังไงบ้างล่ะ?" น้ำเสียงใสฟังดูกึ่งเยาะกึ่งยั่วยวนเป็นของใครไม่ได้นอกเสียจากอากิโกะเมื่ออยู่นอกสายของเซอิจิ จิเคตะก็รู้..เธอคือ อาเกกินารุซาวะผู้มีพันหน้า
"ก็ดี
โหดๆนิดหน่อย!!!" เขาตอบ
"เจ้าเลิกทำตัว 2 หน้าเสียทีได้ไหม? ถึงเจ้าจะคืออาเกกินารุซาวะผู้โด่งดังก็เถอะ!!!" ชายผมแดงพูดเอ็ดๆ อากิโกะยังยักคิ้วอย่างไม่แยแส ในครั้งแรกนั้นเธอเจอกับจิเคตะ เธอก็เกลียดๆเขาเหมือนกัน เพราะเขาเป็นคนของพระนางมิโดริ ส่วนเธอเป็นคนของพระนางยานางิ แถมยังเข้ากันไม่ได้ด้วยเรื่องมาโซยะ จิเคตะไม่ค่อยชอบมาโซยะ แต่หญิงสาวชื่นชอบการยั่วยวนราชานินจา สุดท้ายทั้งคู่ก็ต้องมาทำงานด้วยกัน ด้วยนิสัยที่ไม่ค่อยจะลงรอยจึงทะเลาะกันตลอดเวลาเสียจนเป็นเรื่องธรรมดา
"เจ้าจะไปไหนน่ะ?" หญิงสาวเดินเข้ามาหาคนผมแดง
"ไปหาทูตเสียหน่อย ท่านเซอิจิ มีเรื่องฝากไปบอก
อุ๊บ! เจ้าทำอะไรน่ะ?" จิเคตะถอยกรูเมื่อถูกหญิงสาวขโมยจูบ
"ติดสินบนยังไงล่ะ!!!" อากิโกะว่า พลางใช้ปลายนิ้วแตะริมฝีปากตัวเอง
"สินบนอะไร?"
"ก็
" หญิงสาวลากเสียง "เจ้าเป็นคนจัดการคณะทูต ข้าอยากจะติดตามคณะทูตเสียหน่อย
ได้ไหม?" อากิโกะพูดอ้อนๆ จิเคตะมองหญิงสาวอย่างชั่งใจก่อนที่จะยิ้ม
"อ้อ
เจ้าจะติดตามคณะทูตด้วยรึ?" ชายผมแดงยื่นหน้าเข้าไปใกล้หญิงสาว
"ใช่!!! มีอะไรล่ะ?" อากิโกะว่า "ถ้าจะถามว่าข้าไปทำไมล่ะก็
ข้าไม่บอกน่ะ จะบอกให้!!!"
"ข้าก็ไม่ถามหรอก!!!" จิเคตะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
"แล้วทวนทำไม?
.อุ๊ย!" อากิโกะดิ้นเร้าๆ อยู่ในวงแขนของจิเคตะ ชายหนุ่มกำลังเพลิดเพลินกับการจุมพิตริมฝีปากของหญิงสาว เมื่อจิเคตะพอใจเขาก็ปล่อยอากิโกะให้เป็นอิสระ
"แย่หน่อยน่ะ ถ้าเจ้าใช้วิธีนี้กับมาโซยะด้วย หมอนั้นคงพอใจกับจูบเดียว แต่ข้าเป็นคนมักมาก รู้ไว้ด้วย" แล้วเขาก็เดินยิ้มออกไป ปล่อยให้อากิโกะยืนขาอ่อนอยู่ตรงนั้น
หลังจากนั้นไม่นาน คณะทูตก็ออกเดินทางเข้าเมื่อหลวงเพื่อเจรจา
. .. . . . .
ในท้องพระโรงที่ประดับประดาด้วยพู่ประดับสวยงาม ร่างของคนๆหนึ่งที่กำลังเดินไปมาอย่างหนักใจ เขาเดินหันหลังให้กับแสง สายตาก็มองออกไปนอกหน้าต่างบ้าง แล้วเข้าไปนั่งบนบัลลังก์!!! คนผู้นั้นคือโควตะ!!!
