|
พระอาทิตย์ที่ฉายแสงเปรี้ยงในตอนกลางวัน แสดงถึงอารมณ์คนในค่ายได้อย่างดี นั้นคือเครียดนั้นเอง ซาไอที่หัวเราะได้เพียงนิดเดียวเนื่องจากตำนานรักของโควตะที่ได้ฟังจากมาคุก็กลับมานั่งเครียดอีก โควตะสังเกตได้ว่าซาไอซูบไปเยอะนับตั้งแต่แยกย้ายทัพกันไป ทัพที่รวมแล้วราว 45000 นาย จากที่ได้เพิ่มบ้างก็ทดแทนส่วนที่เสียไป
แต่กำลังเพียงหยิบมือหาญกล้ามาล้อมเมืองหลวงที่มีทหารถึงสามแสนนับว่าเป็นความบ้าดีเดือดที่ไม่เคยมีมาก่อน
แต่ทหารที่มีอยู่สามแสนนั้นค่อนข้างหมดไร้ขวัญพอสมควร เพราะถูกควบคุมโดยผู้หญิงที่มาจากแว่นแคว้นอื่น
ไม่นานเมื่อชาวเมืองได้ยินว่ากองทัพกู้ชาติมาตั้งอยู่นอกเมือง พวกเขาก็อพยพออกมาขออาศัยอยู่ด้วย ใช้เวลาไม่กี่เดือน กำลังก็เพิ่มขึ้นเกือบเป็น 1 แสนนาย การฝึกทหารเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้คนพวกนี้จะไม่มีฝีมือ แต่ขวัญและความฮึกเหิมเต็มเปี่ยม เพราะต่างถูกกดขี่ในเมืองจนแทบทนไม่ไหว ทั้งปล้นฆ่า ลักพาและฉุดคร่า สร้างความเจ็บช้ำให้กับเหล่าราษฎรเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกที่พวกเขาจะมีใจเอนเอียงมาทางกองทัพกู้ชาติเป็นอย่างดี ซาไอก็กลับมารับหน้าที่จดบันทึกเสบียงตามเดิม โควตะพยายามซักไซ้แต่แม่ทัพหญิงก็ไม่ปริปากพูดอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว
บางครั้งเขาก็เห็นซาไอแอบร้องไห้และเซอิจิได้แต่นั่งจมกับกองตำราการปกครองไม่ก็นั่งอยู่ในคุกกับจิเคตะไม่เข้าใจเหมือนกันที่ทั้งสองไม่พูดคุยกัน ซาไอเริ่มวางแผนสงครามอีกครั้ง โควตะตกใจเหมือนกันที่แผนการณ์ของซาไอออกจะโหดร้ายมากกว่าที่เคยวางไว้
ซาไอเป็นคนหลีกเลี่ยงการฆ่ามากแต่ตอนนี้เธอกลับสามารถฆ่าได้อย่างเลือดเย็น
"แบบนี้มันไม่เลวร้ายไปหน่อยหรือ?" โควตะเอ่ยปากถาม หญิงสาวที่เคยอ่อนหวานยิ้มอย่างเลือดเย็นให้
"การฆ่าเป็นสิ่งเจ้าไม่โปรดปรานไม่ใช่หรือ?" โควตะถามอีก ซาไอยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบแล้วเม้มปากอย่างสบายอารมณ์
"ข้าแค่เพิ่งพบ
"
"
.." โควตะหรี่ตาเป็นเชิงถาม
"ว่าข้าเป็นทหาร!!! และข้าก็มุ่งหวังแค่เพียงแก้แค้นมิโดริเท่านั้น" ซาไอตอบเรียบๆ โควตะอึ้ง ซาไอใช้ความแค้นส่วนตัวพาลไปที่คนอื่น ซึ่งไม่ใช่นิสัยของเธอ โควตะตบโต๊ะเสียงดัง
"เจ้าคิดอะไรอยู่? บ้าไปแล้วรึไง!!!" โควตะตวาดใส่หน้าน้องสาว
"บ้า?" ซาไอทวน
"ใช่!!! บ้าไปแล้ว ท่านเซอิจิก็เอาเจ้าไม่อยู่รึยังไง? ถึงได้ใจแตกกลายเป็นคนเหี้ยมโหดอย่างนี้ ถ้าเจ้าทำแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับมิโดริ!!!" ซาไอสะดุดกึก มิโดริหรือ
. หมัดเล็กๆของหญิงสาวพุ่งเข้าที่ใบหน้าโควตะ แม้โดนเฉียวๆแต่ก็ทำให้ที่ใบหน้าโควตะมีรอยจ้ำ
"อย่างเอาข้าไปเทียบกับมิโดริ!!!" แม่ทัพสาวตะคอก
"ข้าเลว!!! แต่ข้าก็มีจรรยาบรรณของข้า เจ้าไม่ต้องเอาท่านเซอิจิมาพูด!!! เขาไม่คุยกับข้าเลย จะห้ามข้ายังไง?" ซาไอเถียง โควตะมองซาไอที่หยุดหอบ
"เจ้าสองคนทะเลาะอะไรกัน?"
