|
การตายของมิโดรินั้นเกิดขึ้นรวดเร็วนัก เป็นการตายที่นางเลือกด้วยตนเอง จากการเล่าของเดเอคิและจิเคตะ มิโดรินั้นขอใส่เสื้อผ้าครั้นตนยังเป็นราชินี ซึ่งทั้งสองก็ยอมให้ ในตอนแรกก็ไม่มีอะไร นางเดินไปหน้าศาลาหินอ่อนอย่างสง่างามและนั่งลงที่นั้นเป็นเวลาเกือบชั่วโมง จนนางออกเดินอีกครั้งไปยังอุทยาน พลางเดินชมต้นไม้ทุกต้นที่มีอยู่ มองดอกไม้อย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่เป็นนานสองนาน พวกเขาทั้งสองก็เฝ้าดูไม่ได้ห่าง จนกระทั้งนางเดินกลับมายังมายังศาลาหินอ่อนอีกครั้ง แล้วนั่งดูอะไรบนท้องฟ้าสักพัก พลางลุกขึ้นกางแขนออก แล้วตะโกนว่า
'ข้าคือราชินีตลอดกาล!!!' ครั้นนั้นเหล่าเดเอคิและจิเคตะจึงสังเกตได้ถึงความผิดปกติ แต่สายไป มิโดริตะโกนคาถาสั้นๆ แล้วชักมีดที่นางเอามาไหนไม่รู้แทงที่ลำคอ ทะลุคอหอยจรดท้ายทอย ล้มลงสิ้นใจตายตรงนั้นเอง!!!
นี่คือบทสรุปของคนที่จะเป็นราชินีตลอดกาล
การทำอัตวิบาตกรรมคือเส้นทางที่นางเลือกเอง
.
การทำร้ายซาไอเป็นผลพลอยได้อย่างหนึ่งของนางด้วยเช่นกัน
เซอิจิไม่ได้จัดพิธีกรรมอะไรมากมาย แต่เขาได้แสดงความกตัญญูให้คนที่เคยเลี้ยงเขา แม้ว่าจะไม่ดีเท่าไรก็ตาม โดยการเก็บศพนางเอาไว้ เพื่อกลับไปฝังยังแผ่นดินซูคังที่นางอาศัยอยู่เป็นเวลานาน
ความโศกเศร้ามาเยือนเขาอีกครั้งเมื่อไม่มีทางจะแก้ให้ซาไออีกแล้ว ซาไอนั้นแม้จะค่อนข้างชื่นชอบเซอิจิพอสมควร แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นรัก เธอแค่คิดว่าเซอิจิเป็นคนดี น่าพึงพาได้ แต่เธอก็ยังสนิทกับมาโซยะมากกว่าอยู่ดี(ซาไอตอนนี้ไม่ค่อยชอบคนเคร่งเป็นรูปปั้นเท่าไร)
ส่วนบาดแผลที่เธอได้จากการตกม้านั้น ไม่มากมายนัก เพียงแต่คิ้วแตกกับแขนเดาะเท่านั้น ส่วนเจ้าคุโระสักพักมันก็ตื่นขึ้นมา แล้วก็งงๆว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ไง? แล้วก็เดินท่อมๆกลับคอกมาเอง สรุปว่าเหตุการณ์นี้จบลงไป ทางที่จะให้ซาไอความทรงจำฟื้นคืนนั้นคงต้องพยายามกันเอง
กล่าวถึงพระนางฮิโตมิ ทรงกลับมาถึงนากิหลังจากเกิดเหตุการณ์โศกเศร้าไม่นาน สิ่งแรกที่พระนางทำคือการเข้าเยี่ยมซาไอ และโควตะก็ได้บอกข่าวร้ายให้พระนางฟัง
ซาไอที่สูญเสียความทรงจำถูกนำเข้ามาพบ แล้วหญิงสาวก็ไม่สามารถจำบุพการีอันเป็นที่รักของเธอได้ แต่เธอก็จดจำอย่างรวดเร็วถึงลักษณะของพระนางฮิโตมิ เช่นเดียวกับที่เธอจดจำลักษณะของคนอื่นๆ เธอจดจำอย่างรวดเร็วถึงความอบอุ่นที่มีอยู่ในตัวของพระนาง เพียงไม่นานที่เจอกัน ซาไอก็เกาะพระนางฮิโตมิแจราวกับเป็นแม่นกกับลูกนก และพระนางฮิโตมิก็มาพักที่เดียวกับโควตะ
เนื่องจากตำหนักเก่าของพระนางทรุดโทรมน่าดู คงต้องรออีกจนกว่าจะบูรณะเสร็จสิ้น ราชินีฮิโตมิที่แสนอ่อนโยนนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว โดยมีซาไอประกบอยู่ข้างๆ เธออ้อนประจบราชินีอยู่ตลอด จนกระทั้งราชินีออกอุบายให้เธอไปร้อยลูกไม้สวยๆให้พระนางดู เธอจึงออกไป พร้อมกับเหล่านางกำนัล ที่ยินดีไม่แพ้กันของการเสด็จกลับ ในที่สุดก็เหลือเพียง 3 ร่างในห้อง
"ท่านนี้ ท่านเซอิจิสิน่ะ แหม
ทรงโตขึ้นมากจากเดิมขึ้นมากทีเดียวเพค่ะ
" ราชินีฮิโตมิตรัสต้อนรับอย่างอบอุ่น
"ขอบพระทัยพะยะค่ะ ราชินี
หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยที่ไม่สามารถปกป้องซาไอได้เท่าที่ควร
" ราชินีฮิโตมิโบกมือ
"ไม่หรอก
ท่านได้ทำสุดความสามารถแล้วนี่น่ะ
แล้วมิโดริก็เอาจริงเสียจริงๆ อนิจจา ถ้านางยังอยู่ข้าอาจช่วยอะไรได้บ้าง
" พระนางทรงกล่าวอย่างนุ่มนวล
"อย่างไรก็ดีการนำสิ่งที่ผ่านไปแล้วมาเอ่ยอย่างนี้ไม่ดีหรอกเพค่ะ รั้งแต่จะให้เสียใจเปล่าๆ
ทรงทำตามสิ่งที่ท่านสมควรทำต่อไปเถิด
ข้าคิดว่าวันหนึ่งใจนางต้องกลับมาอยู่กับท่านอย่างแน่นอน" พระนางยิ้ม
