|
ในท้องพระโรงเก่าที่เพิ่งได้รับการบูรณะเสร็จ หลังจบสงครามมาได้ 8 เดือน ภาวะทางบ้านเมืองเริ่มเข้าสู่ทางสงบ สิ่งแปลกสำหรับแผ่นดินสมัยราชาโควตะก็คือ ไม่มีกบฏเพราะทุกคนพร้อมใจกันชูโควตะขึ้นเป็นกษัตริย์
เซอิจิที่เข้าไปคุยเล่นกับซาไอเพิ่งเดินจากออกมา สวนทางกับพระนางฮิโตมิ เขาทักทายเสด็จย่าของแผ่นดิน (ไทเฮา : ผู้เขียน)อย่างสุภาพ พระนางยิ้มรับอย่างอ่อนโยนเช่นเคยแต่แฝงไปด้วยความเศร้าสร้อย เมื่อเซอิจิเดินหายไป พระนางก็ทรงเดินเข้าไปหาซาไอที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ แวดล้อมด้วยนางกำนัลที่หัวเราะคิกคักไปพลางถักงานถักไปพลาง มาโซยะที่นั่งเหลาลูกดอกและกำลังเล็งมันอยู่ลุกขึ้นทำความเคารพพระนางฮิโตมิ
"ออกไปก่อนเถิดน่ะ
ข้าอยากคุยกับองค์หญิงเสียหน่อย" พระนางทรงตรัสด้วยน้ำเสียราบเรียบเช่นเคย เหล่านางกำนัลถวายบังคมลาออกไป ส่วนมาโซยะเดินหายเข้าไปในสวน ซาไอยิ้มให้กับพระนาง แล้วลุกขึ้นอ้าแขนเป็นเชิงต้อนรับ
"ยินดีต้อนรับแม่เพค่ะ
มีอะไรให้หม่อมฉันรับใช้หรือเพค่ะ?" ซาไอหรือองค์หญิงซาไอกล่าว พระนางฮิโตมิเดินเข้าไปตบหลังมือหญิงสาวแล้วชวนเธอไปนั่งที่ม้านั่งยาวใต้ต้นไม้
"แม่มีเรื่องสำคัญจะมาถามลูก
" พระนางกล่าว ซาไอยิ้มรับอย่างเปรมปรีดิ์ พลางหยิบถาดผลไม้มาส่งให้
"อะไรหรือเพค่ะ?"
"
." พระนางทรงถอนหายใจเมื่อนึกถึงคำสั่งเสียของราชาอิเอยาสึ
"ลูกมีคนรักรึยัง?"
"
." คำถามยิงเข้ามาทำให้หญิงสาวนิ่งไปชั่วครู่ เธอขมวดคิ้วคล้ายกำลังคิด
"ไม่
ไม่น่ะเพค่ะ
ถึงแม้ว่าท่านเซอิจิจะเป็นอดีตคนรักของหม่อมฉัน แต่ตอนนี้หม่อมฉันยังไม่ได้รักพระองค์ แต่แม่ไม่ต้องเป็นห่วง หม่อมฉันชื่นชอบพระองค์มาก กระนั้นเถอะอีกไม่นานหม่อมฉันต้องรักพระองค์ได้แน่!!!" ซาไอกุมมือพระนางฮิโตมิ แต่พระนางกลับถอนใจ
"นี่แหละคือสาเหตุที่แม่มาในครั้งนี้
." พระนางนิ่งไปชั่วครู่เพื่อรวมความกล้า
"แม่จะมาบอกว่า เจ้าไม่จำเป็นต้องรักพระองค์อีก
จะว่าไปเจ้าห้ามรักพระองค์เป็นอันขาดไม่ว่าพระองค์จะดีหรือรักเจ้าเท่าไรก็ตาม!!!"
"
." ซาไอทำตาปริบๆ แล้วใช้มือลูบผมอย่างช้าๆ ก่อนที่จะสบตาพระนางฮิโตมิ
"
..เจ้าคงสงสัยว่าทำไมแม่ถึงให้ทำอย่างนี้
..เหตุผลก็คือเจ้าเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นราชินีแห่งอาณาจักร!!!"
ซาไอนิ่งไปสักครู่
"ไม่ได้เพค่ะ หม่อมฉันเป็นน้องจะแต่งกับพี่ตัวเองได้ยังไง ถึงจะน้องไม่แท้ก็เถอะ ล
แล้วอีกอย่างพี่โควตะไม่ยอมหรอก ทรงรักพี่นัตสึกิน่ะเพค่ะ!!!" พระนางฮิโตมิกุมมือหญิงสาวเป็นเชิงปลอบให้สงบ
"อย่าเพิ่งรีบร้อนไป
ฟังแม่ก่อนน่ะลูกรัก
การแต่งงานเพียงเพื่อบังหน้า เจ้าเป็นราชินีเท่านั้น คนที่จะแต่งงานตัวจริงกับโควตะก็คือนัตสึกิ"
"ล
แล้วท่านเซอิจิล่ะเพค่ะ
น่าสงสารพระองค์ออก!!!" เสียงของหญิงสาวเริ่มสั่น หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ที่นั่นเม้มปากเพื่อสะกดตัวเอง
"แม่รู้ว่าเจ้านั้นมีจิตใจงาม ซาไอ แต่ในเมื่อลูกไม่ได้รักพระองค์ ลูกก็มีความจำเป็นต้องเห็นแก่ตัวเพื่อแผ่นดิน
ลูกจะไปเห็นแก่ท่านเซอิจิที่รักลูกไม่ได้!!!"