นับจากวันนั้นปีกว่าแล้วที่เซอิจิจากไป บัดนี้กษัตริย์หนุ่มกลับมาเพื่อทวงหาสิทธิที่เขาเคยมี โควตะน่าจะยกซาไอให้ชายผู้นั้นตั้งแต่แรก ก็คงไม่เกิดการรบพุ่งกันเช่นนี้ แต่ด้วยคำขอร้องของพระนางฮิโตมิ เขาจึงต้องทำตาม ระหว่างที่กษัตริย์หนุ่มกำลังกลุ้มอกกลุ้มใจอยู่นั้น เหล่าขุนนางต่างแยกย้ายกันไปอยู่ตามส่วนต่างๆในวัง มาคุเฝ้าอยู่หน้าประตู ตอนนี้มีเขาอยู่คนเดียวในท้องพระโรง ในที่ที่มืดทึบอับแสงเช่นเดียวกับใจเขาในตอนนี้!!!
ช่วงเวลาวิกฤตและหดหู่ในใจของเขานั้น ร่างหนึ่งก็ก้าวเข้ามาในท้องพระโรง
"
..ออกไป
.ตอนนี้ข้าอยากอยู่คนเดียว
" โควตะกุมขมับโดยไม่ได้เงยหน้ามองผู้มา
"ข้าคิดว่าพี่จะดีใจที่รู้ว่าข้ามาเสียอีก
" ด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคย แต่ไม่ได้ยินมานาน โควตะแหงนหน้ามองทันที
"ซ
ซาไอ" เขาพึมพำนามผู้มาเยือน "เจ้ายอมออกจากสวนแล้วหรือ?"
"อย่างที่พี่เห็น ให้ข้านั่งด้วยได้ไหม?" โควตะพยักหน้า พลางเลื่อนเก้าอี้ให้น้องสาวนั่ง
"เหตุการณ์เป็นยังไงบ้าง?" ซาไอถามอย่างเป็นห่วงเมื่อนั่งลงบนเก้าอี้
"คงอีกไม่นาน
พวกนั้นปิดล้อมเราเอาไว้ทั้งหมด ท่านเซอิจิฉลาดเกินพวกเราไปแล้ว แถมยังมีจิเคตะ เดเอคิอีก พวกเขาเป็นต่อพวกเรามากมายนัก ถึงออกไปสู้ก็เท่ากับออกไปตาย"
"
.." ซาไอถอนใจ ทั้งคู่นิ่งไปพร้อมๆ ทั้งท้องพระโรงนิ่งไปชั่วขณะเช่นเคย ซาไอลุกจากเก้าอี้และเดินไปที่หน้าต่าง เธอจับขอบหน้าต่างเอาไว้ เหม่อมองออกไป มองกองทัพที่กำลังล้อมเมืองหลวง
ท่านเซอิจิที่เธอเคยรู้จัก เปลี่ยนไปมากขนาดไหนเชียวน่ะ? คนที่เธอเคยรู้จัก
ทำไมถึงยอมยกทัพข้ามน้ำทะเล ปฏิเสธความสงบมาที่นี่ด้วย! เป็นที่รู้กับทั่วไปว่า จุดประสงค์ของกษัตริย์แห่งซูคังหาใช่ต้องการแก้แค้น ขยายอำนาจ หรืออะไรอื่น นอกเสียจากบีบบังคับให้นากิส่งตัวเธอออกไปให้
ขณะที่เธอมองที่หน้าต่าง และโควตะกำลังกลุ้มใจ มาคุก็เดินเข้ามา
"ท่านโควตะ
"
"อะไรรึ?"
"มีทูตจากกองทัพซูคังขอรับ อยากจะเจรจาสงบศึกกับเรา
" โควตะลดมือลงจากขมับทันที นัยตามองดูมีแววขึ้นทันควัน เขามองไปที่ประตูที่เปิดอ้าอยู่ก็พบราชทูตที่คัดเลือกมา และในที่สุดโควตะก็ตัดสินใจ
"เชิญเข้ามา!!! ไปเรียกขุนนางทุกคนมาด้วย เรามีเรื่องที่ต้องตัดสินใจ" สิ้นรับสั่ง มาคุก็รับคำสั่งออกไปทันที
ขบวนราชทูตแห่งซูคังทยอยเข้ามาอย่างช้าๆ มาโซยะที่อยู่นอกประตูหลีกให้กับขบวนราชทูตที่เดินเข้าไป แต่เขาก็ไปสะดุดตากับราชทูตคนสุดท้าย ชายหนุ่มยื่นมือออกไปคว้าแขนไว้ทันที
"อาเกกินารุซาวะ
" เขากระซิบ ราชทูตผู้นั้นหันกลับมายิ้ม
"โอ้
สวัสดี มาโซยุราโอะ"
"อย่าเพิ่งคุยกันตรงนี้ ตามข้ามาดีกว่า
" ว่าแล้วมาโซยะก็กึ่งลากกึ่งจูงราชทูตอาเกกินารุซาวะมาที่ลับหูลับตาคน
"เจ้ามาที่นี่ ทำไม?" มาโซยะตรึงไหล่เธอเอาไว้กับกำแพงแล้วถาม
"มาหาเจ้าไม่ได้รึไง? อ้าว! อย่าเพิ่งเขิน ข้าพูดเล่น ข้าอยากเห็นหน้าว่าที่ราชินีซาไอเสียหน่อยเท่านั้นเอง!"