"ทรงไปดูนางหน่อยเถอะเพค่ะ
ข้าอยากรู้จริงๆว่านางจะร้อยลูกไม้ได้สวยเท่านางคุยให้ข้าฟังได้หรือเปล่า? ซาไอเป็นเด็กดี นางเป็นเด็กฉลาดทันคน เรียนรู้อะไรได้เร็ว คิดว่าตอนนี้นางคงกำลังคิดลายอยู่
พระองค์เป็นคนมีศิลปะเพค่ะ ท่านเซอิจิ
เออ
ราชาเซอิจิสิน่ะเพค่ะ
อืม
ทรงเป็นคนมั่นคงแน่วแน่ต้องเป็นผู้ปกครองที่ดีแน่ๆ ข้าคิดว่าซาไอที่รักของพวกเราคงกำลังหงุดหงิดแน่ๆถ้าคิดลายแปลกๆสวยๆไม่ออก ต้องทรงเป็นคนไปช่วยนางคิดจะดีกว่า
" ราชินีฮิโตมิตรัสช้าๆ ฟังง่าย ใช้แต่ละคำง่ายๆแต่สบายใจผู้ฟัง โน้มน้าวจิตใจคนได้เป็นอย่างดี เซอิจิลุกขึ้นยืนและถวายบังคมลาออกไป
สุดท้ายก็เหลือ เพียง 2 คน ที่อยู่ในห้อง พระนางฮิโตมิทรงหันช้าๆมาหาโควตะที่มองเซอิจิเดินออกไปนอกประตู
"อา
ตอนนี้ก็เหลือแค่เราสองคนแล้วสิน่ะ ลูกชายตัวดี
" ทรงกวักมือเรียกโควตะ แม่ทัพผู้หาญศึกก็เดินเข้าไปหาพระนางโดยดี
"แม่รู้ไหม? หม่อมฉันได้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแล้วน่ะพะยะค่ะ
" โควตะนั่งลงข้างๆพระนางพลางอวด เหมือนตอนที่เขาอวดตัวหนังสือตัวแรกที่เขาเขียนเป็นให้พระนางดู
"แม่รู้แล้ว เจ้าเก่ง
ลูกเอ๋ย เจ้าเป็นใหญ่แล้ว อย่าได้เหลิงในอำนาจเชียว!!!" ราชินีทรงสอน โควตะยิ้มพลางกุมมือราชินีขึ้นมาจรดริมฝีปากแล้วจับมือพระนางไว้แน่น
"พะยะค่ะ
แม่ ทรงพระวรกายสมบูรณ์ดีแล้วน่ะพะยะค่ะ มือของแม่อุ่นเหมือนเดิมแล้ว
" โควตะเอ่ย ราชินีลูบผมที่ปรกหน้าผากขึ้นให้ แล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
"เจ้าเด็กไม่ดี
" จู่ๆก็ทรงดุ
"เอ๋
หม่อมฉันทำอะไรหรือพะยะค่ะ?" โควตะกลั้วหัวเราะ
"มีข่าวดีแล้วไม่บอกแม่
อย่านึกว่าแม่ไม่รู้น่ะ
มาคุบอกแม่แล้ว สาวน้อยคนนั้นเป็นลูกสาวเจ้าเมืองไรโบเซ็นด้วย ใช่ไหม? อืม
แสบนักน่ะ ทิ้งงานไปปลอมตัวหาเขาเนี่ย?" ทรงแฉทุกสิ่งที่โควตะทำ โควตะยิ้มอย่างอายๆ
"หนอยเจ้ามาคุ
" เขาพึมพำ
"ชื่อ นัตสึกิ พะยะค่ะ น่ารักอ่อนหวานมาก แถมทำอาหารก็เก่ง ฉลาด กล้าหาญอีกด้วย แล้วยังอบอุ่นเหมือนแม่เปี๊ยบเลย!!!" โควตะยังไม่วายชมราชินี
"เอ้อ
เอาเข้าไป รักแล้วอย่าให้เขาคอยนานล่ะ เสร็จเรื่องทางนี้เมื่อไรไปขอเขาเสียล่ะ!!! ตอนนี้เจ้าไปก่อนเถอะ
แม่ขอพักหน่อย
เดินทางทั้งวันเร่งให้ถึง ล้าเหลือเกิน พรุ่งนี้ต้องเข้าเฝ้าด้วย
" ราชินีตรัส โควตะหน้านิ่วทันทีเมื่อกล่าวถึงราชาอิเอยาสึ
"ทรงเข้าเฝ้าเอง หรือมีกระแสโองการ" เขาถามแข็งๆ
"แม่อยากเข้าเฝ้าดูพระอาการ เห็นว่าอ่อนแอไปมาก และก็แปลก คราวนี้มีกระแสรับสั่งให้เข้าเฝ้า" พระนางเอ่ยแล้วทำท่างงกับกริยาที่แข็งกระด้างไปฉับพลันของโควตะ
"เป็นอะไร โควตะ?" โควตะเม้มปากสนิทเพื่อข่มใจก่อนที่จะพูดอะไร
"แม่
หม่อมฉันพูดตรงๆ หม่อมฉันไม่ชอบ 'เขา' แม่ทรงรัก ภักดี ซื่อสัตย์ขนาดนี้ พระองค์ยังไม่เห็น แม่ทรงทำอย่างนี้มาหลายสิบปี ก็ยังไม่ทรงเข้าใจ หากไม่ติดที่แม่ห้าม หม่อมฉันคงกบฏไปแล้ว!!!" สิ้นคำพูดโควตะทั้งห้องก็เงียบกริบไปชั่วขณะ ราชินีฮิโตมิมองโควตะอย่างคิดไม่ถึง
"แม่ไม่นึกว่าเจ้าจะพูดอย่างนี้
" ราชินีเอ่ย "เจ้าโตแล้ว สมควรรู้ว่าสิ่งควรไม่ควร อย่าได้คิด หรือพูดอย่างนี้อีกเข้าใจไหม?" น้ำเสียงเรียบสนิทคล้ายตรัสบอก แต่คนที่อยู่กับพระนางมาตั้งแต่เกิดอย่างโควตะเข้าใจว่า พระนางกำลังกริ้วอย่างมาก โควตะก้มหน้านิ่ง
"ประทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยพะยะค่ะ
หม่อมฉันทูลลา
ขอทรงได้พักผ่อนเต็มที่" เขาพูดรัวๆ และหันหลังออกไปโดยไม่หันกลับมามองราชินี แต่ก่อนโควตะจะก้าวออกจากประตูเขาก็หยุดเสียก่อน พลางหันมามองราชินีฮิโตมิ
"อ้อ
แม่พะยะค่ะ"
"อะไรหรือโควตะ?"
"ราชาทรงตรัสสั่งหาพระองค์เป็นเรื่องที่ 3 ตั้งแต่ก้าวออกจากคุก"
"?"
"เรื่องแรกบอกให้ประหารมิโดริ
เรื่องที่สองตรัสหาท่านเซอิจิ
.