"ต
แต่ว่า
"
"ไม่แต่ว่าแล้ว ซาไอ
.หากเจ้านึกถึงนัตสึกิอีก โควตะเล่าว่านางเป็นคนอ่อนโยน และฉลาด ฉะนั้นนางต้องยอมรับเหตุผลที่จำเป็นของอาณาจักรแน่ๆ เข้าใจไหม ซาไอ?" หญิงสาวใช้มือข้างหนึ่งปิดปากตัวเอง
"ข
เข้าใจเพค่ะ" เธอรับคำ
"แม่ขอโทษซาไอ
" พระนางฮิโตมิกอดหญิงสาวเอาไว้ "ม
แม่ก็ไม่อยากทำ
แต่มันจำเป็นจริงๆ"
.คำสั่งเสียของราชาอิเอยาสึ ไม่สิ! พ่อของเจ้า มันเป็นแผนที่เขาวางมาหลายสิบปี
จะให้ล่มเพราะใครคนเดียวไม่ได้ แม้ว่าอนาคตของแผ่นดินต้องแลกด้วยความสุขของลูกของข้าเอง
. พระนางคิดอย่างโศกเศร้า
"แม่ไปก่อนน่ะซาไอ ต้องไปหาโควตะต่อ
" พระนางลูบเรือนผมของหญิงสาวเป็นครั้งสุดท้าย และเสด็จจากไปออกจากสวน หญิงสาวนั่งสะเทือนใจกับคำพูดสักครู่ เธอรู้สึกสงสารเซอิจิมากๆ ทำไมล่ะ? เธอเกือบจะรักพระองค์ได้แล้ว ทำไมต้องมาห้ามด้วย หญิงสาวกุมอก แล้วยังต้องแต่งงานกับโควตะอีก
เธอไม่ได้รักพี่ตัวเองอย่างนั้นสักหน่อย
ถึงคิดอย่างนั้นเธอก็ยิ่งเจ็บ นางกำนัลเริ่มทยอยเข้ามา เธอจึงกวักมือเรียกพวกนางเข้ามา
"ท่านซาไอ
"
"ถ้าท่านเซอิจิมา หรือใครมา แม้เป็นพี่โควตะก็ตามบอกว่าข้าไม่ต้องการพบใคร!!! ใครทั้งสิ้น
เข้าใจน่ะ"
"เพค่ะ" นางกำนัลรับคำสั่งแล้วเริ่มทยอยออกไป พอนางกำนัลหายไปหมด หญิงสาวก็ทรุดตัวลงและใช้ศรีษะวางบนลำแขนตัวเองอย่างว้าวุ่นใจ
"พระนางฮิโตมิทำอย่างนี้ทำไม?" ร่างหนึ่งเดินเข้ามาจากข้างหลัง และทิ้งระยะห่างในการพูดพอสมควร
"ข้าไม่รู้
มาโซยะ
ท่านฮิโตมิทำเพื่อแผ่นดิน
แต่ทำไมต้องให้ข้าแต่งงานกับพี่โควตะด้วยล่ะ?"
"ข้าก็ไม่เข้าใจ
"
"ท่านตัดสินใจไม่พบใครเลยหรือ?
ซาไอ"
"ข้าทำใจไม่ได้ที่ต้องพบกับท่านเซอิจิ ข
ข้าไม่รู้จะมองหน้าเขายังไง ถ้าพี่โควตะมาหาข้า ข้าก็ไม่รู้จะพูดกับพี่เขายังไงอีกเหมือนกัน
ถ้าคนอื่นมาหว่านล้อมข้าก็ยิ่งปวดใจ
"
"อืม
พูดง่ายๆคือท่านไม่ต้องการพบใคร ต้องการเก็บตัวอยู่ที่นี่"
"ใช่แล้ว
ต่อจากนี่ไปข้าคงมีเจ้าเป็นหูเป็นตาคนเดียว"
"รับทราบ
ไม่ต้องห่วงหรอก ซาไอ คำพูดของท่านฮิโตมิที่บอกให้ท่านเลิกรักท่านเซอิจิ
ท่านไม่ต้องทำหรอก เพราะข้ารู้ ต่อให้ท่านเป็นราชินีของที่นี้ไปแล้ว
ท่านเซอิจิก็ต้องมาเอาตัวท่านไปให้ได้
ด้วยสติปัญญาและบุคลากรที่พระองค์มี
ถ้าจะหยุดพระองค์ก็มีแต่สังหารพระองค์เท่านั้นแหละ ที่จะหยุดพระองค์ได้" ซาไอพยักหน้ารับช้าๆ แล้วซบหน้าลงบนลำแขนตนเอง เสียงนกร้องร่าเริงสดใสและแสงแดดส่องประกาย ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่าตั้งแต่วันนั้น องค์หญิงซาไอไม่ได้ก้าวออกนอกสวนนั้นอีกเลยเป็นเวลานาน
.
. . . . . . .
เสียงพูดดังหึ่งๆ คล้ายผึ้งมาจากในห้องทรงพระอักษรของราชาโควตะ ตอนนี้เขากำลังเร่งรีบในการบูรณะบ้านเมืองอย่างหนัก เหล่าขุนนางที่เข้ามาตัวเปล่าและออกไปพร้อมงานที่ราชาโควตะรับสั่ง มาคุที่ตอนนี้ได้ตำแหน่งองคมนตรีไป ก็นั่งอยู่ข้างๆเพื่อคอยประเมินหน้าที่งาน และจัดเก็บเอกสาร พระนางฮิโตมินั้นยืนรออยู่หน้าประตูสักครู่ เมื่อเห็นโควตะกำลังยุ่งอยู่อย่างนั้นจึงจะเสด็จจากไป แต่ราชาโควตะเห็นกับพระนางเสียก่อน เขาสั่งงานให้หยุด และเชิญเหล่าขุนนางที่กำลังรอราชโองการไปรับประทานอาหารเสียก่อน
"แม่!!!" ราชาโควตะวิ่งออกมาจากห้องทรงพระอักษร
"อ้อ
แม่นึกว่าเจ้าว่าราชการอยู่ไม่อยากรบกวน
" ทรงตรัส โควตะยิ้มให้กับความรู้กาลเทศะของพระนาง กษัตริย์นากิจับมือของผู้มีตำแหน่งพระมารดาขึ้นมาวางไว้บนลำแขนของตน
"ทรงมีอะไรจะรับสั่งแก่หม่อมฉันพะยะค่ะ
แม่"
"
.." พระนางถอนหายใจ
"เอ้อ
ท่านเซอิจิทรงจะกลับซูคังแล้วน่ะพะยะค่ะ
แหม
หม่อมฉันกำลังรอเชียวว่าพระองค์จะทรงขอซาไอไปจากหม่อมฉันเมื่อไร
ดูคล้ายพวกเขาใกล้จะรักกันเหมือนเดิมแล้วน่ะพะยะค่ะ
ซาไอยังบอกหม่อมฉันเลยว่านางชอบท่านเซอิจิมากทีเดียว
" ราชาโควตะยิ้มแต่ก็หน้าเศร้าลงเมื่อเห็นพระนางฮิโตมิมองทอดสายตาไปอย่างไร้จุดมุ่งหมาย
"ทรงมีเรื่องอะไรทุกข์ใจหรือพะยะค่ะ
โธ่! แม่ เรื่องราชาอิเอยาสึอีกแล้วใช่ไหม? ปลงเถอะพะยะค่ะ
ทรงไปสบายแล้ว
อย่างน้อยแม่ก็ได้ดูใจพระองค์ก่อนตาย เรื่องมันนานแล้ว
ช่วงนี้หม่อมฉันไม่ค่อยว่าง พอว่างเมื่อไรจะพาแม่ออกไปเที่ยวนอกเมืองบ่อยๆทีเดียวพะยะค่ะ" ราชาโควตะทรงเอาใจพระนางฮิโตมิ
"ไม่ต้องลำบากเจ้าหรอก แม่ไม่ได้เศร้าแล้ว
แต่แม่มีเรื่องมาบอกเจ้า สัญญาได้ไหมว่าไม่ว่ายังไงก็ต้องทำ"
"?" ราชาโควตะยิ้มอย่างงงๆ
"อะไรหรือพะยะค่ะ?" เขาถาม
"สัญญาก่อน
" โควตะนิ่งไปสักครู่
"พะยะค่ะหม่อมฉันสัญญา
"
"งั้นก็ดี นั่งลงเถอะลูกรัก" พระนางฮิโตมิชวนราชาโควตะนั่งลงบนที่นั่งริมธารน้ำ ราชาโควตะยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ ไม่เคยทรงทำอะไรลับๆล่อๆอย่างนี้มาก่อน
"มีอะไรหรือพะยะค่ะ?"