"ไม่ตลกเลย.." มาโซยะเอ็ด
"ใครว่าตลกล่ะ?" อากิโกะบิดตัวออกจากการพันธนาการ
"ถ้าเจ้าอยู่ที่ซูคัง
อยู่ที่นั้น เจ้าจะเห็นว่าท่านเซอิจิทนทุกข์ทรมานแค่ไหน!!! พระองค์ยอมทิ้งเกียรติยศ และยอมถูกตราหน้าว่าคนทรยศ เมืองที่ช่วยตนเอง มาตีที่นี่ เพื่อต้องการแค่ว่าที่ราชินีกลับไป!!!" อากิโกะกำมือแน่น มาโซยะถึงกับถอนใจ
"เอาล่ะ! ตกลงข้าไม่ว่าเจ้าแล้ว
มาคุยเรื่องอื่นดีกว่า เจ้าเจอจิเคตะ
เป็นไงบ้าง?" ถึงคำถามนี้อากิโกะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
"ก็ดี
กร้านกว่าเจ้า เก่งกว่าเจ้าด้วย อืม~เขาเพิ่งจูบข้าตอนที่ค่ายเมื่อเช้านี้เอง" มาโซยะหน้าแดงเมื่อถูกเปรียบเทียบ
"ก็เรื่องของเจ้า!!! อย่าพูดมากเลย เรื่องทูตล่ะ?"
"ก็ปกติ
ท่านเซอิจิแค่บอกว่า ถ้าทำตามจะถอยไปโดยดี
แต่ถ้าตุกติก มีลูกไม้ จะบุกทันที
" มาโซยะขมวดคิ้วงงๆ ท่านเซอิจิที่เขารู้จักน่ะรึ? จะโหดร้ายขนาดนั้น
"แล้ว
ทางโน้นมีกำลังเท่าไร?"
"เฮ้อ
นี่ๆ นี่มันล้วงความลับแล้วน่ะ เห็นข้างี่เง่ารึไง?" หญิงสาวว่า มาโซยะโบกมืออย่างเบื่อหน่าย พลางเดินออกไปเพื่อดูการเจรจา ซึ่งอากิโกะก็วิ่งตามไปติดๆ
ตอนนี้ในท้องพระโรงที่เคยว่างเปล่า เต็มไปด้วยเหล่าขุนนางอำมาตย์อีกครั้ง แต่ที่สร้างความฮือฮาคือ ซาไอยอมออกจากสวน มาอยู่ที่นี่ด้วย
ไม่ได้พูดพร่ำทำเพลง ทันทีที่เหล่าขุนนางมากันพร้อมโควตะก็ให้ทูตแจ้งความในสารทันที
"ข้าพระองค์แด่ ราชาโควตะ นี่คือข้อความที่ราชาเซอิจิแห่งซูคังฝากมาให้พระองค์" กล่าวจบทูตก็เปิดสารออก
"หม่อมฉันแด่ราชาโควตะ
ต้องขอประทานอภัยที่มิได้มาพบพระองค์ด้วยตนเอง นับปีกว่าแล้วที่หม่อมฉันทูลขอองค์หญิงซาไอจากพระองค์ แต่ไม่ทรงอนุญาต
ด้วยเหตุนี้ทำให้หม่อมฉันยอมเป็นคนบาปยกทัพมาตีนากิ มิใช่ด้วยมีประสงค์เอาแผ่นดินแต่อย่างใด หม่อมฉันเพียงต้องการองค์หญิงซาไอไปเท่านั้น
หากทรงพระกรุณาประทานให้ ขอทรงให้นางเสด็จออกมาพร้อมคณะทูตซูคัง ไม่ต้องกังวลว่าเรื่องสินสอด เพราะทางเราจะจัดส่งให้ทันทีที่ได้ตัวนาง
หากแม้ไม่ทรงประทานให้โดยสันติ หม่อมฉันมีความจะเป็นต้องเข้าแย่งชิงจึงขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ราชาเซอิจิ" สิ้นคำ ทูตก็ปิดสารพลางมองโควตะ โควตะกุมขมับอย่างกลัดกลุ้ม
"อ้อ
พระองค์ ราชาเซอิจิยังฝากอะไรมาอีก ทรงให้หม่อมฉันกราบทูล?"