"
.." ซาไอสะบัดหน้า
"นั้นไม่ใช่เรื่องของเจ้าเสียหน่อย บอกมาว่าจะเอาแผนนี้หรือเปล่า?"
"ไม่!!!" โควตะยืนยัน
"พวกเขาเป็นคนชาติเดียวกับเรา ฆ่าได้หรือ เลือดเย็นอย่างนี้" ซาไอจ้องหน้าโควตะ
"ได้!!!" เธอฉวยโครงแผนคืน แล้วขยำมันแล้วขว้างลงพื้น
"งั้นเจ้าก็ไปหาคนวางแผนคนอื่นเถอะ!!! แสนเดียวสู้สามแสน ต่อให้หมาออกลูกเป็นวัวก็รู้ว่าชนะไม่ได้!!!" ว่าแล้วซาไอก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว โควตะกุมหัวตัวเอง ไอ้ใช้แผนโหดน่ะไม่ใช่ปัญหา แต่การที่น้องสาวของเขากลับมาโหดสิ!!! น่าห่วง
เด็กหญิงที่เคยอ่อนโยนจู่ๆวันหนึ่งก็ใช้มีดปาดไก่เป็นๆแล้วประกาศว่าตัวเองจะเป็นทหาร ทุกข์ยากแสนลำเค็ญก็พิสูจน์ตัวเองจนได้ ซาไอมีวิธีทำให้ใครต่อใครทำตามใจตนโดยไม่ต้องลงแรงอะไรมาก หลังจากซาไอเดินออกไปจนลับตาโควตะก็ออกตามหาเซอิจิ มุ่งหวังว่าเขาจะเป็นคนเดียวที่จะหยุดความบ้าคลั่งนี้ได้ โควตะเดินลงบันไดไปยังห้องขัง เขาพบจิเคตะที่ใส่โซ่ตรวนแน่นหนานั่งสนทนากับเซอิจิ โควตะรั้งตัวเอาไว้หลังกำแพงเสียก่อน
"มันจะไม่เย็นชาไปหน่อยหรือ? อย่างน้อยนางก็รักท่าน น่าจะฟังท่านที่สุด
"
"
"
"ไม่เอาน่า ถ้าท่านไม่ห้ามใครจะห้าม ดูแค่นี้ก็รู้ว่าทำเพื่อประชดตัวเอง"
"
"
"ท่านยอมให้นางถูกมองว่าเป็นแม่ทัพบ้าสงครามได้หรือ? ท่านนี้แย่มากนะ นางเป็นอย่างนั้นก็ไปง้อหน่อยก็ดี"
"
"
"จะทำได้ยังไง? ในเมื่อข้าเริ่มก่อน"
"
"
"ไม่เห็นว่ามันจะยากตรงไหน ก็ไปขอโทษเสียก็สิ้นเรื่อง"
"แต่
"
"มีเกียรติใช่ไหม? ผู้ชายก็งี้แหละ!!!" เสียงดังครืดคราดในห้องขัง
"ถ้าไม่ตัดใจจากเกียรตินั้นซะ!!! ก็จะเสียอีกสิ่งไปตลอดกาล มีผู้ชายเป็นร้อยเป็นพันยอมละเกียรติไปชั่วคราว ระเห็จไปง้อผู้หญิง!!"