"
" "แม่อยากให้ลูกแต่งงานกับซาไอ!!!"
"ห๊า!!!" ราชาโควตะกระโดดลุกขึ้นยืนทันที
"แม่!!! หม่อมฉันมีคนรักอยู่แล้ว!!! นัตสึกิไงพะยะค่ะ!!! วันก่อนแม่ยังเห็นด้วยกับหม่อมฉันอยู่เลย!!!"
"ไม่ใช่ๆ โควตะลูกนั่งลงก่อน ฟังเหตุผลสักหน่อย" พระนางฮิโตมิจับแขนของกษัตริย์ ราชาโควตะจึงยอมนั่งลงอีกครั้ง
"เรื่องนี้แม่ไม่ได้ให้เจ้าแต่งกับนางจริงๆ เพียงแต่ให้เจ้าตั้งนางเป็นราชินี
แล้วเจ้าก็รับนัตสึกิเป็นภรรยาได้ มันแค่เป็นเรื่องบังหน้า
ได้ไหมลูกรัก นัตสึกิที่เจ้าเล่าเป็นเด็กดี นางต้องเข้าใจเรื่องชาติแน่ๆ ไม่ว่ายังไงเจ้าก็รักนางคนเดียวไม่ใช่หรือ?"
"ต
แต่ พวกขุนนางเล่าพะยะค่ะ? พวกเขาไม่ยอมเรื่องผิดจารีตหรอก โดยเฉพาะท่านโทงาริ!!!"
"พวกเขาจะไม่พูดอะไรทั้งสิ้น
แม่มีวิธีชี้แจง"
"แล้วท่านเซอิจิเล่าพะยะค่ะ? ซาไออีก พระองค์ยอมได้หรือพะยะค่ะ? พวกเขากำลังจะรักกันอยู่แล้วเชียว!!!"
"ซาไอยังไม่รักท่านเซอิจิ
แม่ถามนางแล้ว"
"แต่ราชาเซอิจิ!!!"
"เรื่องนี้ต้องมีคนต้องเสียสละ!!! บอกท่านเซอิจิไปซะว่าเราให้ซาไอเขาไม่ได้
แม้ว่าเขาให้แต่ซูคังบ้านเกิดเขาได้เท่านั้น!!!"
"พ
พะยะค่ะ" โควตะรับคำพระนางฮิโตมิอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
"แต่หม่อมฉันแต่งกับซาไอไม่ได้จริงๆ ได้โปรดเถอะพะยะค่ะ นั้นเป็นการหักหลังท่านเซอิจิ!!!"
"
" พระนางฮิโตมินิ่งไปชั่วครู่ พลางนึกถึงคำของราชาอิเอยาสึ
..
ถึงนางไม่ได้เป็นราชินี อย่างน้อยก็อย่าให้นางไปนอกอาณาจักร อย่าให้เธอแต่งออกไปอยู่ซูคัง เราจะเสียบุคลากรยิ่งใหญ่ไปคนหนึ่ง!!!
"เอาอย่างนั้นก็ได้
แต่สัญญากับแม่น่ะว่าจะไม่ยกซาไอให้ท่านเซอิจิ!!!" พระนางฮิโตมิกำชับ
"พะยะค่ะ
" โควตะรับคำ พลางถวายบังคมลาพระนางฮิโตมิ พลางก้าวออกไป พระนางฮิโตมิก็ลุกขึ้นก้าวออกไปเช่นกัน แต่เมื่อโควตะหันหลังให้พระนางฮิโตมิ เขาก็ไม่รู้ว่าจะมองหน้าเซอิจิยังไง..
ครั้นเมื่อไปถึงที่ว่าราชการชั่วคราว กษัตริย์องค์ปัจจุบันก็ปิดประชุมราชการกะทันหันทรามกลางความมึนงงของเหล่าขุนนาง แล้วเมื่อเหล่าขุนนางทยอยออกไปแล้วนั้น ราชาโควตะก็ลงไปนั่งกุมขมับบนเก้าอี้ ทั้งห้องนิ่งเงียบไปชั่วระยะหนึ่ง แม้แต่มาคุก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
องคมนตรีคนสนิทเดินเข้ามาหากษัตริย์ที่กำลังอารมณ์ขุ่นมัว
"เกิดอะไรขึ้นพะยะค่ะ?"
"พูดกับข้าอย่างเดิมเถอะ มาคุ!!!"
"เออ
ตามพระทัย
เกิดอะไรขึ้นหรือ? ท่านโควตะ"
"จะฟังแบบย่อๆหรือเต็มๆล่ะ?"
"เออ
เอาแบบย่อๆดีกว่าขอรับ ท่าทางแบบเต็มๆมันจะยาว
" กษัตริย์ลดมือจากขมับมาพาดที่หัวเข่า พลางมององคมนตรีคนสนิทก่อนที่จะถอนใจเฮือกใหญ่
"เมื่อตะกี้แม่มาหาข้า
บอกว่าห้ามยกซาไอให้ท่านเซอิจิ"
"!!!!!!"
"เรื่องเป็นยังไงกันขอรับ!!!" มาคุถามอย่างไม่เชื่อหู "ข้าน้อยไม่เชื่อว่า
."
"เป็นเรื่องชาติ แม่บอกอย่างนั้น
เอาล่ะตั้งใจฟังข้าเล่าน่ะ แล้วอย่าถามอะไร แค่นี้ข้าก็จะอกแตกตายอยู่แล้ว!!!" หลังจากว่านั้น โควตะก็มีความจำเป็นต้องเล่าเรื่องที่พระนางฮิโตมิบอกให้มาคุฟัง สุดท้ายคนนั่งกุมขมับก็ไม่ได้มีแต่ราชาโควตะ แต่มีองคมนตรีมาคุด้วย!!!
"ข้ามองหน้าท่านเซอิจิยังไงดี~" ราชาโควตะทึ้งผมตัวเอง "บอกข้าที มาคุ!!!"