"ว่ามา!!!"
"หากทำตามก็มีเงื่อนไขดังสาร แต่หากทรงปฏิเสธหรือบิดพลิ้วแม้แต่น้อยล่ะก็
จะทรงมีคำสั่งบุกทันที!!!"
"บังคับ" "สามหาว" "บังอาจ" เสียงออกความเห็นโดยพลการดังไปทั่วท้องพระโรง โควตะมองทูต มองขุนนางแล้วก้มหน้าลง จะยกให้ก็ติดที่พระนางฮิโตมิ จะไม่ยกให้ ก็เกรงว่าอาณาจักรจะล่มสลาย ซาไอเห็นโควตะทำท่าทีดังนั้น เธอจับแขนของพี่ชายเบา ส่งผลให้กษัตริย์หันมามองน้องสาวทันที
"พี่ยกข้าให้ท่านเซอิจิเถอะ
" เธอกระซิบ
"แต่
"
"ไม่มีทางเลือกแล้ว
พี่ยกข้าให้พระองค์เถอะ ข้าเชื่อว่าแม่ต้องเข้าใจ
พระองค์รักข้ามากขนาดนี้ เชื่อว่าไม่นานข้าคงรักพระองค์ได้เช่นกัน" โควตะกัดริมฝีปาก แล้วมองไปที่ขุนนาง
"หม่อมฉันคิดว่า..ยกองค์หญิงซาไอให้เถอะพะยะค่ะ" ขุนนางผู้หนึ่งออกความเห็น
"ใช่พะยะค่ะ" "ยกองค์หญิงให้เถอะพะยะค่ะ" อีกหลายเสียงแสดงความเห็นด้วย โควตะหันหน้าไปมองโทงาริที่มีสีหน้าไม่เห็นด้วยสักเท่าไร
"ข้าจะยกซาไอให้ท่านเซอิจิ" เขาพูดเบาๆกับโทงาริ
"แต่ท่านฮิโตมิ!!!"
"ข้าจะพูดกับท่านแม่เอง เชื่อว่าท่านต้องเข้าใจ
เพราะเราไม่มีทางเลือกอีกแล้ว"
"
.."
"ท่านโทงาริ!!!"
"ตามพระทัยพระองค์เถิด" โควตะยิ้มอย่างโล่งอก เขาลุกขึ้นจากบัลลังก์
"ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะยกองค์หญิงซาไอให้กับกษัตริย์เซอิจิแห่งซูคัง!!!" เขาประกาศ
"เช่นนั้นให้องค์หญิงเสด็จตามหม่อมฉันได้เลย!!!"
"ได้
แต่ให้นางลาเสด็จแม่ของนางหน่อย
จะได้หรือไม่? ท่านเซอิจิคงไม่ใจร้ายถึงขนาดนั้นหรอกน่ะ!!!"
"คิดว่าท่านเซอิจิคงไม่ว่าอะไร!!!"
"ถ้าอย่างนั้นก็ดี!!! เชิญพวกท่านไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้เช้าข้าจะให้นางเดินทางไปกับพวกท่าน!!! เลิกประชุม!!!" กล่าวจบ โควตะก็เดินออกจากท้องพระโรงด้วยความโล่งใจ แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่รู้จะพูดกับพระนางฮิโตมิอย่างไร
. . . . . .
ในค่ำคืนนั้นซาไอซุกอยู่ในอ้อมแขนของพระนางฮิโตมิ ซาไอกล่าวลาพระนางมากมาย แต่พระนางไม่พูดอะไรเลยนอกเสียจาก
"ขอให้เจ้ามีความสุข
" หลังจากที่กล่าวลาแล้วหญิงสาวก็กลับไปยังที่พักของตน หยิบห่อสัมภาระออกมา ตรวจตราว่าเอาของสำคัญไปหมดหรือยัง?
"ท่านกำลังดีใจหรือเศร้าใจกันแน่!!!" หญิงสาวแหงนหน้าไปทิศที่เกิดเสียง มาโซยะนั่งอยู่บนขอบหน้าต่างอย่างเศร้าๆ
"ไม่รู้สิ
ใจหนึ่งก็ดีใจที่หยุดสงครามได้ อีกใจหนึ่งก็กลัว
"
"กลัวอะไร?"