"
"
"ข้าไม่ได้บังคับท่านหรอกน่ะ
เพียงแต่
.ผู้ชายมีหน้าที่ง้อเท่านั้น!!! ไม่มีใครเขามางอนเสียเองหรอก" เสียงเงียบไปสักครู่
"ให้ข้าตัดสินใจเอง
" เสียงลุกขึ้นดังขึ้น ตามด้วยเสียงปัดผ้า จิเคตะถอนใจ
"ซี่โครงไก่นั่นสิ
จะทิ้งก็เสียดาย จะกินไปก็ไร้เนื้อเหมือนกับจะไม่ง้อก็ไม่ได้ จะไปง้อก็กระไรอยู่ใช่ไหม? ท่านเซอิจิ อ้อ
แล้วก็เจ้าคนที่หลบอยู่หลังกำแพงนะออกมาได้แล้ว แอบฟังคนอื่นพูดมันสนุกนักรึไง?" เสียงเอ็ดของผู้ต้องขังดังออกมา โควตะจำเป็นต้องเดินออกไป เซอิจิชะงักไปเล็กน้อย เขาก้มหัวเพื่อทำความเคารพแก่แม่ทัพใหญ่ โควตะค้อมศรีษะเช่นกัน ส่วนจิเคตะได้แต่โคลงศรีษะแล้วใช้มือรองหัวตนก่อนที่จะพิงไปกับกองโซ่
"มีอะไรกับข้ารึไง?" จิเคตะเดา โควตะยิ้มเยาะ
"หลงตัวเองจังนะ!!! ข้ามาหาท่านเซอิจิต่างหาก" เสียงโต้กลับมาเล่นเอาจิเคตะเสียหน้าไปเหมือนกัน
"แล้วมีอะไรกับข้าหรือ?" เซอิจิพูดเรียบๆ โควตะจ้องมอง เขาพอจะปะติดปะต่อความได้แล้ว
"เรื่องซาไอพะยะค่ะ" เซอิจิหันกลับมา เซอิจิหยุดเดินกระทันหัน
"เรื่องอะไร?" ท่าทีของเซอิจิเป็นห่วง โควตะลอบถอนใจอย่างโล่งอก
"ช่วงนี้นางเครียดๆน่ะพะยะค่ะ" โควตะทัก เซอิจิทำท่าสำนึกผิดแต่สิ่งที่เขาพูดออกมากลับตรงข้ามกัน
"งั้นหรือ?" เซอิจิโต้กลับด้วยน้ำเสียงไม่เดือดร้อน ทั้งที่ในใจแทบลุกโชนมอดไหม้ โควตะขมวดคิ้วอย่างตะลึงงัน ไม่อยากเชื่อว่าเซอิจิที่ไม่ได้เจอกันเพียงพักเดียวจะเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้
"นี่ท่าน
ไม่เป็นห่วงซาไอบ้างหรือ?" เขาประชด
"ทั้งที่นาง
."
"ข้าเตือนแล้ว!!!" เซอิจิหันกลับมามองตาขวาง ด้วยชาติวงศ์กษัตริย์แท้ไม่มีเจือปน ด้วยอำนาจในแววตาสามารถสยบชายที่โชนศึกตรงหน้าให้หงอไป มือที่ขาวราวหยวกแม้คล้ำไปบ้างยกสะบัดให้ชายเสื้อพ้นไปอย่างมากลีลา ใบหน้าที่เคยจิ้มลิ้มเมื่อหลายปีก่อน โควตะไม่ได้สังเกตเลยว่าบัดนี้มันคมสันน่ามองแค่ไหน
"นางไม่ฟัง เสือหิวเนื้อ ยื่นหญ้าให้เสือ ท่านว่าเสือจะรับไปกินรองท้องไหม?" เซอิจิเอ่ยเรียบ ริมฝีปากเม้มอย่างอดทน โควตะลดตาและขอลาออกไป เชื่อเขาเลย!!! ทำไมเขาต้องกลัวคนรุ่นน้องที่อายุน้อยกว่าเขาสิบกว่าปีด้วยน่ะ สายตาตอนนั้นน่ากลัวเสียจริง โควตะนึกขณะเดินย่างขึ้นบันไดไปพบกับแสงอาทิตย์อีกครั้ง
. . . . . .
