|
นายทหารฝ่ายอิจิวถูกเรียกให้ถอนกำลังจากเขตอื่นมาหนุนบริเวณป่าเป็นจำนวนมาก ท่านอาจจะสงสัยว่าทำไม? ซาไอไม่สั่งให้รวมเป็นทัพเดียวแล้วบุกทะลวงบริเวณนั้นจุดเดียวให้แตกไปเลย
อย่าลืมสิ กองทัพของอิจิวขึ้นชื่อว่ารวดเร็ว ระบบที่อิจิวจัดถูกจัดให้มาเสริมซึ่งกันและกันอย่างรวดเร็ว หากเดินทัพด้วยทัพใหญ่ย่อมเสียเวลามากกว่าเดินด้วยทัพเล็ก และมีโอกาสเสี่ยงมากกว่า
"ม้าเร็ว" หลายคนสงสัยว่าทำไมไม่ใช้สายลับ เพราะสายลับมักจะนำข่าวมาให้ได้เสมอ แต่ไม่ใช่ข่าวนั้นจะเชื่อได้เต็มร้อยเสมอไป ซาไอจึงไม่เสี่ยงในการนำข่าวที่เชื่อได้ไม่เต็มร้อยมาใช้ในแผนที่ต้องการความแม่นยำอย่างนี้ สรุปว่าซาไอไม่รู้เกี่ยวกับการจัดกำลังของอิจิวเลยและไม่รู้ดีกว่ารู้แล้วมีใจเอนเอียงในการจัดทัพ
การส่งพลทหารแทรกซึมไปทางป่า ไม่ได้มีจุดประสงค์หนีออกไปหลัก แต่เป็นการล่วงฝ่ายอิจิวว่า ทางป่าที่คิดว่าหนียากที่สุด เป็นทางที่กองทัพกู้ชาติหนีออกไป ตรงตามที่คิด อิจิวจัดส่งกำลังมาที่หน่วยป่าทันที ทำให้ส่วนอื่นๆพร่องทหารไป ทำให้ตีฝ่าออกไปง่ายยิ่งขึ้น
.
และซาไอก็ได้แบ่งทัพออกไป 4 สาย เพื่อสร้างความปั่นป่วนแก่อิจิว
โดยให้ทัพแรกนำโดยโทงาริตีฝ่าออกไปก่อน
ในทิศที่ตรงข้ามกับป่าซึ่งคือทิศใต้(ป่าอยู่ทางทิศเหนือ)เพื่อยากต่อการส่งกำลัง
โดยใช้วิธีการเดินทางแบบออมแรงเต็มที่ และเมื่อใกล้ฝ่ายศัตรู ก็ใช้แผนตั้งค่ายต่อหน้าศัตรูให้ศัตรูคิดว่าตั้งค่ายเตรียมรบ แต่ที่แท้ตั้งเอาไว้ลวงตา ทำให้ทหาร 2 แสนต่างมาหนุนที่เขตป่าและทิศนี้อย่างหนาแน่น ทำให้อีก 2 ทิศนั้นว่างเปล่า แล้วทัพของโทงาริก็เข้ารวมกับทัพที่ 2 อันได้แก่ทัพของเอซะ ประมวลทหารราว 30000 ทะลวงในทิศตะวันตก(*หมายเหตุ ตะวันตกนั้นเป็นด้านที่ไกลจากตัวเมืองที่สุด ส่วนทางตะวันออกเป็นทิศของอาณาจักรนากิ)ซึ่งคาดว่ามีทหารอยู่เบาบางที่สุด ในการทะลวงออกไปครั้งแรกนี้ ได้รับความสำเร็จและเข้ารวมกับพันคนแรก คอยสร้างความปั่นป่วนแก่กองทัพของอิจิวในทางภายนอก ทำให้ภาระของกองทัพอิจิวเพิ่มขึ้น ทั้งต้องระวังไม่ให้ซาไอหนีออกไป และต้องระวังการโจมตีของฝ่ายกู้ชาติที่บุกออกไป สถานการณ์ถูกพลิกผันในทันที!!!
หลังจากมาหนุนทางทิศทั้งสองมีการหลบหนีออกไป!! เกิดการพลิกผันโดยทิศที่เหลือทิศสุดท้ายคือทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นที่โล่งและหากตะลุยผ่านไปได้จะเจอกับกำแพงเมืองนากิทันที และทางตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีอาณาบริเวณเป็นภูเขา
สองทัพสุดท้ายนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากโควตะและซาไอ!!!