"ข้าคิดว่าท่านเซอิจิน่ากลัว
"
"อือ ข้าเห็นด้วย
" ซาไอนิ่งไปชั่วขณะ
"มาโซยะจะไปกับข้าด้วยรึเปล่า?" เธอถามอย่างหวั่นใจ
"ไปสิ..ข้าต้องไปด้วยอยู่แล้ว อยู่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้ทำนี่!!! ท่านได้ไม่โดนยายอากิโกะแกล้ง"
"อากิโกะ?"
"โอ๊ะ!!! เปล่าๆ อย่างไปสนใจเลย ไปนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องรีบเดินทางตั้งแต่เช้า"
. . . . . . .
ในเช้าวันรุ่งขึ้น หญิงสาวจะต้องตื่นมาตั้งแต่เช้า เพื่อแต่งตัว
ชุดเจ้าสาวที่เธอเคยเห็นมาบ้าง ไม่นึกว่าจะได้ใส่ในวันนี้ นางกำนัลหลายสิบคนสาละวนกับการแต่งหน้าทำผมให้กับเธอ หลายครั้งที่พวกเธอทะเลาะกันเองเพราะเครื่องประดับหายไป แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยดี เครื่องประดับของซาไอเป็นเงินทั้งชุด ปากของเธอถูกทาให้แดงเหมือนกับชุดเจ้าสาวสีแดงที่เธอใส่ ผ้ารัดเอวนั้นยาวมากกว่าจะพันรอบตัวได้นั้นก็นานทีเดียว สุดท้ายก็ต้องใส่หมวกเจ้าสาวที่ทำจากเงินประดับไข่มุกเช่นกัน ตามด้วยผ้าคลุมหน้า ซาไอรู้สึกว่าตัวเองสวยเป็นพิเศษ เธอเดินไปหน้ากระจกและส่องตัวเองทั้งตัวอย่างปลาบปลื้มใจ แม้จะสลดใจที่ต้องจากบ้านก็ตาม
"สวยจริงๆ" เธอพึมพำ "ไม่นึกว่าพี่โควตะจะเลือกชุดเจ้าสาวเป็นด้วยน่ะเนี่ย
" เธอพึมพำ
"ไม่ใช่หรอกเพค่ะ
" นางกำนัลกล่าว
"อ้าว! หรือว่าท่านฮิโตมิ" เธอวางมือลงบนแก้มอย่างครุ่นคิด
"ของท่านเซอิจิเพค่ะ
ทรงเอามาจากซูคัง" ซาไอฟังเงียบๆ แล้วเดินจากกระจกมานั่งอยู่ข้างหน้าต่างพลางถอนใจ
"ไปจากที่นี่ข้าต้องคิดถึงบ้านมากแน่ๆเลย" เธอกล่าว แล้วนั่งนิ่งอยู่ที่นั่นเป็นเวลานาน มองพระอาทิตย์ที่เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้าจนกระทั้งโผล่พ้นเต็มดวง จนกระทั้งมีเสียงเรียก
"ท่านซาไอเพค่ะ
ท่านโควตะมีรับสั่งให้มาตามตัวเพค่ะ"
"อือ
จะไปเดี๋ยวนี้แหละ" แล้วหญิงสาวก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้อง ตรงไปยังท้องพระโรง ทั้งโควตะและทูตอยู่ที่นั่นทั้งหมด ทูตมีทีท่าพอใจทีเดียวที่เจ้าสาวของกษัตริย์ตนงดงามถึงเพียงนี้ โควตะก้าวลงจากบัลลังก์ไปจับไหล่น้องเอาไว้
"เจ้าสวยมากน่ะ..วันนี้" เขาชม
"ขอบคุณค่ะ" หญิงสาวกล่าวเบาๆ โควตะหันกลับไปมองคณะทูต
"ไปกันเถอะ พวกเขามารอนานแล้ว เดี๋ยวข้าจะไปส่งเจ้าด้วย" โควตะกล่าว แล้วเขาก็สั่งเตรียมเกี้ยวสำหรับพาเจ้าสาวไป พร้อมกับสัมภาระของหญิงสาว คนที่ติดตามซาไอไปมีไม่กี่คน มีนางกำนัลที่รับใช้ประจำตัวเธอกลุ่มหนึ่ง กับมาโซยะ และคุโระ