หลายวันที่ล้อมเมืองหลวง รอยยิ้มกราดของซาไอราวกับถูกปีศาจเข้าสิง มันเป็นรอยยิ้มที่กระหายสงครามสิ้นดี ยามที่มองเมืองหลวง ซาไอยอมให้ความเครียดแค้นเข้าครอบงำจิตใจ ไม่ว่ายามนอน ก็ฝืนจะเช็ดดาบ ยามทำบัญชีเสบียงก็ฝืนจะอ่านพิชัยสงคราม แม้ประสบการณ์บนสนามรบจะเพียงสิบกว่าปี แต่เรื่องความเจ้าเล่ห์กลศึก นับว่าไม่เป็นรองใคร
ภายใต้เวลาไม่กี่วันนั้นทางเมืองหลวงสามารถจับการเคลื่อนไหวของข้าศึกได้ และส่งกองทัพมาประจำอยู่รอบๆชายแดนเป็นอย่างดี โควตะเริ่มลำบากใจเพราะเป็นฝ่ายรุกและยังมีน้อยกว่า ผลออกมาก็ได้อย่างมากเพียงเสมอ ราวหนึ่งอาทิตย์ต่อมา เกิดศึกปะปรายกันขึ้น กองทัพกู้ชาติผลัดกันแพ้และผลัดกันชนะของกองทัพหลวง ส่วนมากฝ่ายซาไอจะเป็นฝ่ายชนะและได้จับเป็นเชลยเป็นส่วนมาก เพราะนายทหารมีใจให้กับขุนพลโควตะที่แข็งแกร่ง แต่ในครั้งล่าสุดทัพที่แม่ทัพปาปิยะยกออกไปราว 2000 นายแพ้อย่างยับเยิน ด้วยกำลังของทหารที่มากกว่า และจู่โจมแบบกองโจร ทำให้กองทัพกู้ชาติสูญเสียแม่ทัพไปคนหนึ่ง ไม่มีนายทหารคนใดรอดมาแม้แต่คนเดียว
ต่อมาแม่ทัพเอเซเกิดสงสัยในเพื่อนร่วมกองทัพจึงออกตามหาและกลับมาด้วยสภาพยับเยินเช่นกัน เลือดที่กลบตาม้าของแม่ทัพเอเซขี่อยู่ บนม้านั้นแบกร่างของแม่ทัพปาปิยะที่ไร้ลมหายใจและเอเซก็แทบคลานไม่ไหน ทหาร 500 ที่นำไปเหลือกลับมาเพียง 50 แต่ละคนมีบาดแผลที่เกิดจากการต่อสู้ หลังจากเยียวยาหลายวัน ก็ได้ฟังจากปากของเอเซว่า มีกองโจรเคลื่อนที่จู่โจมเร็วราว 1000 คน ว่องไวราวสายลม และเป็นกองทัพของมิโดริ ผู้นำของพวกมันหน้าตาดีเลิศ ร่างกายสูงใหญ่ และมีนามว่า อิจิว!!! โควตะและเหล่าแม่ทัพต่างตะลึงไปชั่วครู่ ชื่ออิจิวเคยผ่านหูของทุกคน แต่คนที่จำได้แม่นว่าเป็นใครคงมีเพียงคนเดียวคือ โควตะ!! ว่องไวราวสายลม ทำให้โควตะรู้สึกหนักใจ สายลม สายลม? เขาจะสู้ได้หรือไม่? เพราะแค่จิเคตะก็เล่นเสียแทบตาย