เรื่องที่สามบอกว่าไม่ว่ายังไง
ให้พาพระองค์มาจากเมียวบุงให้ได้" โควตะกล่าว คิดว่าจะได้เห็นรอยยิ้มของราชินีสักหน่อย
"อ้อ
ยินดีจริงๆที่พระองค์ยังคงเห็นข้าเป็น 'เครื่องมือ' ค้ำชูชาติอยู่
" น้ำเสียงของราชินีราบเรียบชนิดฆที่โควตะไม่เคยได้ยิน มันทั้งฝังแน่นด้วยความโศกเศร้าระคนดีใจ น้อยใจ และเคียดแค้น
และแล้วโควตะโควตะก็หันกลับไป ราชินีฮิโตมิมีน้ำตาที่ไหลออกมาจากใบที่นิ่งสงบราวน้ำแข็งในฤดูหนาว เขาปราดเข้าไปซับมันออกจากดวงตาพระนาง
"อย่าร้องสิพะยะค่ะ" เขาปลอบแกมอ้อนวอน เขาเคยเห็นพระนางฮิโตมิร้องไห้ครั้งเดียวตอนที่สมัยเขาเด็กๆ ที่โควตะจมน้ำ พอเขาตื่นมาก็เห็นพระนางน้ำตานองหน้าแล้วกอดร่างเขาร้องไห้ด้วยความยินดี แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ทรงร้องไห้ในฐานะผู้หญิงที่น้อยใจในความรักของสวามี ไม่ใช่ในฐานะราชินีหรือของมารดา ราชินีไม่เคยแสดงอารมณ์ในเรื่องนี้เลย ทุกครั้งที่ใครวิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้หรือโกรธแทนพระนาง พระนางจะไม่ออกความคิดเห็นหรือพูดสิ่งใดเลย และด้วยไหวพริบของพระนาง จะเบนคนอื่นออกจากเรื่องนี้อย่างง่ายดาย
"แม่
ร้องไห้หรือ?" เสียงพระนางสงบนิ่ง เหมือนกับน้ำตาเป็นเพียงหยาดน้ำจากไหนก็ไม่รู้
"พะยะค่ะ
โธ่! อย่าร้องสิแม่ แม่ร้องหม่อมฉันจะร้องด้วยน่ะ รีบหยุดเร็วๆ น้ำตาหม่อมฉันจะไหลแล้ว!!!" โควตะกลั้วหัวเราะกลบเสียงสั่นๆของตัวเอง ไม่ว่าราชินีร้องไห้เพราะอะไร แสดงว่ามันเป็นเรื่องสุดๆแล้ว และโควตะก็จะต้องร้องไห้ตาม ในตอนเด็กๆถ้าเพียงแต่เขาถูกพระนางดุ เขาก็ร้องไห้โฮแล้ว
"แม่ไม่ได้ร้อง
" พระนางปฏิเสธ แต่เมื่อทรงแตะที่ขอบตาก็สัมผัสกับน้ำใสๆ "เอ
แม่ร้องจริงๆด้วยสิเนี่ย
แย่จริงๆ ขอผ้าให้แม่หน่อยสิโควตะ
" โควตะก้าวออกไปหยิบผ้าเช็ดน้ำที่วางอยู่บนแขนเก้าอี้ให้พระนาง ราชินีรับมาและซับเบาๆที่ขอบตา โควตะยังเฝ้ามองราชินีอย่างใกล้ชิด
"ไปพักเถอะ โควตะ" พระนางรับสั่ง โควตะค่อยๆถอยออกไป
"แม่
"
"แม่ดูแลตัวเองได้ ลูกรัก
บอกซาไอด้วยน่ะว่าแม่เสียใจที่ไม่ได้ดูสร้อยคอนางเพราะแม่รู้สึกไม่ค่อยสบาย แต่พรุ่งนี้แม่จะดูให้แน่นอน
" โควตะพยักหน้า แล้วก้าวออกไปขณะที่ราชินีฮิโตมิเสด็จไปยังห้องบรรทมของพระนาง เขาก้าวออกมาจากห้องรับรองส่วนของราชินีฮิโตมิ แล้วปิดประตู
พลางถอนใจกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่และเมื่อลืมตาขึ้น
"พี่โควตะ!!!" ซาไอมายืนอยู่ตรงหน้าโควตะ
"อะไร?" โควตะถาม พลางมองสร้อยในมือซาไอ มันร้อยด้วยลูกไม้สวย เหมือนมืออาชีพ ซ้ำยังตกแต่งได้อย่างสวยงามราวกับเป็นของราคาสูง ทั้งที่เป็นแค่ลูกไม้
"ข้าเอามาให้ท่านฮิโตมิ
เอ๊ย! แม่ น่ะ" เธอเพิ่งจำได้ว่าเวลาอยู่กันกับโควตะหรือราชินีฮิโตมิ สามารถเรียกราชินีฮิโตมิว่าแม่ได้!
"แม่บอกว่าไม่ค่อยสบายอยากพักหน่อย เพราะพรุ่งนี้ต้องเข้าเฝ้า แล้วพรุ่งนี้จะดูให้" โควตะอธิบายน้องอย่างละเอียด แล้วเดินจากประตู
"พี่โควตะ!!!"
"อะไร?"
"พี่เพิ่งร้องไห้เหรอ?"
"
"
"นี่!!!"
"ไม่ได้ร้อง!!! ผู้ชายจะร้องไห้ได้ไงเล่า" แล้วโควตะก็เพิ่งคิดได้ พระนางฮิโตมิคงต้องร้องไห้อยู่แน่ๆเลย
ภายใต้แสงจันทร์นวล น่ากลัวว่าคนที่เข้มแข็งที่สุดในโลกของเขาต้องร้องไห้อยู่แน่ๆ
. . . . . .
ในเช้าของวันรุ่งขึ้น ราชินีฮิโตมิตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า เพื่อแต่งตัวเพื่อเข้าเฝ้า พระนางค่อยๆบรรจงใส่ชุดของพระนาง มันเป็นชุดที่เรียบง่ายแต่สง่างาม เครื่องประดับนั้นไม่มีอะไรมาก นอกเสียจากต่างหูทองรูปหงส์ประดับนิลและทับทิมที่เป็นของขวัญแต่งงานที่พี่ชายและน้องชายของพระองค์ลงทุนเดินทางไปต่างแคว้นเพื่อซื้อมาให้พี่สาวหรือน้องสาวคนเดียวที่กำลังจะแต่งงานเมื่อหลายสิบปีก่อน ทรงเก็บไว้อย่างดี เพราะทุกครั้งที่ใส่มันพระนางจะได้กลิ่นอายของพี่น้องที่คุกรุ่นอยู่เสมอ ยังมีสร้อยงาช้างที่เหลี่ยมอักษรด้วยทองเป็นชื่อพระนาง ทรงได้มาเมื่อโควตะและซาไอไปรบเมื่อหลายปีมาแล้ว และพบช่างฝีมืออยู่ในเมืองนั้น จึงจ้างทำและนำมาเป็นของขวัญ