ขบวนส่งองค์หญิงเริ่มเคลื่อนออกไปจนหน้าประตูเมืองพร้อมคณะทูต และที่นั่นเซอิจิก็ยืนรออยู่พร้อมกับเกี้ยวอีกอัน และหีบหลายใบ
เซอิจิก้มศรีษะให้กับโควตะเล็กน้อยตามมารยาท
"สินสอดที่หม่อมฉันนำมาแล้ว ขอรับตัวองค์หญิงไป
" เขาพูด โควตะพยักหน้า พลางเดินไปยังเกี้ยวของซาไอ
"ลงมาเถอะซาไอ
ท่านเซอิจิมาแล้ว" หญิงสาวพยักหน้าพลางก้าวลงจากเกี้ยวของนากิ โควตะจับไหล่ของเธอเอาไว้ คล้ายต้องการดูให้เต็มตาก่อนจากกันไกล
"สวยจริงๆ ดูกี่ทีก็เหมาะกับเจ้า" เขาเม้มปาก ซาไอยิ้ม
"ข้าจะส่งข่าวมาหาพี่บ่อยๆ อย่างเศร้าเลย แม่ด้วย พี่ดูแลท่านแทนข้าด้วยน่ะ" เธอสั่งเสีย
"ถ้าเป็นอะไรก็ส่งข่าวมาบอกข้าน่ะ"
"อือ
"
"ไปดีๆล่ะ ขอให้มีความสุข ทำตัวเป็น
"
"เป็นภรรยาที่ดี เป็นราชินีที่ดี
" เธอใช้มือชี้ขึ้น ทำท่าสอนใส่หน้าโควตะ
"รู้แล้วล่ะ..ก่อนข้าไปหาแม่ พี่ก็พูดจนข้าหูชาไปหมดแล้ว
"โควตะยิ้มเศร้าๆให้น้องสาว
"ไม่คิดว่าพอเจ้าแต่งงานพี่จะรู้สึกเหงาขนาดนี้" โควตะพูด
"ถ้าพี่เหงา พี่ก็ไปรับพี่นัตสึกิมาอยู่ด้วยสิ" เธอแนะนำ โควตะหัวเราะเบาๆ พลางมองไปทางเซอิจิ
"เจ้าเด็กแก่แดด!!!" เขาว่า "ได้เวลาแล้ว
เจ้าไปเถอะ" โควตะร่ำลาเป็นคำสุดท้าย ก่อนซาไอจะเดินไปหาเซอิจิ เธอมองคนที่เธอเคยรู้จัก ตอนนี้ผิวที่เคยขาวกลับคล้ำลงเพราะแดด ยังแต่งแต้มด้วยบาดแผลบางแห่ง มือที่เคยมองดูอ่อนช้อยเหมาะแก่การจับพิณเพื่อเล่น ตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากมือนักรบทั่วไป
"ชุดเจ้าสาวเหมาะกับเจ้ามาก องค์หญิงซาไอ
" กษัตริย์แห่งซูคังเอ่ย สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคงเป็นน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนเสมอเมื่อพูดกับเธอ รวมทั้งนัยตาสีน้ำตาลนั้นด้วย หญิงสาวก้มศรีษะรับคำชม
"ขึ้นเกี้ยวเถอะ
เราจะเดินทางกันแล้ว" ซาไอทำตามอย่างว่าง่าย เธอขึ้นเกี้ยวไป ก่อนจะหันกลับมามองเมืองเป็นครั้งสุดท้าย สัมภาระของเจ้าสาวถูกส่งต่อให้ทหารซูคัง และสินสอด ทางนากิก็รับมา
โควตะนั้นมองน้องสาวหายไปในเกี้ยว มองสัมภาระถูกเปลี่ยนมือ และมองกองทัพซูคัง มองว่าที่น้องเขย พาน้องสาวของตัวเองจากไปช้าๆจนลับสายตาของตน
เมื่อลับสายตาไป โควตะก็ถอนใจ ก่อนที่จะหันหลังกลับเข้าเมือง และไปหาพระนางฮิโตมิ
. . . . . . .
ในตำหนักของพระนางฮิโตมิ มีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นอย่างร่มรื่น นกร้องเพลงอย่างร่าเริง แต่หญิงผู้เป็นเจ้าของตำหนักไม่ได้ร่าเริงอย่างนั้นเลย เธอได้แต่ยกถ้วยชาขึ้นจิบช้าๆอย่างเศร้าสร้อย ในใจก็คิดว่าลูกสาวของเธอคงไปแล้วกระมัง?