โควตะนั้นเกรงว่าจะเกิดปัญหา เพราะอิจิวแค้นซาไอมาก ถ้าหากให้ซาไอบุกไปทางทิศตะวันออกที่อิจิวประจำอยู่ล่ะก็
.อิจิวต้องสู้แบบแลกชีวิตอย่างแน่นอน โควตะจึงให้ซาไอไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งเป็นช่องเขาแทน ส่วนโควตะนั้น เขาได้เตรียมบุกไปทางด้านตะวันออก โดยบุกพร้อมกันกับทัพของเอซะและโทงาริ
และ ณ บัดนี้ ทั้งหมดได้ยุบค่ายแล้วเริ่มออกเดินทาง
ทหารได้รับคำสั่งให้รีบทานอาหารให้เต็มอิ่มที่สุดและเก็บอาหารส่วนของตนให้ดี เพราะจะไม่มีการแจกอาหารอีกเลยในระยะเวลา 3 วันที่ตีฝ่าออกไป การเดินทางจะต้องเดินทางทั้งวันทั้งคืนเพื่อให้หนีพ้นก่อนกองทัพของอิจิวไหวตัว
วันที่ 23 เดือน ต.ค. เวลายามสองที่เงียบสงัด กองทัพทั้งสองประมวลนายทหารทั้งสิ้น 70000 นาย เป็นการนำของซาไอเสีย 25000 นาย และการนำของโควตะเสียโควตะ 45000 คนเดินทางออกไปคนล่ะทิศทางกัน และนัดหมายเจอกันก่อนพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าอย่างช้าของวันที่ 3 เดือน ก.ย. ณ กำแพงชั้นนอกของเขตเมืองหลวง
.
ตอนนี้ทั้งซาไอและโควตะแยกทางกันมาได้สักพักหนึ่ง สิ่งที่ซาไอเห็นคือแสงจากไต้เรืองรอง อากาศที่หนาวเหน็บทำเอาซาไอถูแขนตนเองหลายรอบ ทั้งๆที่ใส่เสื้อคลุมไว้อย่างแน่นหนา ซาไอเหลียวหันกลับไปมองข้างหลัง ใบหน้าสัมผัสน้ำค้างที่หยาดมาต้องเสื้อคลุม ซาไอได้ยินเสียงนายทหารบางคนบ่นงึมงำ และเสียงฟันกระทบกันดังกึกๆ คงมีแค่นี้ถ้าไม่นับเสียงเป่ามือของนารายะ เจ้าม้าสีดำของซาไอยังเดินอย่างสง่างาม แม้มันจะลอบสลัดขาเพื่อให้หายหนาวก็ตาม โชคดีที่มันตัวใหญ่และขนาดกว่าตัวอื่น ม้าหลายตัวตายลงไปเพราะความหนาว การรบข้ามปีไม่ได้เป็นผลดีต่อกองทัพ แต่อย่างน้อยม้าที่ตายไปก็เป็นอาหารของนายทหารต่อได้ ถ้าไม่ได้ตายด้วยโรคร้ายน่ะนะ
"ใส่เสื้อขนมิงค์เสีย!!!" เสียงร้องแนะของเซอิจิดังเข้ามาจากข้างหลัง ซาไอหันไปมอง เธอเห็นควันฟุ้งออกจากปากของเขา
"มันหนาพอ!!!" เขาบอกต่อก่อนที่จะหุบปากลงไปเพื่อรักษาความร้อนในร่างกาย ซาไอจึงลงมือค้นเสื้อจากถุงสัมภาระตนเอง แล้วคลุมมันลงบนไหล่ของเธอ
ก่อนที่จะถอนเสื้อคลุมที่เธอใส่อยู่เดิมลงไปคลุมให้เจ้าม้าดำของเธอ ซาไอถูเสื้อคลุมลงบนตัวเพื่อให้มันรู้สึกอุ่นขึ้นมาบ้าง
.