ปัญหาใหม่เพิ่มเข้ามาอีก เมื่อกองโจรสายลมโดยมีผู้นำเป็นอิจิวที่รู้จักเพียงชื่อ ความรู้เกี่ยวกับตัวคนผู้นั้นเพียงงูๆปลาๆ ทำให้โควตะระอา สุดท้ายก็โยนงานไปให้ซาไอคิดแก้เซ็ง ซาไอผู้ต้องการข้อมูลยอมลงทุนไปหาจิเคตะศัตรูตัวฉกาจ ถ้าไม่ใช่เขาเคยเป็นอาจารย์ของเซอิจิมาก่อนละก็ ถึงตายก็ไม่มา เธอนึกขณะเดินลงจากบันไดมาสู่ห้องขัง จิเคตะมีอาคันตุกะประจำนั่งอยู่ นั้นคือเซอิจิ บุรุษทั้งสองหันขวับมามองอาคันตุกะคนใหม่ที่เข้ามา
"ท่านเซอิจิ!!!" ซาไอค้อมศีรษะทำความเคารพ ด้วยท่าทีเย็นชาผิดปกติ เซอิจิรู้สึกอึดอัดใจกับทีท่าที่หญิงสาวแสดงออกแต่ก็หาได้พูดอะไรไม่ เขาเพียงพยักหน้า
"มีอะไรหรือ?" องค์กษัตริย์เอ่ยถาม หญิงสาวได้แต่เพียงยิ้มให้อย่างราษฎรมองเจ้านาย
"หม่อมฉันมีเรื่องอยากขอร้องให้อดีตอาจารย์ของพระองค์ช่วยเสียหน่อยเพค่ะ" แม่ทัพหญิงวาดตาไปที่จิเคตะผู้เคยฝากรอยแผลให้ตน เซอิจิคอแข็งทันที ไม่ค่อยวางใจว่าถ้าทั้งสองอยู่กันตามลำพังแล้วสันติภาพจะเกิดขึ้น เซอิจิ "เลือก" จะถูกเรียกว่าหน้าด้านดีกว่าประมาทให้ใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายเสีย เซอิจิเลี่ยงนั่งมุมหนึ่งของเรือนจำปล่อยให้ซาไอทรุดตัวลงหน้าจิเคตะ คนผมแดงมองหญิงสาวอย่าไม่สบอารมณ์นัก อคติยังคงติดอยู่ในแววตานั้น หญิงสาวแย้มยิ้มอย่างเป็นมิตร แต่จิเคตะดูออกว่ามันแฝงด้วยคมอาวุธในรอยยิ้มนั้น
"ถ้าเป็นไปได้ช่วยยิ้มให้จริงใจกว่านี้หน่อยได้ม่ะ?" จิเคตะเบือนหน้าออก พลางคว้าฟางมาเคี้ยวไม่ให้ปากว่าง จะได้ไม่กล่าวคำผสุทวาจาออกไป แทนที่ซาไอจะตกใจในผู้อ่านตาตนออก กลับยิ่งยิ้มเผยให้เห็นกระบี่แห่งอุดมการณ์ที่ตนเองซ่อนเอาไว้อีก