นางกำนัลสาวสวยมองพระนางอย่างเศร้าสร้อย เลือกที่จะให้พระนางอยู่เงียบๆดีกว่าไปรบกวน เธอจึง วางน้ำชาเอาไว้แล้วผละออกไป พระนางฮิโตมิยังคงจิบน้ำชาไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะอิ่ม แต่แล้วพระนางก็หยุดจิบน้ำชาลงเมื่อร่างหนึ่งเดินเข้ามา เมื่อพระนางเห็นหน้าเจ้าของร่าง พระนางก็หันหลังให้ทันที
เพราะเขาผู้ขัดคำขอร้องของพระนาง
..
โควตะเดินเข้ามาช้าๆ และไม่ยินยอมนั่ง เขาเลือกที่จะยืนต่อหน้าพระนาง
"แม่
ซาไอไปแล้วน่ะพะยะค่ะ"
"
.."
"หม่อมฉันขอโทษที่มาช้า และยกซาไอให้ท่านเซอิจิ แต่หม่อมฉันจะมาชี้แจงว่าเหตุการณ์คับขันเพียงใด
"
"
.."
"มันเกี่ยวกับความเป็นไปในประเทศ
อนาคตเฉพาะหน้าของเรา ซึ่งมีทางเลือกเดียวคือส่งซาไอออกไป"
"
.."
"หม่อมฉันมีเรื่องชี้แจงเท่านี้แหละพะยะค่ะ
ห..หม่อมฉันทูลลา" โควตะถวายบังคมให้กับพระนางฮิโตมิ แล้วเดินจากไป
พระนางฮิโตมินั้นทรงหยุดดื่มชา ทรงวางถ้วยชาลง แล้วแหงนหน้ามองฟ้าอย่างเศร้าสร้อย
"อย่าไปโทษโควตะเลย
เขาทำถูกแล้วล่ะ
" เสียงหนึ่งทำให้พระนางหันไป ร่างหนึ่งสวมชุดยาจกรุงรัง บุรุษผู้นั้นพยายามกดหมวกปิดใบหน้าตนเองและมองซ้ายมองขวาอย่างระวังภัย พระนางฮิโตมิพิจารณาสักครู่ แล้วพระนางก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินกึ่งวิ่งเข้าไปโอบกอดร่างนั้นเอาไว้ บุรุษผู้นั้นก็กอดพระนางเช่นกัน
.สักพักหนึ่งพระนางก็ร้องไห้ ชายผู้นั้นลูบหลังของพระนางอย่างปลอบโยน
"ห
หม่อมฉันทำตามที่พระองค์สั่งเสียไม่ได้" ทรงสะอื้น ยาจกผู้นั้นกอดพระนางสักพัก ก่อนที่จะถอดหมวกออกพัดตนเอง แล้วจุมพิตที่หน้าผากพระนาง
"ไม่เป็นไร
โควตะทำดีที่สุดแล้ว
เซอิจิต่างหาก ข้าประเมินเขาผิดไปแท้ๆ" พูดจบก็ยกมือขึ้นปาดน้ำตาให้กับพระนางฮิโตมิ
"ต่อไปเจ้าไม่ต้องทำอะไรแล้ว..ฮิโตมิ
ข้ามารับเจ้าไปอยู่ด้วยกัน
"
"ที่ไหนเพค่ะ?" พระนางถาม ทั้งๆที่ยังอยู่ในอ้อมกอดของบุรุษนั้น
"อืม
ไกลเหมือนกันแหละ แต่ไม่ต้องห่วง เจ้าไม่ลำบากหรอก
ข้าสร้างที่พักเอาไว้คอยเจ้าอยู่สักพักแล้ว แต่เผอิญติดสงครามเลยมาไม่ได้" แล้วชายในชุดยาจก ก็อุ้มพระนางฮิโตมิขึ้นด้วยแขนข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งก็หยิบรองเท้าของพระนางขึ้นมา
"เจ้าตัวเบาจริงๆ ฮิโตมิ
คงไม่กินไม่นอนเลยใช่ไหม? น่าสงสารจริงๆ ไม่เป็นไรหรอก
พอไปถึงที่นั่นข้าจะขุนเจ้าให้น่าฟัดเชียวล่ะ" หญิงในอ้อมแขนซุกใบหน้าเอียงอายไว้กับอกสามี
"แล้วพวกโควตะล่ะเพค่ะ? ให้หม่อมฉันบอกเขาก่อนได้ไหม? ท่านอิเอยาสึ" อิเอยาสึมองภรรยายิ้มๆ ก่อนที่หอมแก้มนางอย่างรักใคร่
"พี่อิเอยาสึสิ
ข้าไม่ใช่กษัตริย์อีกแล้ว
เวลาแทนตัว ก็แทนแบบธรรมดา ไม่ต้องใช้ราชาศัพท์ เรื่องโควตะ ไม่ต้องบอกหรอก เดี๋ยวเขาจะไม่ให้เจ้าไป เว้นแต่ว่าเจ้าอยากอยู่ที่นี่มากกว่าไปกับข้า"
"หม่อม
เอ๊ย! ข้าอยากไปกับท่าน แต่ก็อยากบอกให้โควตะรู้เสียก่อนเดี๋ยวเขาจะเป็นห่วง น่ะค่ะ
ให้ข้าบอกเขาเสียหน่อย" อิเอยาสึมองภรรยาอย่างชั่งใจ
"อ้อ
แล้วเจ้าจะบอกเขาว่าอะไรล่ะ?"