ส่วนของที่รับพระราชทานจากราชาอิเอยาสึนั้น พระนางไม่เคยทรงนำมาใช้เลยนอกเสียจากแหวนแต่งงาน ของที่ได้มา หากไม่ได้ให้ด้วยใจนั้น ก็ไม่ทรงนำออกมาใช้ แม้ราคาแพงเท่าใดก็ตาม แต่ก็ไม่เคยทิ้ง ทรงเก็บไว้ทุกชิ้นเพียงแต่ไม่เคยนำออกมาใช้เท่านั้นเอง
เสียงหอบดังขึ้น แต่ถูกกลบด้วยเสียงวิ่งเสียหมด นามิ(นางกำนัลของพระนางฮิโตมิ : คนเขียน)โผล่เข้ามาในห้องพลางตะกุกตะกักขออภัย
"เป็นสาวเป็นนางเวลาเดินอย่าให้มีเสียงสิ
นามิ" ทรงตรัสเรียบๆ
"ข..ขออภัยเพค่ะ
.ห
หม่อมฉันตื่นสาย" คนเดินเสียงดังแก้ตัว ไม่มีใครในวังเดินเงียบเท่าราชินีอีกแล้ว ก็ทรงเดินเบาเหมือนกับแมวย่อง
"
"
"ก็น่าตื่นสายเหมือนกันล่ะ
ฟูมากิโอะเพิ่งกลับจากรบไม่ใช่หรือ? คงคุยกันยาว" ว่าจบนางกำนัลก็หน้าบึ้ง
"ก็ตานั้นสิเพค่ะ
ปล่อยให้หม่อมฉันนอนเพลิน
ไม่ยอมปลุก ยังบอกอีกว่าหม่อมฉันเหนื่อย!!! ทำให้หม่อมฉันมาสาย
" ฟังคนบ่นไปราชินีฮิโตมิก็ส่ายหน้า
"นามิ! เป็นผู้หญิงให้สามีปลุกได้ยังไงกัน? เรานั้นล่ะ
ต้องปลุกเขา แล้วบ่นนินทาสามีแจ้วๆ ระวังเขามาเจอแล้วจะเรื่องยาว
" ทรงสอนแกมล้อเล่น แต่ถึงล้อเล่นก็ทำเอาหญิงสาวสะดุ้งไปเหมือนกัน แต่ก็กลับมาพูดแก้ตัวต่อ
"ไม่หรอกเพค่ะ
หม่อมฉันรักเขาหรอก ถึงได้นินทา ถ้าหม่อมฉันไม่ชอบตานั้นน่ะ หม่อมฉันจะไม่พูดถึงเขาสักคำเดียวเลย" ราชินีหน้าเศร้า พระนางก็ไม่ค่อยได้พูดถึงราชาอิเอยาสึเหมือนกัน ไม่เคยนินทา ไม่เคยเล่นหัว จะว่าเจอกันแบบธรรมดาก็ยากจะยิ่งกว่าขโมยไข่ในหินเสียอีก
อันที่จริงแล้วราชิอิเอยาสึก็ไม่ใช่คนโง่ แต่เพียงเป็นคนเถลไถล เกียจคร้าน แต่จริงๆแล้วผู้ชายคนนี้เป็นคนที่เข้าขั้นแนวหน้าคนหนึ่งของอาณาจักร ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ขึ้นเป็นราชา
และถ้าเป็นคนโง่ มีหรือ? จะยอมให้ราชินีฮิโตมิเก็บเด็กไม่รู้หัวนอนปลายเม้าที่ไหนไม่รู้มาเลี้ยง ถ้าไม่ทรงมองเห็นแววมาก่อน
คนที่โง่เง่านั้นคงไม่สู่ขอเจ้าหญิงจากอาณาจักรที่กว้างขว้างระดับเมียวบุงมาเป็นราชินี และเขี่ยคู่แข่งในสมัยนั้นตกรางไปอย่างง่ายดาย
แต่บุรุษนั้นจะฉลาดยิ่งเท่าใด ยามโง่ก็ยิ่งโง่มาก ใคร่หลงเสน่ห์หญิงได้อย่างง่ายดายมากขึ้นเท่านั้น
ขณะที่นามิกำลังทำผมให้กับราชินี พระนางทรงหวนคิดไปถึงคำพูดของพี่น้องก่อนที่จะมาที่นากิ
'พี่ยอมรับไม่ได้ น้องรอง
มันหยามเกียรติน้องขนาดนี้ยังยอมมันอีกหรือ? รู้ไหม? มันหยามถึงเกียรติเมียวบุงอีก!!!' ฮาโตยามะพี่ชายคนโตในพี่น้อง 3 คน ดำรงตำแหน่งกษัตริย์แห่งเมียวบุงคัดค้านสุดตัวเมื่อฮิโตมิทูลลากลับนากิ
'แต่พี่ใหญ่เพค่ะ
น้องเป็นราชินีของที่นั้น น้องต้องกลับไปเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน' พระนางยังยืนยันแข็งขัน ฮาโตฮิเดะน้องคนเล็กของราชินีนั่งอยู่ระหว่างพี่ทั้งสองลุกขึ้นพูดบ้าง
'อย่าเถียงกันเลยพะยะค่ะ' เขาลุกขึ้นห้าม
'น้องเล็กเจ้าก็ช่วยพี่พูดบ้างสิ น้องเห็นด้วยกับพี่ไม่ใช่หรือ? พี่เป็นราชินีของที่นั้นน่ะ
ยังไงๆพี่ก็ต้องกลับไป!!!' ราชินียืนยัน' ฮาโตฮิเดะขุนนางผู้ใหญ่ส่ายหน้า
'หม่อมฉันไม่ได้ห้ามไม่ให้ทรงกลับนากิ แต่อย่านึกว่าหม่อมฉันไม่รู้แกวพี่รอง
พี่จะกลับไปหาไอ้แก่นั้นใช่ไหมล่ะ? หม่อมฉันจะให้พี่กลับ ต่อเมื่อมันมาตามพี่ด้วยตัวเอง!!!!'
'อย่าพูดถึงสวามีของพี่อย่างนั้นน่ะ!!! น้องเล็ก!!!' ราชินีฮิโตมิทรงดุกลายๆ
'เจ้าเป็นคนเก่ง กลับมาอยู่กับเราดีกว่าไปอยู่กับคนที่ไม่รู้ค่าของน้อง' ราชาฮาโตยามะหว่านล้อม
'หม่อมฉันอภิเษกออกไปแล้ว กลายเป็นคนนากิไปแล้ว!!! ไม่กลับไม่ได้' ราชินีอ้าง อีกสองคนมองหน้ากันอย่างหมดหวัง
'รู้อย่างนี้
พี่ไม่ยอมให้เสด็จพ่อยอมให้เจ้าแต่งงานเข้านากิตั้งแต่แรกก็ดี
' ราชาฮาโตยามะตรัส แต่กระนั้นพระนางก็หาทางกล่อมพี่ชายน้องชายทั้งสองคนจนยอมให้พระนางกลับนากิจนได้ แม้จะใช้เวลานานแต่พระนางก็รีบเร่งเดินทางเพื่อมาให้ถึงนากิ เพื่ออะไรน่ะหรือ? ก็มาพบสวามีของพระนางน่ะสิ แม้ว่าเขาจะไม่ต้องการพบพระนางก็ตาม
"พระองค์น่าอิจฉาจริงๆเลยเพค่ะ อายุมากแล้วพระเกศายังดำอยู่เลย" นามิลูบปอยผมเงาดำของราชินีหลังจากทำผมเสร็จ ราชินียกมือขึ้นลูบผมตนพลางยิ้มรับคำชมของนางกำนัลสาว