"ฉลาด.." เธอพึมพำชม พลางรินน้ำชาที่วางอยู่กับพื้นขึ้นดื่ม แววตาของเธอเป็นประกายจนคู่สนทนาถึงกับสะดุ้ง เซอิจิที่พยายามทำท่าให้สงบที่สุดเพื่อที่จะไม่มีใครสังเกตว่าตนเองสนใจคำสนทนามากแค่ไหน แล้วคำสนทนาที่เขาต้องการฟังก็เริ่มขึ้นหลังจากหญิงสาวนั่งคุกเข่าอย่างสำรวมแล้วประสานไว้ที่หน้าตัก
"ข้ามาที่นี่เพื่อสอบถาม!!!" หญิงสาวแจ้งประสงค์อย่างสงบเสงี่ยม จิเคตะยิ้มเยาะ
"ข้ามีอะไรที่เจ้าไม่รู้อีกเล่า? แม่สาวอัจฉริยะจอมเจ้าเล่ห์" จิเคตะถากถาง ซาไอไม่โกรธซ้ำยังยิ้มยวนมากขึ้นอีก
"ข้าขอรับคำชม
คำหลังด้วยใจ" เธอเสริมก่อนที่จะจิบน้ำชาอีก
"ข้าตระหนักมาตลอดว่าคำนั้นเป็นนิยามของข้า คำว่าอัจฉริยะสมควรนำไปใช้กับท่านเซอิจิจะดีกว่า" เธอชมชายอีกคนด้วยความจริงใจ เซอิจิถึงกับออกปาก
"จะคุยก็คุยเถิด ไม่มีความจำเป็นที่ต้องวกมาหาข้า" ราชาหนุ่มเบือนหน้าไปแอบยิ้ม ซาไอยังเตรียมไต่ถามนักโทษเชลยผู้มีดีกรีเป็นอดีตพระอาจารย์ต่อไป
"มีอะไร?" เจ้านักโทษถามห้วนๆอย่างมีอารมณ์ แม่ทัพหญิงยังไม่เริ่มถาม กลับยื่นน้ำชาให้
"อย่าเพิ่งเดือดเลยท่านนักรบผมแดง" เธอว่า
"ข้าเกรงว่าท่านจะเกิดประสาทแตกเสียก่อนหากท่านอารมณ์ไม่เย็นพอ" แม่ทัพหญิงเปลี่ยนจากท่าคุกเข่าเป็นขัดสมาธิ จิเคตะรับไปดื่มถามมารยาท
"อยู่ในนี้สบายดีหรือเปล่า?" ซาไอนึกถามให้คลอนคลายแต่เจ้านักโทษกลับเม้มปากต่อล้อต่อเถียง
"ไม่สบายคงไม่ได้แล้วกระมัง" แล้วคนพูดเหลือบไปมองเซอิจิ
"ในเมื่อท่านเซอิจิลงทุนมาดูแลข้าทุกวี่ทุกวัน ไม่สบายคงสะเทือนหทัยลูกศิษย์" นักโทษหุบปากลง วจีสอดเสียดเพิ่งออกไป จับความได้ว่า เซอิจิให้ความสนใจเขามาก ซาไอนั้นไม่มีความสำคัญเอาเสียเลย เมื่อเทียบกับเขา ประโยคจิตวิทยานี้ได้ผล ซาไอชะงักไปชั่วครู่ แต่เมื่อระงับอารมณ์ได้ก็หันมาดำเนินธุระต่อ
"ข้ามาถามเรื่องอิจิว!!!" แม่ทัพวัยยี่สิบกว่าเข้าธุระเสียตรงๆ เพื่อเลี่ยงคำถากถางของโจรภูเขากำมะลอ จิเคตะเงยหน้าสบตาโจทย์อย่างตะลึงงัน แล้วก็กลับไปขมวดคิ้วอีกครั้ง
"เรื่อง?"