การเดินทางของยังดำเนินต่อไป อย่างสม่ำเสมอ ทหารหลายนายต้องเดินก้มหน้า เพราะลมในตอนกลางคืนซัดเข้ามาปะทะที่ใบหน้า ซาไอหรือแม้นายทหารทุกคนไม่ได้สนใจเลยว่าตนเองเดินไปได้ไกลเท่าไร ได้แต่นับก้าวแต่ละก้าวที่ตนเองย่างออกมาเสียเท่านั้น ลมยังคงประดังเข้ามา การเดินทางเป็นไปอย่างเชื่องช้ากว่าที่คาดคะเนเอาไว้ ในหน้าหนาวนั้นการเดินทางตอนกลางคืนมีอันดับเป็นที่หลักๆที่ถ่วงการเดินทางของกองทัพ ความเงียบนั้นแทบครอบงำทุกสรรพสิ่ง แม้แต่เสียงแมลงก็ยังเงียบกริบ ยิ่งทำให้การเดินทางมองดูเนินนานนัก
.
วันที่ 25 ต.ค. การเดินทางเป็นไปอย่างไม่มีการหยุดพักหรือแม้แต่อย่างใด นายทหารบางคนเริ่มหกล้ม และเดินอย่างทุลักทุเลเต็มทน บางคนร้องกันระงม เสียงขอร้องให้หยุดดังขึ้นอีก ทั้งยังเป็นครั้งที่ 4 แล้วของวันนี้แล้วที่หยุดพัก ซาไอขยี้ตาอย่างง่วงนอน เธอกวาดตามองดูเหล่าทหารที่ล้มระเนระนาดเกลื่อนไปหมด ตัวเธอเองก็เหนื่อยอ่อนมากเช่นกัน ในเวลาที่ผ่านมา เธอได้นอนไม่ถึง 4 ชม.ด้วยซ้ำ
"ควรจะให้ทหารพักก่อนดีไหมขอรับ? ท่านซาไอ" นารายะเอ่ยถามเสียงเพลีย ก่อนที่จะหาวหวอดใหญ่ ซาไอหันกลับมามอง เธอเกรงเธอจะไม่ตื่นหากหลับไป
เพราะอากาศหนาวมาก นายทหารหลายสิบนายทีเดียวที่ตายไประหว่างเดินทาง
"ก็ดี" เธอว่า
"ว่าแต่เราต้องเดินทางอีกไกลแค่ไหนถึงจะเข้าเขตช่องเขาคุเรไนและเจอกับกองทัพฝ่ายศัตรู!"
"ไม่นานแน่ขอรับหากจะเดินทางให้เจอช่องเขาคุเรไนด้วยความเร็วเท่านี้คงก่อนมืด
"
"ก่อนบ่ายด้วยซ้ำ!!!" เสียงมาโซยะที่นอนหลับตาอยู่ข้างต้นไม้ร้องเถียง หลายคนคิดว่าเขาหลับ แต่กระนั้นเถอะนินจาต้องมีประสาทตื่นตัวตลอดเวลา
"ก่อนเที่ยงก็ถึง!!" เซอิจิเอ่ยแทรกขึ้นมา มาโซยะหันกลับมามองอย่างแปลกใจ เซอิจิไม่เคยคิดจะสนใจสงคราม
"ท่าน?" มาโซยะขมวดคิ้ว เซอิจิยิ้มรับคำถาม แล้วชี้ออกไปข้างหน้า
"ตอนนี้พระอาทิตย์เพิ่งจะขึ้นเท่านั้นเอง
.ช่องเขาก็อยู่ไม่ไกล การเดินจากนี้ไปเป็นที่โล่ง เนื่องจากเมื่อก่อนเคยเป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญแต่ยังไม่ได้บุกเบิกก่อนเกิดสงคราม ฉะนั้นการเดินทางในทางอย่างนี้ถูกศัตรูดักโจมตีได้ง่ายๆ ไม่ว่าอย่างไร ข้าขอส่งเสริมความคิดที่ว่าจะให้ทหารพักเต็มที่" เซอิจิกล่าว