"ข้าจะไปเข้าเฝ้าแล้ว
ช่วยหยิบรองเท้าที่วางไว้หน้าประตูให้ข้าหน่อย นามิ
" พระนางรับสั่ง นามิก้าวออกไปหยิบรองเท้ามาให้กับราชินี ทรงรับไปใส่พลางก้าวออกจากห้อง มุ่งหน้าไปเฝ้าราชาอิเอยาสึ
ทางเดินระหว่างไปเข้าเฝ้า ไม่หรูหราฟูฟ่าเหมือนที่เคย เส้นทางที่ใช้เข้าสู่พระตำหนักของราชาผ่านทหารหลายคน พวกเขาต่างหยุดทำความเคารพพระนาง องค์ราชินียิ้มให้กับการทำความเคารพแล้วก้าวเดินอย่างสง่างามไปยังห้องที่กษัตริย์แห่งอาณาจักรพำนักอยู่ เท้าหยุดเมื่อมาถึงหน้าห้อง ทรงยืนทำใจก่อนที่จะเสด็จข้ามธรณีประประตูข้ามเข้าไป
"ท่านฮิโตมิ" ใบหน้าขาวราวไข่ไก่ น้ำเสียงฟังดูคล้ายดัดจริตเป็นของขันที เผยอหน้าออกมาเพื่อพบราชินี
"กราบทูลด้วยว่าฮิโตมิมาเข้าเฝ้า
" ทรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ขันทีก้มศรีษะรับ
"ทรงรอสักครู่น่ะฮ้า~" คนครึ่งชายถวายบังคม และหายเข้าไปภายใต้ม่านบาง ราชินียืนรอสักครู่ ขันทีคนเดิมก็ออกมา
"ทรงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า
" ราชินีใช้มือเลิกม่านแล้วก้มศรีษะลอดใต้ม่านเดินเข้าไป
สิ่งแรกที่ทรงมองเห็นคือร่างหนึ่งที่นอนเอกเขนกอยู่บนที่บรรทม ราชินีคุกเข่าลงถวายบังคม
"ฮิโตมิถวายบังคมฝ่าบาท หม่อมฉันมาเข้าเฝ้าแล้วเพค่ะ
" สิ้นคำราชินี ร่างลางๆที่นอนอยู่บนเตียง ก็โบกมือไล่เหล่าขันที
เมื่อขันทีออกไปในห้องก็เงียบเชียบถนัด
ราชินีทรงก้มหน้าตลอดตั้งแต่คุกเข่า
"ไม่ได้เจอกันนานเลยน่ะ
ฮิโตมิ สบายดีหรือ?" ราชินีเม้มปากเน้นก่อนตอบ
"เพค่ะ
ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วง" ราชินีกล่าว
"
." ทั้งสองเงียบไปเป็นเวลานาน คล้ายฝ่ายถามจะพยายามรวบรวมอะไรบางอย่าง
"อ่า
เจ้ารู้ใช่ไหม? ว่าข้ามีจุดประสงค์อะไรที่เรียกเจ้ามา
เจ้าเป็นคนฉลาด น่าจะรู้ถึงจุดประสงค์ของข้า
" เสียงตรัสจากราชา ราชินีฮิโตมิยังคงก้มหน้านิ่ง พระนางคิดว่าพระนางอาจจะ 'รู้' แต่ก็ไม่เสี่ยง
"โปรดประทานอภัย
หม่อมฉันโง่เขลา ไม่ทราบจุดประสงค์ของพระองค์ โปรดชี้แจงด้วยพระปรีชา
" ราชินีฮิโตมิค้อมพระวรกายลงต่ำยิ่งเสียกว่าเดิม
"เข้ามาใกล้ๆข้าหน่อยสิ ฮิโตมิ
ขอข้าดูหน้าเจ้าหน่อย
" สิ้นรับสั่ง ราชินีก็ลังเลสักครู่ ก่อนที่จะสาวเท้าเข้าไปหาราชา แล้วก้มหน้านิ่ง มือหยาบของเพศบุรุษเอื้อมออกมา เชยใบหน้าของราชินีขึ้น
"โควตะเล่าให้ข้าฟัง
เจ้าอยู่เมียวบุงมารึ?
" พอปากถามจบ มือก็พลิกใบหน้าพระนางสำรวจจนทั่ว
"เพค่ะ
" ราชินีตอบพลางเก็บงำความสงสัยเอาไว้
"ฮึๆ
ข้าคงปิดเจ้าไม่พ้นสิน่ะ" ทรงตรัส
"เอาสิ
เจ้าคงกำลังสงสัยเกี่ยวกับมือข้าใช่ไหม?" ราชาอิเอยาสึเอ่ย พลางปล่อยมือออกจากใบหน้าราชินีแล้วกลับมามองมือตนเองที่ ที่แตกกร้านจนน่ากลัว ราชินีฮิโตมิหรี่ตามองอย่างพินิจ
"เพค่ะ
" ราชินียอมรับ ราชาแห่งนากิคนนี้เป็นคนที่จับทางไม่ถูก บทจะฉลาดก็ฉลาดรอบรู้ไปเสียหมด บทจะโง่ก็ทำได้ราวฟ้าแกล้ง
"มือของพระองค์แม้เคยกร่ำศึก
แต่ก็หลายสิบปีมาแล้ว ไม่น่าจะยังหยาบกร้านอยู่เช่นนี้" ราชินีฮิโตมิเอื้อมมือไปจับมือของสวามีเอาไว้
"อา
อย่าได้จับมันเลย มันไม่คู่ควรกับเจ้าหรอก
" ทรงยกมือคืน
"ในตอนแรกข้าก็คิดจะบอกเรื่องนี้แก่เจ้า แต่ข้าคิดว่าผู้หญิงที่รักประชาชนอย่างเจ้าต้องไม่ยินยอมอย่างแน่นอน
" ราชินีฮิโตมิขมวดคิ้ว
"เรื่องอะไรกันเพค่ะ?" ราชินีถาม
"ฮึๆ ข้าเป็นคนเหี้ยมโหดเจ้าก็รู้ แม้ว่าข้าฉลาดแค่ไหน
แต่ก็เป็นคนเลว ข้ามีแผนบทหนึ่งที่จะทำให้อาณาจักรยิ่งใหญ่ แต่ต้องแลกมาด้วยชีวิตคนมากมาย
แต่ข้าก็มีแผนที่จะทำมันเพื่ออนาคตที่รุ่งเรืองยาวนาน"
"เรื่องอะไรเพค่ะ
พระองค์หมายความว่าอะไร?" ราชินีถามขึ้นอย่างสงสัย ราชาอิเอยาสึโบกมือให้ขันทีคนเดิมที่เจอพระนางฮิโตมิปิดประตูอย่างแน่นหนา ราชินีมองอย่างุนงง และยิ่งตกใจไปยิ่งกว่าเมื่อกริยาที่เหมือนของคนป่วยของกษัตริย์แห่งนากิหายไปปลิดทิ้ง กษัตริย์อิเอยาสึที่มีอาการป่วยเมื่อสักครู่ลุกขึ้นนั่งเหมือนคนธรรมดา และดูเหมือนจะทรงมีสุขภาพแข็งแรงดี จะว่าไปราวแข็งแรงเหมือนพวกขุนพลด้วยซ้ำ!!!