"ข้าน้อยก็ไม่รู้จะพูดกับท่านเซอิจิยังไงเหมือนกันขอรับ
" องคมนตรีตอบ
"เฮ้อ
ข้าว่า
ข้าไปหาซาไอหน่อยดีกว่า" แล้วโควตะก็กระโดดวิ่งออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ตามด้วยมาคุ ทั้งสองทั้งเดินปนวิ่ง ไม่สนใจคำทักทายของคนที่เดินผ่านไปมา เมื่อถึงหน้าที่พัก ราชาโควตะก็แจ้งนางกำนัลว่าต้องการพบซาไอ แต่นางกำนัลก็ปฏิเสธ และกราบทูลเรื่องที่ซาไอสั่งไว้
"บอกว่าพี่ชายของนางต้องการพบ!!! ข้าเป็นกษัตริย์น่ะ พวกเจ้าถอยออกไป!!!" ด้วยความโมโห ราชาโควตะจึงทำท่าจะบุกรุกเข้าไป
"ไม่ได้ผลหรอกท่านโควตะ ซาไอไม่ยอมมาพบใครทั้งสิ้น
"
"ทำไมเจ้าถึงคิดอย่างนั้น
มาโซยะ" โควตะถามร่างมาใหม่ตรงหน้า
"นางใจสลายแล้วที่ต้องแต่งงานกับพี่ชายตัวเอง!!!" โควตะขมวดคิ้ว
"ท่านฮิโตมิมารึ?"
"ใช่แล้ว
ก่อนที่จะไปหาพระองค์ต่อ
"
"นางไม่ต้องแต่งงานกับข้าแล้ว
แต่มีปัญหาอีก นางไม่มีสิทธิ์รักท่านเซอิจิ!!!"
"เฮ้อ
ดีขึ้นมาแค่องคุลี
คนที่ท่านสมควรไปหาคือท่านเซอิจิต่างหาก"
"คนนั้นแหละที่ข้าจะเห็นหน้าเขาไม่ได้
เจ้าก็รู้ มาโซยะ!!! ท่านเซอิจิรักซาไอแค่ไหน!!! แต่ข้าก็ขัดท่านฮิโตมิไม่ได้เช่นกัน
"
"ไม่ใช่แค่ท่านเซอิจิที่รักนาง
ซาไอก็รู้สึกเช่นนั้น
แม้ว่ามันจะเพิ่งเกิดก็ตาม!!! เราแค่ต้องการเพียงเวลาให้หยั่งรากลงไป" แล้วบุรุษทั้งสามที่ยืนที่นั้นก็เงียบไป
"ข้าไปล่ะ!!!"
"น้อมส่งพระองค์
" แล้วราชาโควตะก็เดินจากมา
เขาไม่รู้จะมองหน้าเซอิจิได้อย่างไรในวันต่อๆไป เพราะวันหนึ่งเซอิจิจะต้องทูลขอซาไอจากเขาแน่นอน!!!
. . . . . .
และวันนั้นก็มาถึง
.ในอุทยาน บนศาลาหินอ่อน เซอิจิยืนอยู่ กำลังสำรวจเครื่องแต่งกายของตัวเองอย่างพิถีพิถัน หลายอาทิตย์แล้วที่เขาไม่ได้เจอซาไอ
แต่ไม่ต้องห่วงจากนี้ไปเขาจะไม่ให้นางห่างกายอีกเลยแม้แต่ก้าวเดียว เพราะวันนี้เขาจะเข้าเฝ้า ทูลขอซาไอจากราชาโควตะ เขาจะพาเธอไปซูคังและแต่งงานใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน แม้เธอจะจำอดีตไม่ได้ แต่เขาจะทำดีที่สุด ปกป้องเธอ ชดเชยกับเรื่องที่ผ่านมา
"ระริกระรี้เชียว นายเรา" จิเคตะยิ้มขณะมองเซอิจิจากหน้าต่างห้องรับรอง ระหว่างรอเดเอคิ
"เฮ้อ
หนุ่มๆก็งี้แหละ นายเราคงดีใจมากที่เรื่องอะไรๆจะจบไปเสียที" เดเอคิเปรย ขณะคว้าดาบมาเหน็บไว้ แล้วจิเคตะและเดเอคิก็เดินออกไปด้วยกัน เมื่อเซอิจิมองเห็นทั้งคู่ เขาก็กวักมือเรียกอย่างรีบร้อน
"ใจเย็นสิพะยะค่ะ
แม่จิ้งจอก
เอ๊ย! ว่าที่ราชินีของพระองค์ไม่หนีไปไหนหรอกพะยะค่ะ" จิเคตะแซวกษัตริย์หนุ่ม เซอิจิเกาจมูกอย่างเขินๆ ก่อนที่จะเดินออกไป โดยมีจิเคตะและเดเอคิตามเสด็จอย่างใกล้ชิด ขณะนี้เซอิจิมีจิตใจร่าเริง เนื่องจากเขาจะทำตามคำพูดที่เคยบอกซาไอไว้ว่า จะรับเธอเป็นราชินีเมื่อศึกเสร็จสิ้น ทางที่จะเข้าสู่ท้องพระโรงที่เขาเดินผ่านนั้น มีผ้าแพรประดับสวยงาม เขาเดินบนพรมแดงที่ปูเข้าสู่ประตูท้องพระโรง เมื่อเซอิจิก้าวผ่านประตูท้องพระโรงและปล่อยให้จิเคตะกับเดเอคิรออยู่หน้าท้องพระโรง
ในท้องพระโรงนั้นกว้าง พอๆกับอุทยานขนาดย่อมๆทีเดียว ยังมีที่ให้เหล่าขุนนางได้ใช้ยืนเสนอข้อราชการอีก ส่วนหน้าของท้องพระโรงนั้นเป็นบันไดขึ้นไป มีบัลลังก์ที่ปูด้วยหนังชั้นดีตั้งไว้ ที่นั้นเองคือที่ว่าราชการของราชาโควตะ!!!