"อื้อ!!!" มาโซยะอุทานอย่างแปลกใจ
"ท่านเซอิจิ ข้าว่าท่านช่างคิดขึ้นน่ะ!" มาโซยะเอ่ยชมอย่างจริงใจ
"ขอบคุณ
"เซอิจิรับคำชมที่ทะแม่งๆนั้น
"อย่างที่ท่านเซอิจิบอก
ให้พวกทหารหยุดพักเถอะขอรับ..ข้าคิดว่าจะเป็นการดีกว่าที่พวกเราจะต้องเดินทางต่อไป
" นารายะเสนอ ซาไอฟังคำของเหล่าผู้เสนอเหล่านั้น ก็หลับตาลงครุ่นคิด
"ขอข้าคิดดูสักครู่
.ข้าจะตัดสินใจต่อเมื่อแน่ใจว่าไม่มีผลกระทบใดๆเมื่อหยุดพัก" ซาไอสานเมื่อไว้ใต้คางอย่างครุ่นคิด
"โธ่!!! ซาไอ อย่างว่าแหละ
ศัตรูบุกเราเมื่อข้ามช่องเขาได้ทุกเมื่อ
ข้ายังไม่เห็นผลกระทบตรงไหนถ้าเราจะพัก
" มาโซยะแย้ง
"ถ้าตอนนี้ศัตรูตามเราอยู่จะทำยังไง?" ซาไอสวน
"
" *เงียบ! *
"ทหารเหนื่อย สู้ไปก็มีแต่ตาย หนีตอนนั้นก็ไม่ทัน สู้เดินทางต่อไม่ดีกว่าหรือ? เอาล่ะ ข้าขอคิดเดี๋ยว!!! ไม่นานหรอก" ว่าแล้วซาไอก็ก้มหน้าต่อไป มาโซยะก้มหน้านิ่ง เซอิจิยิ้มอย่างใจเย็น
"ไม่เห็นต้องห่วงเลย
ซาไอ ถ้าอยากรู้ว่ามีทหารตามมาหรือไม่? ก็ส่งคนไปดูเสียสิ
." เซอิจิแนะนำ แต่ซาไอขมวดคิ้ว
"แต่ทหารของเราทุกคนต่างเหน็ดเหนื่อย ม้าก็เหนื่อย แม้แต่ม้าดำของข้า แล้ว
"
"ข้าไหวขอรับ
" นารายะอาสา
"เจ้าม้าของข้าก็ เออ
" นารายะหันไปมองม้าของเขา ม้านั้นสบตาเจ้าของแล้วดีดขาหน้าขึ้น คล้ายจะบอกว่า 'เจ้านายเอาไง ก็เอากันอยู่แล้ว'
"ไหวขอรับ อย่างไรเราจะไปดูเอง
" นารายะบอก ซาไอมองนารายะตั้งแต่ตาจรดปลายเท้า
"ไหวแน่น่ะ
." เธอถาม
"ขอรับ
"
"ข้าไม่คิดอย่างนั้นน่ะสิ
"
"ต
แต่
ท่านซาไอ" ซาไอยกมือขึ้นห้าม
"เอาเป็นว่าข้าให้เจ้าไป ระวังตัวก็แล้วกัน ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลรีบกลับมารายงานด่วนเลยน่ะ!" ซาไอกำชับ
"ขอรับ!!!" นารายะรับคำสั่ง แล้วถอยออกไป จูงม้าของตนออกแล้วขึ้นควบออกไป ซาไอมองคนสนิทจนลับสายตา แล้วหันกลับมาที่เดิม
"อ้าว? มาโซยะไปไหนแล้วล่ะ?" ซาไอว่า เมื่อหันกลับมา โคนต้นไม้ก็ว่างเปล่าเสียแล้ว!!!
"งั้นก็เหลือแค่เรา 2 คนสิน่ะ
" เซอิจิยิ้มให้ซาไอเรียบๆ แต่ความรู้สึกของหญิงสาวแล้วมันไม่ใช่เรื่องเรียบๆ น่ะสิ!