"มานั่งข้างข้าเถอะ ฮิโตมิ
เรื่องนี้ยาวมาก หากเจ้าคุกเข่าอยู่อย่างนั้นคงเมื่อยแย่ทีเดียว" ราชาอิเอยาสึตรัสด้วยพระสุรเสียงสดใส ไม่มีคราบของคนป่วยแม้แต่น้อย!!! ก่อนที่จะจับมือของราชินีฮิโตมิขึ้นมานั่งข้างๆตน ขันทีคนเดิมเดินเข้ามา แต่ครั้งนี้ไม่มีแววของผู้เป็นขันทีเลยแม้แต่น้อยเช่นกัน
"ก่อนอื่นข้าขอแนะนำ ขันทีฮัวจิ
หรือฮิยาโมโตะ ขุนพลและที่ปรึกษาข้างกาย รวมถึงนินจาของข้าตลอดหลายสิบปีนี้
เขาต้องปลอมตัวเป็นขันทีเพื่อไม่ให้เป็นที่สงสัย
ฝีมือการแสดงของเขาหลอกซาไอและโควตะลูกเจ้าได้ทีเดียวเชียวน่ะ ฮึๆ" ราชาอิเอยาสึกลั้วหัวเราะ
"เร็ว!!! ฮิยาโมโตะ
ทักทายราชินีของข้าหน่อยสิ!!!" ร่างของฮิยาโมโตะคุกเข่าลง
"ถวายบังคมราชินีพะยะค่ะ!!!" เขายิ้มกริ่ม ฮิโตมิเห็น ฮิยาโมโตะนั้นอายุใกล้เคียงกับพระนาง ดูจะแก่กว่านิดหน่อย เป็นผิดคล้ำ นวดเคราโกนเกลี้ยงเกลาเพื่อปลอมเป็นขันที น้ำเสียงของเขาตอนนี้ กับที่แสดงเป็นขันทีเมื่อสักครู่ต่างกันลิบลับทีเดียว
"
" ราชินีฮิโตมิอ้าปากจะถาม แต่บุรุษข้างกายพระนางก็ใช้นิ้ววางเป็นริมฝีปากพระนางอย่างนุ่มนวล
"จุ๊ๆ อย่าเพิ่งถามอะไร พอข้าเล่าจบแล้วค่อยถาม
แต่พอเล่าจบเจ้าคงไม่มีอะไรจะถามข้าแล้วล่ะ
" ว่าแล้วก็ทรงโอบรอบสะเอวของราชินีและลูบเรือนผมของพระนาง
"แผนๆนี้ของข้านั้นยาวมาก
เป็นแผนที่ข้าวางต่อเนื่องมานานนับสิบๆปี แผนนี้นั้นเริ่มตั้งแต่เจ้าพบโควตะเป็นครั้งแรก
ตอนนั้นข้ากับเจ้าเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นาน ข้าชอบเจ้ามากเชียวล่ะ ทั้งนุ่มนวล น่ารัก สง่างาม มองดูดีไปหมด ข้าสั่งให้คนสร้างตำหนักให้เจ้าใหญ่โต อุทยานงามมากมาย แต่ตอนนั้นข้ายุ่งกับกบฏเล็กๆน้อยๆในเมืองในคราบของกษัตริย์เสเพลทำให้ไม่ค่อยได้ปลีกตัวออกมาหาเจ้า เจ้าก็ออกไปเยี่ยมราษฎรตามภาษาราชินีที่ดี จนวันหนึ่งข้ามาหาเจ้า และก็พบกับโควตะ
เจ้าตั้งชื่อให้เด็กคนนั้นว่าโควตะ เด็กที่มีผมสีม่วงที่เจ้าพากลับมา ข้าจ้องมองเด็กคนนั้นเนิ่นนาน แผนการดีๆก็โผล่เข้ามาในหัวของข้าอย่างรวดเร็ว
"ข้าถามเจ้าว่าไปเอาเด็กคนนี้มาจากไหน? เจ้าก็บอกว่าเป็นเด็กกำพร้าที่เจ้าพบและพากลับมา ตอนนั้นเจ้าคิดว่าข้ารังเกียจโควตะ เจ้ากอดเด็กไว้แน่นและขอร้องให้ได้เลี้ยงเขา ข้ารู้สึกยินดีในแผนของข้า เพราะถ้าได้เจ้าเลี้ยงเขา เด็กคนนี้จะต้องโตขึ้นเป็นเด็กดี เป็นคนอารี รู้จักการปกครองบ้านเมือง และเฉลียวฉลาดอย่างคนเลี้ยงเขาเป็นแน่!!! อีกอย่างข้าเห็นแววในโควตะ เขาต้องโตขึ้นยิ่งใหญ่ ตอนนั้นข้าแกล้งโมโหเจ้าแล้วจากไป ปล่อยให้เจ้าเลี้ยงเด็กคนนั้นตามวิถีทางของเจ้า
"หลายปีต่อมา ซาไอก็เข้ามาอีก เด็กผู้หญิงคนนั้นยิ่งมีแววฉลาดมากกว่าโควตะเสียอีก ข้าจึงให้คนแกล้งไล่เด็กผู้หญิงคนนี้ให้เข้าไปในอุทยานของเจ้า ซึ่งก็ได้ผล
โควตะเจอนางและเจ้าก็เลี้ยงนางอีกด้วย
ข้าหวังให้เด็กทั้งสองอยู่คู่กันเพื่อเป็นกษัตริย์อยู่คู่กัน อ๊ะๆ!! อย่าเพิ่งตกใจ ในตอนแรกนั้นข้าคิดเอาไว้ว่า ข้านั้นเป็นคนขี้เกียจ และเสเพลในสายตาประชาชน ซึ่งข้าจะกู้ชื่อได้ยาก ข้าจะให้พวกเขาเป็นกษัตริย์รุ่นต่อไป ให้พวกเขาแต่งงานกัน ทั้งคู่เป็นคนฉลาดต้องช่วยเหลือกันได้ดีแน่ๆ เพื่อให้มีแต่พวกเขาที่มีสิทธิ์ครองบัลลังก์ ข้าจึงไม่ยอมมีลูกกับใครเลยเพื่อให้พวกเขามีสิทธิ์เต็มที่
ข้าให้พวกเขาโตอย่างเด็กธรรมดาเพื่อเรียนรู้วิถีชีวิต รู้จักลำบาก เพื่อจะได้รู้จักอดออม มัธยัทส์ และใกล้ชิดประชาชน
"เจ้าอาจคิดว่าข้าไม่ได้สนใจทั้งคู่ ได้แต่เรียกใช้เขา แต่ผิดแล้ว!!! ข้าดูทั้งคู่เติบโตมาตลอด เจ้าคุโระม้าของซาไอก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ข้าจัดสรรเป็นของขวัญวันเกิดครบ 14 ของนาง คิดว่าอยู่ดีๆจะมีม้างามๆไปเดินเล่นอยู่ในสวนต่อหน้านางในวันเกิดง่ายๆรึ? ฮึๆ
"ทั้งๆที่อายุยังน้อย แต่ข้าก็ตั้งทั้งสองให้เป็นแม่ทัพ ทรามกลางการคัดค้านของเหล่าขุนนาง ข้าให้พวกเขาหัดปราบกบฏ จนกระทั้งตีอาณาจักร
และข้าก็เลื่อนตำแหน่งให้พวกเขาอย่างรวดเร็ว ให้มีกำลังพลมากๆ เพื่อให้รู้จักปกครองคนหมู่มาก ข้าไม่กลัวว่าพวกเขาจะกบฏ เพราะพวกเขานับถือเจ้า ย่อมฟังเจ้าก่อน
"ขณะเดียวกันข้าก็ทำเย็นชาใส่เจ้า ไม่สนใจเจ้า เลวใส่ประชาชน เพื่อให้พวกเขารังเกียจข้า จะได้ก่อกบฏโค่นล้มข้าและตั้งตนขึ้นเป็นกษัตริย์แทน แต่ข้าประเมินผิดไป
เจ้าคอยปราม คอยห้ามพวกเขาตลอด เพราะเจ้ารักข้า
"ข้าตื้นตันมากฮิโตมิที่รัก อา
ถึงข้าจะคิดอย่างนั้นก็ตามแต่ข้าก็ใจอ่อนไม่ได้ ข้ายังคงแสดงบทโหดต่อไป
"ครั้นแล้วโอกาสที่จะให้พวกเขาสร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ก็มาถึง แผนนี้แม้จะเสี่ยงมาก แต่ข้ารู้ว่าพวกเขาต้องทำได้
"เมื่อข้าได้ยินว่าโดราตะมันเริ่มส่อแววเหลวแหลกและเมียของมันคือมิโดริแสนเจ้าเล่ห์กำลังกุมอำนาจ ข้าก็บัญชาให้เขาไปตีซูคังทันที และพวกเขาก็ทำสำเร็จในเวลาไม่นาน พามิโดริและเซอิจิกลับมาตามคำสั่งของข้า ข้าเห็นมิโดริและนึกแผนอันอันตรายและแยบคายออก ซึ่งแผนนี้ข้าสงสารเจ้ายิ่งนัก
ฮิโตมิ นั้นคือข้าแกล้งหลงใหลในตัวมิโดริ เพื่อแกล้งให้นางขึ้นกุมอำนาจ และให้โควตะกับซาไอมาปราบ จากชัยภูมิและมันสมองของพวกเขาแล้ว
สามารถชนะนางได้ง่ายมาก!!!