"ไม่ต้องห่วงข้าไม่มาถามว่าเขามีจุดอ่อนอะไรหรอก
" ซาไอยิ้ม
"จะว่าไปแล้วก็อยากถามเหมือนกันแต่เจ้าคงไม่บอก เอาเป็นว่าข้าขอถามนิสัยส่วนตัวของคนที่ชื่ออิจิวเสียหน่อยก็แล้วกัน" ขุนศึกสาวยิ้มแย้มหลังปรารภเสร็จ จิเคตะยิ้มน้อยๆ
"ส่วนตัวเรอะ!!!" เขาเยาะ
"ท่านน่าจะวิเคราะห์ให้ดีเสียก่อนน่ะว่าข้าเจอกับเขาหลังจากที่เขาไปอยู่กับองค์ราชินีมิโดริแล้วข้าก็มาอยู่กับกองโจร สรุปว่าเราไม่ได้เจอกันว่างั้นเถอะ!!!" นักโทษสูดลมหายใจอย่างเป็นต่อ
"มันก็ไม่แน่" ซาไอดักคอ
"อิจิวเป็นคนดังในค่ายโจร มันจะเถรตรงขนาดที่ว่าเจ้าไม่รู้อะไรแม้แต่นิดเดียวเลยเรอะ!!" หญิงสาวติง
"ถ้าข้ารู้มีเหตุผลอะไรที่ต้องบอกเจ้า?" จิเคตะแยกเขี้ยว
"อ้อ!! ไม่มีหรอก" ซาไอเลิกคิ้วอย่างสบายอารมณ์
"แต่ข้ากล้าพนันเลยว่าเจ้าอยากบอกเรื่องของอิจิวใจจะขาดอยู่แล้วใช่ไหม?" หญิงสาวว่า ทั้งสองจ้องตากันชั่วครู่ จิเคตะเป็นคนหลบตาก่อน เขาหันไปพูดกับเซอิจิ
"ออกไปก่อนเถอะขอรับ" เขาว่า
"ข้าอยากคุยกับผู้หญิงเจ้าเล่ห์คนนี้เสียหน่อย"
"แต่
"
"วางใจเถอะขอรับ ข้าถูกล่ามไว้อย่างนี้" จิเคตะชูโซ่ที่พันธนาการไว้ให้ดู
"และถ้าจู่ๆนางเกิดชักมีดจะปาดคอข้า ข้าจะร้องดังๆเลย" จิเคตะยิ้มให้เซอิจิ ราชนุกูลหนุ่มถอนใจแล้วพยักหน้ารับคำ ก่อนที่จะออกไป ทั้งสองรอจนแน่ใจว่าอยู่ในระยะที่บุคคลที่สามจะไม่ได้ยินตนเองพูดแล้ว จิเคตะจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
"เราคุยกันถึงไหนแล้วน่ะ?"
"อยากบอกใจจะขาด!!!" ซาไอเตือนความจำ
"อ้อ!! ใช่ๆ" จิเคตะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
"นี่ล่ะต้นเหตุที่เจ้ากล้ามาถามข้าใช่ไหม? ทั้งที่เราเคยเป็นปรปักษ์กัน ไม่สิ! ตอนนี้ก็คงยังเป็นอยู่"
"ถูกต้อง" ขุนศึกรับคำ
"เจ้าจะพูดเสียงเองหรือให้จิ้งจอกตัวนี้พูดล่ะ"
"ใครเริ่มก็ต่อสิ!!!" บุรุษที่ถูกพันธนาการไว้ผายมือออก จอมทัพหญิงยิ้มด้วยมุมปากพลางลุกยืนแล้วไพล่มือไว้ที่หลัง
"เจ้าเคยได้รับหน้าที่ให้เป็นอาจารย์ท่านเซอิจิงั้นก็ต้องเคยเป็นคนโปรดของมิโดริมาก่อนสิน่ะ!!!"
"กรุณาเรียกนางด้วยถ้อยคำสุภาพ" นักโทษวางมือลงบนหัวเข่า
"เรียกนางว่าราชินี นางคือผู้เสียสละในสายตาข้า"
"อืม..ได้สิ" ผู้อยู่ในอิริยาบทยืนรับคำ
"แม้มันจะกระดากปากข้าไปหน่อยก็ตาม"
"เจ้า
"
"ช้าก่อนท่านนักรบ ข้าไม่อยากให้เจ้าใช้เพลงดาบล้างนรกที่นี่หรอกน่ะ"
"ข้าแต่เพียงวิเคราะห์ได้ว่าท่านคงแค้นอิจิวที่แย่งตำแหน่งท่านมา ฉะนั้นท่านคงไม่รังเกียจดอกน่ะ หากข้าจะเสนอตัวกำจัดให้" ผู้ยืนอยู่ค้อมกายเล็กน้อย ใบหน้าหมดจดบัดนี้ละเลงไปด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ หลังจากผู้เรียนวิชาอาวุธตอบตกลงที่จะให้เธอแก้แค้นให้ ความแค้นนั้นไม่เข้าใครออกใคร รวมทั้งความริษยา ซาไอใช้จิตวิทยาสันดานดิบมนุษย์ข้อนี้ในการหลอกล่อให้จิเคตะคายข้อมูลออกมา
|