"
.." พระนางฮิโตมิ ที่กำลังจะกลายเป็นฮิโตมิธรรมดานิ่งไป
"เห็นไหมล่ะ? ถ้าเจ้าจะบอก เจ้าก็ต้องเล่าทั้งหมดให้เขาฟัง แล้วนึกหรือว่าโควตะจะวางใจให้ข้าพาเจ้าไป?" อิเอยาสึถาม
"โธ่! น่ะค่ะ อย่างน้อยให้เขียนจดหมายลาเขาเสียหน่อยก็ยังดี" พระนางฮิโตมิอ้อนวอน อิเอยาสึถอนใจยอมแพ้ภรรยา เขาวางพระนางลงบนชานบ้านพร้อมกำชับให้รีบ พระนางฮิโตมิก้าวอย่างรวดเร็ว ไปหยิบกระดาษ ก่อนที่จะขีดเขียนคำลาลงไป
.ลาก่อนโควตะลูกรัก ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ แม่ไม่ได้ไปเพราะเจ้า แม่จะไปอยู่กับคนที่แม่รัก เขามารับแม่แล้ว แม่ไม่ได้ฆ่าตัวตาย มันมีเหตุผลบางอย่างที่บอกไม่ได้ แต่แม่สบายดี
.รัก แม่
ครั้นเขียนเสร็จ พระนางก็พับมันไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนที่จะหยิบของต่างหน้าของลูก และพี่น้องขึ้นมา พลางเดินออกไปหาสามีที่คอยอยู่ อิเอยาสึใช้สองแขนโอบรอบตัวพระนางฮิโตมิที่บัดนี้เป็นฮิโตมิธรรมดาขึ้น แล้วอุ้มออกไป เขามองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวัง และเมื่อฮิยาโมโตะซึ่งอยู่ในชุดยาจกเหมือนกันกวักมือเรียก อิเอยาสึก็ตรงไปทันที เขาวางฮิโตมิลงบนรถเข็นเก่าๆอย่างนุ่มนวล
"ทนหน่อยน่ะ ถ้ามันจะสะเทือนสักหน่อย
เดี๋ยวเราจะไปต่อม้ากันนอกเมือง" ฮิโตมิยิ้มรับ อิเอยาสึยกมือขึ้นปัดไรผมที่ปรกหน้าภรรยา
"เฮ้อ
นี่ถ้าเราถูกจับได้จะเป็นยังไงเนี่ย? พวกเราลักพาตัวเสด็จแม่ของกษัตริย์เมืองนี้เชียวน่ะ..ฮิยาโมโตะ"
"ใช่
ขอรับ"
"ฮิโตมิ"
"ค่ะ?"
"ที่ที่เราจะไปถึงไม่สบายเท่าวัง
แต่เจ้าจะไม่ลำบากแน่นอน จะเปลี่ยนใจไหม?" อิเอยาสึถามภรรยา
"ไม่ค่ะ
ท่านไปไหน ไม่ว่าลำบากอย่างไรข้าก็ไม่กลัว
ถึงข้าอยากจะเจอลูกสะใภ้ก็เถอะ แต่ไม่เป็นไร" อิเอยาสึยิ้ม
"ไม่ต้องกลัวหรอกฮิโตมิ
ข้าจะพาเจ้ากลับมาแอบดูลูกเจ้าแน่ๆ แล้วอย่างน้อยต่อไปนี้ข้าจะเป็นสามีที่ดี ชดเชยที่ผ่านมา
ได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะ
"
แล้วชายทั้งสองคนก็ออกแรงลากรถ โดยมีฮิโตมินั่งอยู่ นี่คือการตัดสินใจของอดีตราชินี ที่ไม่ว่าอย่างไร เธอจะไม่เสียใจแน่นอน ที่จะเลือกอยู่กับคนที่เธอรักตลอดไป
.
|