"ข้าทำสารพัดวิธีให้นางกุมอำนาจ แม้จะต้องสูญเสียไพร่พลมากแค่ไหนก็ตาม ข้าชั่วมากสิน่ะ!!! แต่หากจะให้พวกเขากลายเป็นวีรบุรุษของบ้านเมืองนั้น มันคุ้มค่า!!!
"มีปัญหาเกิดขึ้นอีก เมื่อคู่รักที่ข้าสร้างมีคนเข้ามาแทรก เซอิจิ! ใจของซาไอคิดเป็นอื่นไปเสียแล้ว ขณะนั้นข้าคิดไม่ตก พอดีมิโดริทูลขอให้ข้าส่งเซอิจิผู้อ่อนแอไปปกครองซูคัง ข้าตกลงทันที ส่งชายผู้เป็นเสี้ยนหนามออกไปที่อื่น
"และแล้วข้าจะปลดเจ้าออกจากตำแหน่ง ใช่แล้ว!!! โทงาริออกหน้าก่อนทันที เขาด่าข้า ฮึๆ ข้าไม่ระคายหรอก ที่ว่า 3 วันให้ออกจากเมืองนั้นน่ะ ข้าก็รู้เห็นเป็นใจช่วยเขาหนีด้วย
"ต่อมาข้าก็เอาเจ้าเข้าคุก
โธ่! รู้ไหม? ใจข้ามันแทบแหลก อยากไปหาเจ้าแล้วคุกเข่าขอขมาเจ้าสักพันครั้งให้กับความเลวของข้า แต่ถ้าข้าทำเช่นนั้น เวลาหลายสิบปีที่ข้าสร้างให้ซาไอและโควตะก็คงแหลกตามไปด้วย!!! ข้าแข็งใจตั้งนางเป็นราชินี และทำให้คุกวางการละหลวมเพื่อให้ซาไอและโควตะมาปรนนิบัติเจ้าได้
"แต่วันหนึ่งพวกเขาก็พาเจ้าหนีไป!!! อันนี้ข้าไม่ว่า ยังดีใจด้วยซ้ำที่เจ้าออกจากขุมนรกได้ แต่ที่ข้าไม่ยอมก็คือการที่ซาไอกลับไปหาเซอิจิและความรักทั้งสองก็ยังแนบแน่นกว่าเดิมเสียอีก แต่สุดท้ายข้าก็ห้ามทั้งสองไม่ได้ พวกเขาทั้งหมดได้กำลังจากเมียวบุง และเข้าโจมตีที่นี่ ซึ่งข้าก็ดีใจแม้ข้าจะอยู่ในคุก แต่ข้าก็มีสายส่งข่าวว่าเป็นอย่างไร ข้ายินดีที่ซาไอและเซอิจิผิดใจกัน แต่ปัญหาระรอกใหม่ก็มาอีกครั้งเพราะโควตะไปพบรักกับธิดาเจ้าเมืองไรโบเซ็นที่นามว่า นัตสึกิ!!! ทั้งคู่ก็หมั้นหมายกัน แล้วโควตะก็จากมา
"กองทัพยังยกมาอย่างไม่หยุดหย่อน ซาไอทำตัวบ้าระห้ำบุกฆ่ามิโดริ ซึ่งข้าภาวนาให้ไม่สำเร็จ เพราะอิจิวยังอยู่ ไม่ว่ายังไงมันต้องสู้ต่อแน่ แต่พวกเขาสุดท้ายก็เอาชนะอิจิวได้ แล้วกำลังของพวกเขาก็ได้สู้กับมิโดริ แต่มิโดริก็ใช้ไสยศาสตร์ที่ข้าคาดไม่ถึง ซาไอโดนของ ในตอนแรกข้าตกใจมาก เซอิจิได้แสดงความสามารถเป็นที่ประจักษ์ให้แก่ทุกคน ในตอนแรกที่ไม่มีใครยอมรับ เริ่มเปิดใจยอมรับความสัมพันธ์ทั้งคู่ และนี่คือสิ่งที่ข้าขอบคุณมิโดริ หนึ่งคือนางยอมเป็นเครื่องมือให้ข้า สองคือทำให้ซาไอลืมเซอิจิ และจากนี่คือเหตุผลที่ข้าเรียกเจ้ามาฮิโตมิ
"
"เดี๋ยว!!!" ราชินีผละออกจากอ้อมแขนของสามี
"จะทรงแยกคนที่ลูกของหม่อมฉันรักหรือเพค่ะ? ไม่ได้น่ะเพค่ะ!!! หม่อมฉันไม่ยอมเป็นอันขาด" ราชาอิเอยาสึลุกขึ้นยืนพลางจูบหน้าผากของพระนาง และพาพระนางกลับไปนั่งบนเตียง
"ไม่ใช่ๆ ฟังก่อนน่ะ
โควตะสามารถรักกับนัตสึกิได้ แต่ฟังก่อนนี้คือแผนขั้นสุดท้ายของข้า นั้นคือจากนี้ข้าจะแกล้งตาย
"
"แกล้งตาย!!!" ราชาอิเอยาสึยิ้มให้สีหน้าตกใจของราชินี
"ตอนที่ข้าอยู่ในคุก
ข้าเฝ้าคิดอยู่นานเหลือเกิน
ว่าควรบอกเจ้าเรื่องนี้ดีหรือไม่? สุดท้ายข้าคิดว่าถ้าเจ้าคิดว่าข้าตายจริงๆ เจ้าต้องทุกข์ระทมอย่างมากเป็นแน่ ฉะนั้นหลังจากนี้ข้าจะแกล้งตาย แล้วข้าจะให้ฮิยาโมโตะพาหนีไปนั้นคือบทสรุปของกษัตริย์อิเอยาสึแห่งนากิบนหน้าประวัติศาสตร์
"
"และนี่คือคำสั่งเสียที่เจ้าต้องทำตาม
เพื่ออนาคตของอาณาจักรของเรา นั้นคือ
จัดให้โควตะแต่งงานกับซาไอเสีย ให้ซาไอเป็นราชินีแห่งอาณาจักร แต่เป็นสามีภรรยาแต่เพียงในนามซึ่งกันและกัน แล้วให้โควตะขึ้นครองราชต่อไป
เขาสามารถรับนัตสึกิเข้ามาเป็นภรรยาได้ ซาไอนั้นจะต้องเป็นราชินีแห่งอาณาจักรเรา ถึงนางไม่ได้เป็นราชินี อย่างน้อยก็อย่าให้นางไปนอกอาณาจักร อย่าให้เธอแต่งออกไปอยู่ซูคัง เราจะเสียบุคลากรยิ่งใหญ่ไปคนหนึ่ง!!! ส่วนเซอิจิปล่อยเขาไป ให้เป็นราชาแห่งซูคังไป
แต่จะให้ดีควรลอบฆ่าเขาทิ้งเพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนาม..ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ข้าให้เจ้าทำต่อ เพราะหลังจากที่เจ้าออกไปจากห้องนี้ ราชาอิเอยาสึจะสวรรคตในวันรุ่งขึ้น!!!" กล่าวจบก็ทรงจุมพิตบนแก้มของพระนางทั้งซ้ายและขวา
"หม่อมฉันไม่เข้าใจ ทำไมต้องอย่างนี้? นั้นลูกของหม่อมฉันน่ะเพค่ะ
" ราชินีฮิโตมิใช้ฝ่ามือดันตนเองออกจากอกของสามี
"ไม่ใช่แค่ลูกเจ้า
ลูกของข้าด้วย พวกเขาเป็นลูกของเราต่างหาก
แม้จะไม่ใช่ลูกแท้ๆของเรา และสิ่งต่อไปนี้เราจะทำเพื่ออาณาจักรนากิของพวกเรา
สัญญาสิฮิโตมิ เจ้าเป็นราชินีของนากิไม่ใช่หรือ?"