"แล้วท่านคิดว่ายังไงล่ะเพค่ะเรื่องนี้น่ะ
" ซาไอรีบเปลี่ยนเรื่อง แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนสายตาเซอิจิให้ไปมองที่อื่นได้
"ข้าไม่มีความเห็น
เพราะมันล้วนเป็นไปได้ กองทัพของอิจิวมีประสิทธิภาพมากเกินเราคาด อย่างที่เจ้าทำน่ะถูกแล้ว
การส่งใครเข้าไปเป็นไส้ศึกเพื่อล้วงความลับนั้นยากนัก เผลอๆอาจถูกซ้อนกล
" เซอิจิวิเคราะห์
"อืม
มันก็ถูกของท่านนั้นล่ะ
ว่าแต่ไม่ทรงไปหาจิเคตะหรือเพค่ะ?" ซาไอชี้แนะ เพื่อเลี่ยงกับการอยู่กับเซอิจิตามลำพัง นั้นน่ะสิ
ทำไมว่าซาไอเพิ่งรู้สึกน่ะ
ว่าเซอิจิฉลาดขึ้น
เก่งขึ้นว่างั้นแหละ โดยส่วนตัวเธอก็ดีใจกับเซอิจิด้วย แต่สิ่งนั้นเองที่เหล่าขุนพลกลัวหนักกลัวหนา ยิ่งอยู่กับคนที่มีกลเหนือกว่านั้น ตัวขุนพลผู้นั้นยิ่งถูกซ้อนแผนหรืออ่านได้ง่าย ฉะนั้นการป้องกันที่ดีที่สุดคือการเลี่ยงการพบปะ หรือสนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูล
ซาไอก็สงสัยเหมือนกัน เซอิจิไม่ใช่คนที่จะอันตรายเลย ซาไอทำอะไรมักมีเหตุผล แต่การกลัวเซอิจิในครั้งนี้เธอไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย มีเพียงเสียงจิตใต้สำนึกเท่านั้นที่พร่ำบอก คล้ายสัญชาติญาณของเหล่าขุนพล
"อ้อ
ก็จิเคตะนั้นล่ะ ที่ไล่ข้ามา" เซอิจิตอบ ซาไอหันไปมองเซอิจิ ทั้งสองสบตากัน สงครามเย็นเล็กๆ ก่อตัวขึ้น ซาไปเริ่มค้นหาความคิดในดวงตาของเซอิจิ เธออยากรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่? เซอิจิเพียงแต่มองเฉยๆ ทั้งคู่มองกันสักพัก ซาไอก็ยอมแพ้ เธอไม่ได้อะไรกลับมาเลย ทั้งที่เซอิจิท่าทางจะรู้ไปมากพอดูว่าเธอคิดอะไร
น่ากลัว
ซาไอคิดในใจ ถ้าเธอต้องสู้บนสนามรบกับเซอิจิ เธอคงแพ้ยับเยิน เซอิจิยังมองเธอแล้วยิ้มเรียบๆ
"ไม่ต้องห่วงหรอก
สิ่งที่ข้าคิด มันไม่อันตรายกับใครหรอก
เจ้าเลิกห่วงได้
" เซอิจิเอ่ยอย่างรู้ทัน ซาไอหันขวับกลับมา
.เอาล่ะสิ ถูกเด็กย้อน
. เธอคิด เธอกรีดยิ้มอย่างที่ชอบทำ แล้วถาม
"ทรงปรีชายิ่งนัก!!!" เธอชม
"ประทานอภัยด้วย หากเสียมารยาท
ทรงศึกษาพิชัยสงคราม
."
"จากที่ใด? ตั้งแต่เมื่อไร?" เซอิจิต่ออย่างรู้ทัน
"เพค่ะ
." เซอิจิทำท่าครุ่นคิด
"ข้าก็คิดไปเรื่อยๆน่ะ
" เซอิจิตอบ
"เพค่ะ
" ซาไอรับแล้วก็หันไปทางด้านตรงข้าม เพราะเสียงควบม้าประดังเข้ามา
"มาโซยะ!!!" ซาไออุทาน เมื่อมาโซยะหอบร่างหนึ่งเข้ามา
"นารายะ!!!"
"นารายะโดนยิง
" มาโซยะเอ่ยอย่างเหนื่อยอ่อน พลางดึงธนูดอกหนึ่งที่ปักไม่ลึกนักที่น่อง เขายกมาดูในระดับสายตาของตน
"ไม่มีพิษ
เร็วๆเข้า นารายะถูกยิงที่สีข้างซ้าย เจ้าม้านี่
อุตส่าทนเหนื่อยวิ่งพาเจ้านายมา" มาโซยะว่า พลางกุมขา นายทหารพานารายะออกไป ส่วนมาโซยะนั้นคุกเข่าอยู่ตรงนั้น
"มาโซยะ มาโซยะ เป็นอะไรไหม?"
"อือ
ไม่เท่าไร ไม่เป็นไร ไปดูนารายะเถอะ!!!" เขาเม้มปากอย่างอดทน
"โธ่เอ๋ย!!! ห่วงตัวเองก่อนเถอะ"
"ไม่เป็นไร
แผลไม่ลึก แถมไม่มีพิษด้วย
"
"มีสิ ใครว่าไม่มี
" เซอิจิขัดขึ้น หลังจากมองดูเลือดที่ไหลออกมาสักครู่
"มี?" ซาไอถาม
"อือ
เจ้าคิดว่ามีอะไรผิดปกติไหมล่ะ?"