ตอนที่เซอิจิเข้าไปนั้น เหล่าขุนนางยืนเข้าแถวเรียบร้อยแล้ว แต่ราชาโควตะยังไม่มา เสียงคุยจอแจดังเรื่อยๆ กษัตริย์หนุ่มเดินเข้าไปประจำที่ตนก่อนจะยืนอย่างสงบ รอเวลาที่โควตะจะมา เขารู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปช้าและน่าเบื่อเหลือเกิน เซอิจิยิ้มให้กับคำทักทายของขุนพลบางคนที่ชื่นชมเขา แล้วเหม่อมองไปที่บัลลังก์
เขาสงสัยเหลือเกินว่าเมื่อไรโควตะจะมาเสียที เขาทนไม่ไหวเสียแล้วที่จะเลื่อนเวลาการได้อยู่ร่วมกับซาไอออกไป ขณะที่มองไปที่บัลลังก์ เขามองเห็นโทงาริ
อดีตอำมาตย์ในสมัยของราชาอิเอยาสึ
และปัจจุบันเป็นอัครเสนาบดีในสมัยราชาโควตะ ถ้าเขาไม่ได้คิดไปเอง อัครเสนาบดีกำลังมองเขาอยู่เช่นกัน!!! มองเขาด้วยสายตาที่เขาเดาไม่ออก ทั้งเสียดาย เมตตา เกลียดชัง คับแค้นใจปะปนกัน ทำให้เขารู้สึกว่ากำลังสบตากับศัตรูอยู่ แต่เซอิจิก็ไม่ได้ใส่ใจในสายตานั้นเมื่อราชาโควตะเสด็จออกมา ณ ท้องพระโรง ทุกคนเข้าสู่ที่ประจำ และหลังจากที่คุกเข่าทำความเคารพเรียบร้อย ตามระเบียบก็ต้องถวายฎีกาของวันนั้น เซอิจิยังคงเฝ้ารอเวลาอย่างใจจดใจจ่อ จนสุดท้ายก็ถึงเวลาที่เขาจะกราบทูล
เซอิจิก้าวออกไปข้างหน้า
"ราชาเซอิจิมีอะไรเรื่องอะไรล่ะ?" โควตะที่นั่งอยู่บนบัลลังก์กล่าว สายตาที่โควตะมองเขาก็แปลกๆ คล้ายกับมองด้วยความคับแค้นใจ แต่เขาก็ไม่สนใจ ใจยังจดจ่อกับเรื่องที่ลิขิตหัวใจเขาต่อไป
"หม่อมฉันแต่พระองค์ ราชาโควตะ
เนื่องจากหม่อมฉัน เซอิจิ ได้มาอยู่ที่นากินานพอสมควรแล้ว
ได้ช่วยพระองค์ว่าราชการสุดความสามารถของหม่อมฉัน บัดนี้บ้านเมืองสงบลงแล้ว หม่อมฉันจึงใคร่กราบทูลลากลับอาณาจักรซูคัง และทูลขอองค์หญิงซาไอกลับไปเป็นมเหสีอยู่คู่บัลลังก์กับหม่อมฉัน ตามแต่พระกรุณา
" หลังจากที่กล่าวจบ เซอิจิก็ก้มหน้าลง พลางลอบถอนใจเฮือกอย่างโล่งใจ เขานั่งท่องคำกราบทูลไม่กี่ประโยคนี้เกือบทั้งคืน ระหว่างที่อยู่ในช่วงเวลารอคำของราชาโควตะ ท้องของเซอิจิหนักอึ้ง รู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัวด้วยความตื่นเต้น ทั้งท้องประโรงเงียบสนิทไปชั่วระยะหนึ่ง
จนกระทั้งพระสุรเสียงของกษัตริย์แห่งนากิดังขึ้น
"
.ท่านเซอิจินั้นได้ช่วยว่าราชการมากมายระหว่างที่อยู่ที่นี่
ข้าพระองค์รู้สึกปลาบปลื้มใจและขอบพระทัยพระองค์สำหรับประโยชน์ที่พระองค์ทำให้ชาวนากิ ข้าพระองค์จึงขอปลดปล่อยซูคังเป็นเอกราช
แล้วอนุญาตให้กลับไปครองซูคังได้
" เซอิจิยิ้ม ความต้องการอย่างแรกของเขาสำเร็จแล้ว แต่ความสมบูรณ์ของชีวิตอยู่ที่ประโยคหลัง
"
ส่วนในเรื่องหลังนั้น การทูลขอองค์หญิงซาไอไปเป็นมเหสีของพระองค์ เห็นทีทางนากิคงจะอนุญาตไม่ได้!!!"
รู้สึกเหมือนกับเซอิจิถูกไฟเผา เหมือนถูกฟ้าผ่า เหมือนถูกทุบด้วยค้อน เหมือนถูกแทงด้วยหลาว เหมือนถูกกดให้จมน้ำ ด้วยคำพูดของโควตะ เซอิจิถอยหลังไปก้าวหนึ่งเหมือนถูกผลัก ความรู้สึกร้อนวูบทั่วตัวเมื่อครู่แห่กันมารวมที่ช่องท้อง เขาเพิกตาโพล่งพลางมองหน้าผู้อยู่บนบัลลังก์เสียเต็มตา!!! เขารู้สึกว่าริมฝีปากแห้งผาด ประสาทมึนงงแทบยืนอยู่ไม่ได้
"อะไรน่ะพะยะค่ะ
" หลังจากตั้งสติได้ เซอิจิก็กระซิบคำถามแผ่วเบาออกไป
"
" โควตะนิ่งเงียบด้วยอาการหนักใจ เซอิจิขบริมฝีปากอย่างเจ็บปวด ใบหน้าบิดเบี้ยวเมื่อถูกบีบในอก
"ทำไมล่ะพะยะค่ะ!!! ทำไมหรือ? หม่อมฉันทำอะไรไม่ดี!!! ถึงไม่ยอมยกนางให้หม่อมฉัน!!! โปรดบอกหม่อมฉันเถอะ
" เซอิจิร้องถามผู้อยู่บนบัลลังก์ โควตะกัดริมฝีปากตัวเอง แล้วเบือนหน้าพยายามไม่มองผู้ถาม เขายืนขึ้นคล้ายทบทวนคำพูด
"
เนื่องจากองค์หญิงซาไอนั้นเป็นสุขภาพอ่อนแอ ต้องฟักฟื้นภายใต้การดูแลของเหล่านางกำนัล
อีกอย่างนางนั้นไม่ได้รักพระองค์ การยกนางให้คนที่ไม่ได้รัก เป็นการขัดใจนางอย่างที่หม่อมฉันฝืนใจทำไม่ได้
" สิ้นคำของโควตะ ความอดทนของเซอิจิก็แทบขาดผึง ถ้าเขาไม่ตั้งสติเอาไว้
"นางอ่อนแอยังไงข้ารอได้
ให้นางกำนัลไปด้วยก็ได้
ที่สำคัญซูคังมีอากาศดีนางฟื้นตัวเร็วแน่!!!"
"แต่นางไม่ได้รักพระองค์
ยังไงก็ให้ไปด้วยไม่ได้!!!" โควตะพูดเสียงเย็นชา
"ให้ไปอยู่กับหม่อมฉันดูก่อนสิ
นางต้องรักหม่อมฉันได้แน่
" เซอิจิพยายามหว่านล้อม โควตะส่ายหน้าให้กับความดื้อดึง เขานั่งลงบนบัลลังก์ แต่แล้วอัครเสนาบดีโทงาริที่ไม่ยอมแพ้ ก็ก้าวออกไปพูดแทนกษัตริย์ของตน
"สามหาวนัก เซอิจิ!!!" เขาตวาดใส่เซอิจิชนิดไม่มีชิ้นดี พลางขมวดคิ้วสีขาวและจ้องเซอิจิอย่างโกรธเกรียว
"ซูคังเป็นถึงประเทศราชของเรา ที่ท่านโควตะตีมากับมือด้วยความยากลำบาก!!! พระองค์ยังยกให้เจ้าอย่างง่ายดาย!!! เพียงเพราะเจ้าช่วยราชการ!!! ยังบังอาจมาขอองค์หญิงอีก ไม่เจียมตัวเสียเลย!!!" น้ำเสียงถากถางของโทงาริ ทำให้เซอิจิโกรธจนตัวสั่นแต่ก็พยายามเก็บอารมณ์ไว้ ฝ่ายโควตะก็มองโทงาริ
นี่ แม่คงบอกเขาแล้ว
เรื่องของซาไอ
.