"!!!!!" ราชินีผละออกจากอกของสามีที่ไม่ยอมปล่อยพระนาง เรือนผมที่เคยมัดรวบไว้อย่างดีกระจาย อาการตื่นตกใจจนเกือบลืมสำรวมท่าที แต่เมื่อตั้งสติได้ พระนางก็ยืนอย่างสง่างามพลางมองไปทางฮิยาโมโตะ
"ท่านฮิยาโมโตะกรุณาออกไปสักครู่ได้หรือไม่? ข้าขอคุยกับราชาอิเอยาสึสักครู่
" ราชินีตรัสกับนินจาของสามีอย่างสงบ ฮิยาโมโตะหันไปมองทางเจ้านาย ราชาอิเอยาสึพยักหน้ารับคำสั่งของราชินีตน ชั่วพริบตานินจาของกษัตริย์ก็หายไปจากห้อง ทั้งห้องเงียบสนิท ราชินียืนหันหลังให้สวามีและยกมือขึ้นปิดหน้าเพื่อหลบน้ำตา ราชาอิเอยาสึมองราชินีของตนพลางลุกขึ้นเดินเข้ามาหา โอบกอดรอบสะเอวของพระนางแล้วใช้ปลายนิ้วสางไรผมพระนางอย่างปลอบโยน
"จริงๆแล้วข้าไม่อยากให้เจ้าเลือกระหว่างลูกและแผ่นดิน แต่ว่าสิ่งใดสำคัญมากกว่ากันล่ะ?"
"
แผ่นดินเพค่ะ
" ราชินีตอบด้วยเสียงสั่นเครือ
"สภาพการณ์ตอนนี้ไม่เหมือนเดิม ซาไอไม่ได้รักเซอิจิอีก การยกนางให้เซอิจิก็เป็นการบังคับใจนาง
"
"บังคับให้นางแต่งกับพี่ชายตัวเองก็เหมือนกัน
"
"แค่บังหน้า
นางเป็นเด็กฉลาดต้องเข้าใจแน่"
"
" ทั้งสองนิ่งไป ราชินีหันกลับมากอดสวามีตน ราชาอิเอยาสึก็ลูบไรผมพระนาง และจุมพิตที่หน้าผากพระนางอีกครั้ง
"หม่อมฉันเป็นเครื่องมือเหมือนมิโดริ" ราชินีตรัสขึ้นลอยๆ
"ไม่หรอก
พอข้าแกล้งตายและหนีไปกบดานแล้ว ข้าจะส่งข่าวมาบอกแน่ สัญญา
" ราชาใช้นิ้วหยาบกร้านเช็ดน้ำตามเหสี
"แต่ไม่เป็นไร
เพราะหม่อมฉันรักพระองค์ หม่อมฉันรอมาได้หลายสิบปี รอไปอีกก็รอได้
"
"มือที่หยาบกร้านคือการฝึกฝนอาวุธของข้า
ครึ่งในนั้นคือการแนบกับเตาไฟเพื่อลงโทษตัวเองที่ทำผิดต่อเจ้า ยกโทษให้ข้าเถอะนะ"
"หม่อมฉันไม่เคยถือโทษพระองค์เลย
"
"ไม่จริงหรอก เสียงเจ้ากำลังน้อยใจ" ทรงโอบกอดราชินีของตัวเองไว้แนบกายอย่างแนบแน่น
"ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย
พอเราเจอกันอีกครั้ง ข้าสาบานต่อฟ้า
ข้าจะเป็นสามีที่สมบูรณ์"
. . . . . .
หลังจากนั้นราชินีฮิโตมิกลับมายังตำหนักอย่างเดิม ทรงดำรงชีวิตประจำวันอย่างที่เคยจนจบวัน
ในวันรุ่งขึ้นข่าวเสด็จสวรรคตของราชาอิเอยาสึก็มาถึงหูของพระนาง คนที่มาบอกคือโควตะ เขาโอบกอดราชินีเอาไว้เพื่อปลอบโยนนับชั่วโมง ด้วยความกลัวความพระนางจะร้องไห้ เขาพูดปลอบพระนางตลอดเวลา ซาไอตามมาข้างหลัง เธอมาร่วมปลอบโยนราชินีด้วยเช่นกัน จนกระทั้งพระนางต้องบอกให้พวกเขาออกไป ทั้งคู่ลังเลสักครู่แล้วเดินออกไป
เมื่อราชาสวรรคตคนที่จะเป็นราชาต่อไปคือผู้ชาย ซึ่งแน่นอนที่ว่าผู้ที่เหมาะสมในสายของทุกคนคือ โควตะ เขาเป็นทายาทที่ถูกต้องที่สุด ยังมีฝีมือด้านกู้ชาติให้เป็นที่ประจักษ์ ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องให้โควตะครองราชต่อไป
มีแต่เจ้าตัวที่ไม่ยอม เขาต้องการให้ราชินีฮิโตมิเป็นจักรพรรดินีต่อไป แต่ต่อมาราชินีฮิโตมิก็อ้อนวอนให้เขาขึ้นครองราช ทำให้ชายหนุ่มต้องขึ้นเป็นกษัตริย์อย่างช่วยไม่ได้
พิธีแต่งตั้งหลังจากบ้านเมืองสงบ ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่สุด เท่าที่เมืองหลังสงครามจะให้ได้ โควตะขึ้นครองราชทรามกลางเพื่อนร่วมรบ ซาไอได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าหญิงเต็มยศ เซอิจิก็ได้รับตำแหน่งเป็นราชาแห่งซูคังเต็มขั้นเช่นกัน มาคุได้เป็นคนสนิท แล้วราชินีที่โควตะหมายตาเอาไว้ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากนัตสึกิ!!!
|