"ข้า
อือ
เห็น!!! เลือดมันเหลวผิดปกติ" ซาไอใช้ปลายนิ้วจะเตะเลือด แต่เซอิจิจับแขนไว้
"ระวังอย่าไปแตะ
ไม่รู้ว่ามือเจ้าเป็นแผลหรือเปล่า? พิษนี้ติดต่อได้ ตราบใดที่ยังอยู่ในเลือด"
"ห้ามเลือดก่อน เร็วๆเถอะ
.แล้วเจ้าช่วยไปพาตัวจิเคตะมาหาข้าหน่อย!!!" เซอิจิหันไปสั่งทหารที่อยู่ใกล้ๆ
"ข้าเป็นอะไรก็ช่างเถอะ!!!
แต่ทหารของอิจิวมันบุกมาแล้ว ตีหลังเรา รีบหนีเถอะ" มาโซยะตวาดเฮือกสุดท้ายก่อนสลบไป
. . . . . . .
กองทัพออกเดินทางทันทีเมื่อมาโซยะถูกหามขึ้นม้า นารายะที่ถูกยิงที่สีข้าง นอนไม่ได้สติอยู่ แม้แพทย์ประจำกองทัพจะยืนยันว่านารายะพ้นขีดอันตราย แต่ความดึงเครียดก็ไม่ได้หายไปจากกองทัพเลย แรงของทหารเพิ่มขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งหมดออกแรงเดินอย่างไม่บ่นเหมือนเมื่อสักครู่ คล้ายเป็นสัญชาติญาณเอาชีวิตรอด
ซาไอควบม้ากึ่งวิ่งกึ่งเดินวนไปยังหลังกองทัพเพื่อดูว่ามีทหารคนใดตกแถวหรือไม่ แล้วควบกลับมาดูอาการนารายะ
"มันพิษอะไรกัน? มันคืออะไรเพค่ะท่านเซอิจิ?" ซาไอเร่งรัดคำตอบอย่างรีบร้อน เซอิจิละมือออกจากผ้าพันแผลของมาโซยะแล้วหันมาทางหญิงสาว
"พิษละลายโลหิต
ข้าไม่แน่ใจเท่าไรว่าสกัดมาจากอะไร แต่ที่แน่ๆมันไม่มียาแก้
"
"
.." ซาไออุทานเงียบๆ
"แล้วมันมีอาการอย่างไรบ้าง?"
"อืม
เลือดจะเหลวเหมือนน้ำ ทำให้เลือดออกมากจนหมดตัวแล้วตาย สิ่งที่เราทำได้คือป้องกันให้เลือดออกน้อยที่สุด รอให้พิษสลายไปเอง" เซอิจิบอก
"ถ้าอย่างนั้น
.." ซาไอว่า
"อือ
ใช่ ต้องอาศัยเวลา ไม่ให้มาโซยะทำอะไร
." สิ้นเสียงเซอิจิเสียงวิ่งของนายทหารผู้หนึ่งก็ประดังเข้ามา
"แย่แล้วขอรับ" ซาไอหันกลับมาอย่างรวดเร็ว
"อะไร?"
"กองทัพของพวกเมืองหลวงตีตลบหลังเราเรามาแล้วขอรับ
."
"
."
"จะให้ทำอย่างไรขอรับ?" ซาไอนิ่งเงียบไปสักครู่ พลางกวาดตามองเหล่านายทหารผู้เหน็ดเหนื่อยของตน
"หนี
.อย่างเร็วที่สุด" สิ้นคำสั่งแม่ทัพของกองทัพ ฝูงม้าผู้เหน็ดเหนื่อยก็เริ่มควบอีกครั้ง
ฝุ่นตลบแล้วตลบอีกนับร้อยๆพันๆครั้ง นายทหารล้มแล้วล้มอีก แต่แรงกระหายที่จะเอาชีวิตรอดทำให้ต้องลุกขึ้นยืนอีกแล้วเดินต่อไป บัดนี้กองทัพกู้ชาติได้มาถึงหน้าช่องเขาคุเรไนแล้ว
.เป็นช่วงเวลาวิกฤต กองทัพที่ไล่ตลบมาจากข้างหลัง ปักหลักกันท่าไว้ไม่ตามมา รอแต่ให้พวกที่กันช่องเขาคุเรไนมาตีเอง
|