"ล..แล้วที่ข้าเข้าสู้รบต่างๆน่ะ!!! ท่านจะว่ายังไง?" เซอิจิถามเสียงดัง จนเกือบเป็นการตะโกน แต่โทงาริยังมองอย่างไม่ยี่หระ
"เหตุนี้เพราะแม่ของเจ้าก่อขึ้น
เพียงช่วยศึกครั้งสองครั้งไม่อาจลบตราบาปนี้ลงได้หรอก!!! แม่ของเจ้าทำบ้านเมืองเสียหายย่อยยับขนาดนี้
ข้านี้สิต้องถามเจ้าแทนชาวนากิ!!! ว่าเจ้าจะรับผิดชอบยังไง?" โทงาริย้อนกษัตริย์แห่งซูคัง เซอิจิขบฟันอย่างโกรธกริ้ว ยิ่งแน่นในหน้าอกยิ่งขึ้น
"ท่าน
. อย่างนี้มัน
." เซอิจิแค่นพูด ความคับแค้นใจเข้ามาแทนที่ความปลื้มปิติเมื่อก่อนหน้านี้
"ยังมีอีกน่ะ
เจ้า!!!" โทงาริทำท่าจะพูดต่อ แต่โควตะยกมือขึ้นห้ามเอาไว้
"เอาเถิดยังไงหม่อมฉันก็ยกองค์หญิงซาไอให้พระองค์ไม่ได้
" โควตะพูดด้วยน้ำเสียงประนีประนอม
"ยังไงเลือกหญิงอื่นในวังไปแทนเถอะ
นอกจากองค์หญิงซาไอแล้ว
ทรงเลือกคนอื่นไป หม่อมฉันก็ไม่ว่า
" โควตะกล่าว แต่เซอิจิยังมองทั้งองค์กษัตริย์และขุนนางในที่นั้นที่พึมพำเห็นด้วยกับคำพูดของโทงาริ เขากำมือแน่น ขบริมฝีปากจนแทบคลั่งเลือด ตอนนี้ความร้อนที่ช่องท้องขึ้นมารวมกันที่ศรีษะ แล้วกำลังจะระเบิดออกมา เมื่อคนตรงหน้าไม่ยกหญิงอันเป็นที่รักให้
ซ้ำยังยัดเหยียดคนอื่นให้อีก มันเป็นการหยามกันจนสุดจะทานทน
"ผู้หญิงอื่นนอกจากซาไอ หม่อมฉันไม่สนใจ!!!" เซอิจิตะโกน
"หม่อมฉันขอถามอีกที!!! จะยกซาไอให้หม่อมฉันหรือเปล่า?" เซอิจิปลดปล่อยอารมณ์เต็มที่ ต่อหน้าพระที่นั่ง โควตะมองเซอิจิอย่างเห็นใจ แต่เขาก็ยังตอบว่า
"ไม่
พวกเรายกซาไอให้พระองค์ไม่ได้จริงๆ" และแล้วความอดทนของเซอิจิขาดลง
เขาถวายบังคมลาแข็งๆ และก้าวออกไปจากท้องพระโรงอย่างรวดเร็ว ข้างนอกนั้น เสียงถกเถียงทำให้ทั้งจิเคตะและเดเอคิได้ยิน เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆเดินตามเซอิจิที่ก้าวฉับๆไปทันที เซอิจิมุ่งหน้าไปยังอุทยานที่พักของตน
ทันทีที่เขานั่งลง เขาก็เรียกหาเหล้าทันที จิเคตะรู้ว่าห้ามอย่างไรก็ไม่อยู่ จึงยอมทำตาม เหล้าที่เซอิจินั้นไม่เคยคิดจะดื่ม ถูกยกมาให้กษัตริย์ผู้เศร้าโศก เซอิจิรินเหล้าลงจอกขึ้นดื่ม จากจอกก็เป็นถ้วย จากถ้วยก็เป็นไห เป็นอยู่จากวันไปคืน เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน น้ำเสียงของคนเมายังคงตะโกนหาสุราอย่างไม่หยุดหย่อน สลับกับเสียงร้องหานางอันเป็นที่รัก ร่างของเซอิจิตอนนี้น่าสังเวชนัก เขานอนขว้างอยู่บนเก้าอี้ ใช่แขนเก้าอี้ต่างหมอน เสื้อผ้าชั้นดีเหม็นคลุ้งด้วยกลิ่นเมรัย หน้าตาที่มีราศี เปื้อนแคละด้วยน้ำตา
"ห้ามพระองค์เถอะ
ได้โปรด!!!" โทะโดะอ้อนวอนเดเอคิ เธอทนดูนายเหนือหัวผู้สูงศักดิ์เป็นเช่นนี้ไม่ไหว
เดเอคิมองภรรยาก่อนที่จะมองไปที่คนผมแดง ที่นั่งเคร่งมองเจ้านายที่ถูกฤทธิ์สุราครอบงำ
"ห้ามพระองค์เถอะ
จิเคตะ เราไปด้วยกัน
" เดเอคิสรุป จิเคตะหดหัวคิ้วมองคนร่างยักษ์ ก่อนที่จะลุกขึ้น แล้วจัดเสื้อผ้าตัวเอง
"อืม
ไปเถอะ เราปล่อยให้พระองค์ปล่อยอารมณ์และอยู่ในฝันมาพอแล้ว จากนี้ได้เวลาพาพระองค์กลับมาสู่ความจริงสักที" แล้วคนผมแดงก็เดินนำคนร่างยักษ์เข้าไปในห้อง เมื่อเปิดประตู ก็พบกับไหเหล้าวางเกลื่อนกลาด จิเคตะเตะไหเหล้าก่อนที่จะถวายบังคม
"เข้ามาทำ..มาย " เสียงเซอิจิถาม
"พวกเรามาห้ามพระองค์
หยุดเถอะพะยะค่ะ!!!" สิ้นคำจิเคตะ เซอิจิก็ยิ้ม จากยิ้มก็เป็นหัวเราะเสียงดัง เสียงในขณะเมายังเป็นที่น่าเกรงขาม
"ไม่ให้ข้าดื่มแล้วจะให้ทำยังไงล่ะ!!!" ผู้สูงศักดิ์ในที่นั้นถาม
"หยุดดื่ม
แล้วมาหาทางเอาตัวองค์หญิงซาไอมาให้ได้" จิเคตะตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ ทำเอาเซอิจินิ่งไปชั่วครู่
แต่สักพักเขาก็กลับมาหัวเราะอย่างไร้สติอย่างเดิม
"นางไม่ได้รักข้า
เอาแต่ตัวนางไปก็ไร้ประโยชน์" ฟังดังนั้นจิเคตะก็ขมวดคิ้วทันที
"แล้วพระองค์เชื่อหรือว่าพวกเขาพูดจริง?"
"
.." เซอิจิเบือนหน้าหาผู้พูด
"หมายความว่าอะไร?"
"คิดว่าพวกเขาไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด
ซาไอก็มีเยื่อใยกับท่านไม่ใช่หรือ? ตัวท่านเองก็น่าจะรู้ดีที่สุด!!!" จบคำของชายผมแดง เซอิจิก็ลุกขึ้นยืน
"ใจคนหยั่งยากดั่งน้ำวน
" "เมื่อพี่นางทรยศข้าได้
ทำไมแค่แสร้งมีไมตรีนางจะทำกับข้าไม่ได้!!!" คำพูดพูดแค่นออกมาอย่าเจ็บปวด เหล่าคนสนิทต่างก้มหน้าคร่ำครวญ เดเอคิถอดใจยอมแพ้ แต่จิเคตะยังคงเจรจาต่อไป
"งั้นก็ลองไปถามนางดูสิพะยะค่ะ!!!" คำท้าหลุดออกจากชายผมแดง เซอิจิมองคนท้าอย่างชั่งใจ
"ได้!!!" เขาลุกจากที่จมปลักมาตลอดชั่วเวลา 3 วัน
"ข้าจะไปถามนาง
รับคำท้าของเจ้า จิเคตะ" สิ้นคำกษัตริย์ ร่างที่ไม่เคยเดินตลอด 3 วันก็เดินพรวดออกไปนอกประตูอย่างรวดเร็ว ซึ่งจิเคตะก็ก้าวตามไปในทันที ฉับพลันเมื่อเจ้าชายก้าวผ่านธรณีประตู ฟ้าก็คำรามกึกก้องในฤดูหนาวอย่างที่ไม่ควรจะเป็น..คล้ายจะยั้งเซอิจิไม่ให้ก้าวข้ามธรณีประตู แต่ก็ไม่สามารถห้ามเขาได้ เซอิจิก้าวสวบๆตรงไปยังสวนของซาไอ นางกำนัลที่เขาพบคุกเข่าถวายบังคมกษัตริย์จากต่างแดน
"ข้าต้องการพบองค์หญิงซาไอ
" เขาพูด โดยที่พยายามเก็บน้ำเสียงเมามายเอาไว้
"ขออภัยเพค่ะ
องค์หญิงรับสั่งไว้ ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าเฝ้าทั้งนั้น" จบคำของนางกำนัลจิเคตะที่วิ่งตามมาก็เพิกตาอย่างตระหนก
แย่ล่ะ!!! ถ้าซาไอไม่ให้ใครพบ ทุกอย่างจะยิ่งแย่กันไปใหญ่
.
"ข้ามีเรื่องสำคัญมาก!!! ให้ข้าเข้าไปเถอะ!!" แล้วเซอิจิก็ทำท่าจะเดินเข้าไป แต่มีทหารมาขว้างเอาไว้!!!
"ราชาโควตะยังไม่สามารถเข้าพบองค์หญิงได้เลย
ขอทรงกลับไปเถอะ
" ทหารยามกล่าว เซอิจิยืนนิ่งอย่างผิดหวัง เพียงชั่วครู่เขาก็ตั้งสติได้และยืนตรงเหมือนเดิม
"ขอเถอะ
ฝากคำพูดข้าเข้าไปหานางก็ได้
" เซอิจิขอร้อง
"
" นางกำนัลมองหน้า
"เชิญรับสั่งเพค่ะ
"
"โปรดบอกนางด้วยว่า
ข้ารักนาง และข้าไม่ใช่คนดีเด่นอะไร ถ้าข้าจะเอาอะไร ถึงจะเป็นของใครข้าก็จะเอามาให้ได้!!!" สิ้นคำของเซอิจิ ฝนที่ตั้งเค้าก็ชั่วครู่ก็ตกลงมา เปียกปอนกันไปทั่ว กษัตริย์หันหลังเดินออกจากสวนขององค์หญิงขณะที่ฝนตกเปียกไปทั่วพระวรกาย จิเคตะมองเจ้านายเดินตัดผ่านหน้าไปอย่างอึ้งๆ ก่อนที่จะเดินตามเหนือหัวของตนไป
"เข้าร่มก่อนเถอะพะยะค่ะ" อดีตอาจารย์ทูล เซอิจิหยุดกะทันหัน ทำให้จิเคตะชนเขากะทันหัน
"จิเคตะ
"
"พะยะค่ะ"
"ข้าได้คาดการณ์เอาไว้ การกระทำของข้าไม่เป็นที่พอใจของเหล่าขุนนางแน่
แล้วเพื่อตัดไฟพวกเขาต้องส่งคนมาฆ่าข้าในเร็วๆนี้" เซอิจิกล่าวกับจิเคตะ และเอ่ยที่เขาคาดการณ์เอาไว้ให้คนสนิทฟัง
"แล้วจะทรงทำอย่างไร!!!"
"แล้วจะเล่าให้เจ้าฟังพอถึงอุทยาน
" จากนั้นเซอิจิก็เดินฉับๆกลับที่พัก ทั้งๆตัวเปียกปอน แต่เขาไม่คิดจะ เปลี่ยนเสื้อผ้า ถึงเดเอคิจะยักเหยียดก็เถอะ เขาเรียกคนของเขามานั่งฟังแผนการ และต้องปฏิบัติการโดยด่วน
"หลังจากที่ข้าพูดจาอย่างนั้น ทางราชสำนักนากิจะต้องหวาดระแวงข้า และจะมาลอบฆ่าข้าเพื่อตัดไฟ ดังนั้นพวกเราต้องหนีไปจากที่นี่!!!"
"แล้วจะทรงไปไหน?" เดเอคิถามขึ้น เซอิจิยกมือขึ้นห้าม
"ข้ากำลังจะพูด
เราจะกลับซูคัง
ไปซ้องซุ่มกำลังที่นั้น และข้าจะกลับมาตีนากิอีกครั้ง
"
"ทรงทำอย่างนั้นทำไม?" จิเคตะถาม
"เพื่อซาไอยังไงล่ะ!!!" กษัตริย์เผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยแผนการ
"ข้าไม่ใช่คนดี
ข้าบอกแล้ว ฉะนั้นแม้ว่านางไม่รักข้า ข้าก็จะเอาตัวนางมาให้ได้
ข้าไม่รู้เหตุผลแท้จริงที่พวกเขาไม่ยกซาไอให้ข้า
แต่ข้าจะเอาตัวมาให้ได้ ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรก็ตาม!!!" จบประโยคร่างของกษัตริย์แห่งซูคังลุกขึ้นยืน พลางมองไปที่คนสนิทแต่ละคน
"ข้าจะก่อสงคราม!!! มีใครว่ายังไงไหม? จิเคตะ?" เซอิจิถามอดีตอาจารย์
"ฮึ
นอกจากซาไอแล้ว หม่อมฉันไม่ยอมรับใครเป็นราชินี แม้ใครจะว่าอย่างก็ตาม
สงครามนี้หม่อมฉันเป็นพันธมิตรกับพระองค์!!!" เซอิจิยิ้มหลังจากได้ยินคำตอบของจิเคตะ
"ดี!!! ดีมาก แล้วเจ้าล่ะเดเอคิ!!!" เดเอคิผงกศรีษะเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถาม
"ก่อนที่จะพูดอะไรหม่อมฉันขอถามพระองค์ก่อนว่า ครั้งหนึ่งที่เคยจับกุมหม่อมฉัน พระองค์ตรัสว่า ผู้ที่ทำให้พระองค์ก่อสงครามได้นั้น
ต้องบอกพระองค์ได้ว่าเขาผู้นั้นยอมสูญเสียทุกอย่างเพื่อสงครามครั้งนี้ หม่อมฉันจึงขอถามคำถามนั้นกับพระองค์
" เซอิจินิ่งไปชั่วครู่ ก่อนตอบคำถาม
"ชีวิต ข้าให้ได้เพื่อให้ได้นางมา
ทรัพย์สิน ข้าให้ได้หากได้นางมา
เกียรติยศ ข้ายอมถูกหาว่าเป็นคนทรพีเพื่อให้ได้นางมา
จิตวิญญาณ ข้ายอมที่กล่าวว่าเป็นปีศาจ คนหลอกหลวง และเป็นคนเลว แค่ได้นางมา
นี่คือทั้งหมดที่ข้ามี และพร้อมจะให้!!!" เมื่อคำตอบของเซอิจิพูดออกมาจบ เขาก็นั่งลง
"หากเช่นนั้น
นี้คือสิ่งที่สิ่งที่หม่อมฉันสามารถให้พระองค์ ซื่อสัตย์ ความจงรักภักดี น้ำพักน้ำแรง และความร่วมมือ
ครั้งนี้หม่อมฉันอยู่ฝ่ายเดียวกับพระองค์!!!" เซอิจิมองคนร่างยักษ์อย่างยินดี
"ข้ามีพันธมิตร 2 คนแล้ว แล้วเจ้าล่ะ โทะโดะ?"
"สามีหม่อมฉันว่ายังไง หม่อมฉันก็ว่าอย่างนั้นเพค่ะ
"
"งั้นตกลงตามนี้!!!" เซอิจิยืนขึ้น
"พวกเราจะลอบกลับซูคังกัน!!! และเราจะกลับมาตีนากิในเร็ววัน!!!" สิ้นคำบัญชาการของกษัตริย์ ในค่ำคืนนั้นเองพวกเขาทั้งหมดลอบเข้าไปคอกม้าและขโมยม้าหนีกลับซูคังในค่ำคืนนั้นเอง!!!
ส่วนทางอัครเสนาบดีโทงาริ ตามที่เซอิจิคาดการณ์เอาไว้ สุดท้ายเขาก็ต้องสั่งทหาร ลอบสังหารราชาเซอิจิในคืนนั้นเอง แต่ก็พบว่าเซอิจิและพวกหนีไปแล้ว!!! อุทยานแห่งนั้นจึงถูกวางเพลิงจนวอดวายไปจนหมด
หลังจากนั้นหลายอาทิตย์ เมื่อเซอิจิเดินทางไปถึงซูคังและพบกับอากิโกะ เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่พบเธอ แต่อากิโกะก็มีข้อแก้ตัวแปลกๆที่ทำให้เขาเชื่อจนได้ เขาได้แจ้งความต้องการให้คนสนิททราบกันในวงในเพื่อซ่องซุ่มกำลัง และด้านนอกเขาก็ประชุมเสนาอำมาตย์ในการบริหารบ้านเมืองเพื่อให้แข็งแกร่งพร้อมที่จะทั้งรับและรุก ประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอย ในเวลาไม่กี่ปี
. . . . . .
ทางโควตะนั้นก็กังวลไม่แพ้กัน ทั้งเรื่องเซอิจิหนีกลับซูคัง และซาไอที่ไม่ยอมก้าวออกจากสวนหรือพบใครเลยแม้แต่คนเดียว!!!
"ประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยพะยะค่ะ..แม่" โควตะกล่าวเมื่อเข้าพบพระนางฮิโตมิ
"แม่ไม่เข้าใจ
"
"เซอิจิที่กำลังอ่อนแอ บัดนี้เขาเปลี่ยนไปแล้ว ทั้งสติปัญญาและเหล่าคนสนิทของเขา เมื่อเทียบกับประเทศที่เพิ่งมีสงครามอย่างนากิ
เขาพอจะวัดดวงกับพวกเราเลยทีเดียว หม่อมฉันเชื่อว่าอีกไม่นานต้องเกิดสงครามขึ้นแน่ๆ ฉะนั้นเรามีทางเดียวคือรีบส่งซาไอออกไปให้เขาซะ เพื่อป้องกันสงคราม!!!" โควตะหว่านล้อมด้วยเหตุผล
"แม่บอกแล้ว โควตะ!!!" พระนางฮิโตมิตรัส ทั้งๆที่หันหลังให้กับกษัตริย์แห่งนากิ
"แล้วแต่ว่า
ลูกจะทำตามหรือไม่!!!" ฟังคำของอดีตราชินีจบ โควตะก็ก้มหน้านิ่ง ไม่อาจขัดรับสั่ง
ไม่อาจปล่อยปะละเลย
2 อย่างที่ค้ำคอเขาอยู่ สุดท้ายโควตะก็ต้องถวายบังคมลาออกไป ทั้งที่ใจยังว้าวุ่น ส่วนพระนางฮิโตมินั้นก็เจ็บพระทัยไม่แพ้กัน ส่วนซาไอมีชะตาเป็นเช่นไรไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็นหน้าเธอไปนอกเสียจากมาโซยะ แต่สิ่งที่ทุกคนมีความเห็นตรงกันคือ
สงครามครั้งใหม่กำลังจะระเบิดขึ้นอีกครั้ง!!!
|